เพียงแต่เพราะเงื่อนไขพิเศษ ความต่างชั้นของฐานะ นางจึงเก็บซ่อนความรู้สึกของตนเองเอาไว้ตลอดมา บางที แม้แต่ตัวนางเองก็คงไม่เคยค้นพบ ในตอนที่นางยังไม่รู้ตัว ก็ได้เกิดความรู้สึกลึกซึ้งต่อคุณชายห้าขึ้น แต่ดูคุณชายห้าสกุลโจวเล่า....?
ท่าทีที่เขามีต่อหลานสาวของตนนั่นคืออะไร? ถึงแม้เขาจะปรายตาไปมองนางบ้างเป็บางครา แต่ชัดเจนเลยว่าไม่ได้มีท่าทีที่แสดงว่ามีความรู้สึกลึกซึ้งให้
จะบอกว่าเขาไม่มีความรู้สึกอะไรเลย เช่นนั้น...การมาพบหน้ากินข้าวด้วยกันในวันนี้จะถือว่ามันคืออะไรเล่า?
เฮ้อ เื่ของความรู้สึกมักทำให้คนวุ่นวายเป็อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างเื่ของหลาวสาวเขา ยิ่งเป็เื่ที่ยุ่งยากเข้าไปอีก
เฉินจื่อิตัดสินใจแล้ว ตนเองจะมองอยู่ข้างๆ โดยที่ไม่ทำอะไรทั้งนั้น
หลังจากสั่งอาหาร โจวอ้าวเสวียนก็กำชับให้ไปเรียกคนมาเล่นดนตรี
เพียงครู่เดียว ก็มีสตรีหน้าตาพอใช้ได้สองคนขึ้นไปบนเวที
คนแรกเป็คนที่ตัวสูงผอมเพรียว ในมือถือไคว่ปั่น [1] สองชิ้น สตรีอีกคนหนึ่งมีใบหน้ารูปไข่ห่านสวมชุดสีเหลือง ถือผีผามาเครื่องหนึ่ง คนที่สองเดินเข้าประตูมาก็ก้มหน้าก้มตา เข้าไปมอบการดูแลให้กับเหล่าคนที่นั่งอยู่
กลับเป็สตรีตาโตสวยที่ถือไคว่ปั่น นางแย้มยิ้มดีใจพุ่งตรงเข้าไปทักทายโจวอ้าวเสวียน
“สายันต์สวัสดิ์เ้าคะคุณชาย!”
“ตำลึงพวกนี้คือเงินรางวัลของพวกเ้าในวันนี้!” โจวอ้าวเสวียนโยนตำลึงก้อนใหญ่ไปให้ จากที่เฉินเนี้ยนหรานใช้สายตาประเมินแล้ว ตำลึงก้อนนี้อย่างน้อยก็ประมาณสิบสองก้วน ์ นี่คือลูกชายผู้ล้างผลาญ แค่จ่ายเงินก็ทำให้ในใจของคนเืตกยางออกได้แล้ว
นางเบิกตากว้างมองไปยังตำลึงพวกนั้น ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอ
อาจจะเพราะเสียงกลืนน้ำลายดังเกินไปหน่อยและไม่ค่อยน่ามองนัก ต้าหลางกับเฉินจื่อิจึงต่างก้มหน้าก้มตา ถอยตัวออกห่างนางให้ไกลอีกหน่อย
กลับเป็โจวอ้าวเสวียนที่กวาดตามองนางอย่างสนุกสนาน “หากเ้าร้องