เซวียเสี่ยวหรั่นย่อมปวดเนื้อปวดตัวอยู่แล้ว จะไม่ปวดได้อย่างไรกันล่ะ
เธออยากกลับไปนอนกลิ้งบนเตียงหลับให้สบายจะแย่ แต่ว่า...
ก็ต้องให้เหลียนเซวียนพักผ่อนไม่ใช่หรือ เธอไหนเลยจะกล้าไปแย่งเตียงกับคนเจ็บ
ห้องนั้นแม้แต่ม้านั่งสักตัวยังไม่มี อยากหาที่นั่งก็ไม่ได้ สู้ออกไปเดินเล่นกับอาเหลยดีกว่า
"อาเหลย ช้าหน่อย พี่สาวปวดขาอยู่นะ" เซวียเสี่ยวหรั่นค่อยๆ ย่างเท้าตามหลังอาเหลย
"เจี๊ยกๆ" อาเหลยนั่งรอริมทาง
"ต้นหม่อนอยู่ตรงไหน อีกไกลไหม"
ถนนลูกรังหลุมซึ่งเป็ทางผ่านไปหลังเขาทั้งขรุขระและเป็หลุมเป็บ่อ เซวียเสี่ยวหรั่นต้องใช้แรงในการเดินค่อนข้างมาก
รองเท้าสีขาวของเธอบอบช้ำอย่างหนัก ขาดเป็รูทั้งสองข้างจากการเดินทางอย่างหนักมาสองวัน อยู่ในสภาพขยะใช้การไม่ได้อีกแล้ว
ที่เธอสวมอยู่ตอนนี้คือรองเท้าฟางที่สานเอง ยามเหยียบไปบนหินก็รู้สึกทิ่มเท้ามาก
อาเหลยจ้องเธอตาแป๋ว ฟังไม่รู้เื่
เซวียเสี่ยวหรั่นเริ่มทำมือทำไม้ ชี้ไปที่ปาก แล้วก็แลบลิ้นออกมา "ก็ลูกหม่อนที่เมื่อเช้าเ้ากินแล้วปากกลายเป็สีม่วงนั่นไง ไปเด็ดมาจากไหน?"
อาเหลยทำตาลุกวาว เหมือนจะเข้าใจแล้ว
"เจี๊ยกๆ" มันชี้ไปที่สูงแห่งหนึ่งหลังูเา
"บ้าฉิบ สูงขนาดนั้นเลย?" เซวียเสี่ยวหรั่นเงยหน้าขึ้นมอง รู้สึกขาสั่นระริก
นี่... จะปีนขึ้นไปดีไหมหนอ?
เพื่อลูกหม่อนไม่กี่พวง ต้องลากขาที่ปวดเมื่อยปีนขึ้นไปจะคุ้มกันไหมเนี่ย?
เซวียเสี่ยวหรั่นชะงักไปชั่วขณะ จดจ้องไปยังที่สูงไม่เปล่งเสียงอยู่เป็เวลานาน
จนกระทั่งอาเหลยทนไม่ไหวร้องเร่งเร้า เซวียเสี่ยวหรั่นถึงได้สติกลับมา
กัดฟันสู้ เอาก็เอา แค่ปีนเขาจะกลัวอะไร
เส้นทางสายนี้ยังไม่รู้ว่าต้องปีนเขาอีกมากมายเท่าไร
"ไป" เซวียเสี่ยวหรั่นโบกมือด้วยท่วงท่าสง่างาม
"เจี๊ยกๆ" อาเหลยเริ่มขยับทันที ก่อนวิ่งตัวปลิวไปไกล
เซวียเสี่ยวหรั่นมุมปากกระตุก ลากต้นขาอันหนักอึ้งพร้อมกับดวงหน้าแสนจะทรมานติดตามไป
จนกระทั่งปีนมาถึงกลางเขา ขาของเธอก็เริ่มไม่ไหวแล้ว
"อาเหลย จะถึงหรือยัง?"
เซวียเสี่ยวหรั่นอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา แต่ขี่หลังเสือแล้วลงยาก ปีนมาถึงขนาดนี้ ไม่อาจล้มเลิกความพยายามกลางคัน
ูเาลูกนี้เส้นทางทั้งแคบและคดเคี้ยว แต่อาเหลยเป็ลิง ย่อมจะไม่เดินบนทางเท้าเหมือนคนปรกติ ดังนั้นเซวียเสี่ยวหรั่นจึงเหนื่อยอยู่คนเดียว
"เจี๊ยกๆ" เสียงอาเหลยตอบกลับมา พลางหมุนตัวเข้าไปหลังโขดหินใหญ่
เซวียเสี่ยวหรั่นจำใจต้องยกเท้าเดินตามไป
ขณะกำลังเดินอยู่กลับได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากด้านหลังของโขดหิน
ดูเหมือนจะมีคนกำลังขับไล่อาเหลย
เซวียเสี่ยวหรั่นอึ้งงัน กลางูเาแบบนี้ยังมีคนอื่นอีกหรือ?
ด้วยเกรงว่าจะพลัดหลงกับอาเหลย เซวียเสี่ยวหรั่นจึงรีบวิ่งไป
พออ้อมโขดหินมาแล้ว สิ่งที่เห็นคือทิวทัศน์กว้างไกลสุดสายตา อาเหลยกำลังห้อยโหนอยู่บนต้นหม่อนซึ่งอยู่ริมหน้าผา
แต่ที่น่าใยิ่งกว่าก็คือ บนต้นไม้ต้นนั้นยังมีเด็กที่โตหน่อยแล้วคนหนึ่งปีนป่ายอยู่บนนั้นด้วย เขากำลังโบกมือไล่ให้อาเหลยลงไป แต่อาเหลยไม่ยอม มันขย่มกิ่งไม้ตอบโต้อย่างเต็มที่
ต้นหม่อนไม่ใหญ่มากซ้ำยังโยกไหวไปมาอยู่ริมผา เซวียเสี่ยวหรั่นเห็นแล้วก็เสียวสันหลัง
"อาเหลย ไม่เอา อย่าขย่ม รีบมา มานี่เร็ว"
เธอเรียกอาเหลยกลับมาอย่างร้อนใจ ด้วยเกรงว่าถ้าช้าไปอีกนิด เด็กคนนั้นอาจตกลงมาจากต้นไม้
อาเหลยมองเธอด้วยความสงสัย ก่อนหันไปมองคนบนต้นไม้อย่างลังเล ก่อนปีนลงมาแล้วกลับไปอยู่ข้างกายเซวียเสี่ยวหรั่น
แต่หัวใจของเธอกลับยังคงตึงเครียดอยู่
"เอ่อ... เ้าเป็เด็กของบ้านไหน เหตุใดจึงมาปีนป่ายในที่อันตรายเช่นนี้ รีบลงมา ถ้าอยากกินลูกหม่อน ข้าจะให้อาเหลยเด็ดให้เ้าเอง รีบลงมาเถอะ มันอันตรายมากเลยนะ"
เด็กคนนั้นท่าทางอายุประมาณสิบขวบ ผอมโซ เสื้อผ้าขาดวิ่น ใบหน้ามอมแมม ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความหวาดระแวง แต่อาจเพราะเห็นเธอออกคำสั่งกับลิงตัวหนึ่งได้ เขาจึงมองลิง แล้วก็หันมามองเธอ
"รีบลงมาเถอะ อันตรายมาก เ้าดูสิ สูงขนาดนั้น หากตกลงไปไม่ใช่เื่เล่นๆ เลยนะ" เซวียเสี่ยวหรั่นพยายามเกลี้ยกล่อมต่อไปด้วยความเป็ห่วง
เด็กชายไม่ฟังคำพูดของเธอ หลังจากมองพวกเขาแล้ว ก็โหนกิ่งไม้ไปเก็บลูกหม่อนที่อยู่ใกล้ๆ ต่อไป เด็ดไปก็กินไป ราวกับกลัวว่าจะถูกคนแย่งชิง
เซวียเสี่ยวหรั่นได้แต่จนใจ ไม่กล้าพูดอะไรอีก ถ้าเด็กคนนั้นเกิดบันดาลโทสะขึ้นมาก็คงไม่ดี
"อาเหลย พวกเราไม่เด็ดต้นนี้ มันอันตรายเกินไป" เธอชี้ไปที่ต้นหม่อน
อาเหลยทำตาปริบๆ อย่างงุนงง อุตส่าห์มาถึงที่แล้ว ไม่เด็ดหรือ?
เด็กชายคนนั้นเห็นเธอคุยกับลิง ก็หันมามองอีกครั้งแววตาเจือไปด้วยความประหลาดใจ
"พวกเราไม่แย่งกับเ้าหรอก ไม่ต้องวิตก บนต้นไม้อันตราย อีกประเดี๋ยวก็ค่อยๆ ลงมาแล้วกันนะ" เซวียเสี่ยวหรั่นแสดงท่าทางอ่อนโยน
สภาพความเป็อยู่ของเด็กคนนี้คงจะไม่ดีสักเท่าไร ถึงกลัวพวกเธอจะไปแย่งผลไม้ของเขา
เซวียเสี่ยวหรั่นนึกหดหู่ใจ กวักมือเรียกอาเหลยกลับ
ตราบใดที่พวกเธอยังอยู่ เด็กคนนั้นคงไม่ยอมลงมา
อาเหลยไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มันก็ยังคงตามเธอไปแต่โดยดี
เซวียเสี่ยวหรั่นเดินมาไม่ไกลนัก ก็แอบย่องไปด้านข้าง ซ่อนอยู่หลังต้นไม้ต้นหนึ่งแล้วลอบมองทีท่าของเด็กชายคนนั้น
พอเห็นคนไปกันหมดแล้ว เด็กชายก็กินลูกหม่อนต่อครู่หนึ่ง ถึงปีนลงมาตามลำต้น
เซวียเสี่ยวหรั่นมองกิ่งไม้สั่นไหวด้วยความรู้สึกตื่นเต้นแทนเขา
เห็นชัดว่าเด็กคนนั้นปีนต้นไม้เก่ง แม้ร่างกายจะซูบผอม แต่การเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว หลังลงมาจากต้นไม้แล้ว ก็เกาะผนังหน้าผาปีนกลับเข้ามาอย่างไม่ยากเย็น
ในที่สุดเซวียเสี่ยวหรั่นก็โล่งใจได้เสียที
จากนั้นถึงพาอาเหลยค่อยๆ เดินลงมา
ไม่รู้ว่าเป็เด็กของบ้านไหน ต่อให้ตะกละตะกลามแค่ไหนก็ไม่ควรปีนหน้าผาออกไปเก็บของกิน ใจกล้าเกินไปแล้ว
ถึงไม่ได้เก็บลูกหม่อน เซวียเสี่ยวหรั่นก็ไม่ได้รู้สึกท้อแท้ สภาพอากาศ่เดือนสามตามปฏิทินจันทรคติ จะมีผักป่าหลากหลายชนิดเติบโตอยู่ตรงเชิงเขา
เธอหากิ่งไม้ปลายแหลมท่อนสั้นๆ ขุดผักป่ามาได้ครึ่งกระบุง ถึงเดินขาสั่นกลับลงมา
ระหว่างทางเดินกลับอยู่บนทางลาดชันมองลงไปที่หมู่บ้านซึ่งอยู่ท่ามกลางูเา เห็นบ้านเรือนสูงๆ ต่ำๆ ภูมิประเทศไม่ใช่พื้นราบ ทุ่งนาขนาดใหญ่ก็มีไม่มาก
ขู่หลิงถุนเป็หมู่บ้านที่มีที่นาค่อนข้างน้อย
ดวงตะวันเริ่มคล้อยสาดแสงเป็แนวเฉียง เซวียเสี่ยวหรั่นกลับมาถึงเรือนหลังน้อยซึ่งมีแต่ความเงียบสงบ
เธอวางกระบุงลง เงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวในห้องปีกข้าง แต่ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
เซวียเสี่ยวหรั่นอดไม่ได้ที่จะแลบลิ้นออกมา
เธอวิ่งแล่นออกไปอย่างนั้น ไม่รู้ว่าเหลียนเซวียนจะโกรธรึเปล่า
"เหลียนเซวียน ข้ากลับมาแล้ว" เปล่งเสียงนำไปก่อนให้เขารู้ว่าเธอกลับมาแล้ว
หลังจากนั้นก็ตักน้ำมาล้างผัก ไม่รีบเข้าห้องทันที
ภายในห้องข้าง สีหน้าของเหลียนเซวียนดำทะมึนยิ่งกว่าเดิม
เห็นว่าตนเองขาไม่ดี ทำอะไรนางไม่ได้ ก็เลยได้ทีกลั่นแกล้งเขา
เซวียเสี่ยวหรั่นนั่งล้างผักอยู่หน้าห้องครัวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเบิกบาน อาเหลยเด็ดผักป่าเข้าปากอยู่เป็ระยะ เธอก็หัวเราะพูดคุยกับมัน
ยังไม่เข้าไปในห้อง รอให้พวกซีต้าเฉียงกลับมาก่อนค่อยว่ากัน ดูจากพระอาทิตย์เหนือศีรษะแล้วก็คงใกล้จะกลับมากันแล้ว
เซวียเสี่ยวหรั่นล้างผักอยู่สองรอบ ก่อนค่อยๆ คัดแยกแล้ววางเอาไว้ หลังจากนั้นก็ตักน้ำใส่หม้อยกขึ้นตั้งไฟ
รอจนกระทั่งน้ำเดือด ก็ตักออกมาใส่ถ้วย ยามนั้นตะวันรอนใกล้พลบค่ำ
ในที่สุดก็มีเสียงดังเข้ามาจากนอกเรือน
เซวียเสี่ยวหรั่นวิ่งออกไปหน้าประตูมองไปด้านนอก เกวียนเทียมวัวบรรทุกของเต็มคันรถกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
พวกเขากลับมาแล้ว เซวียเสี่ยวหรั่นยิ้มหน้าบาน
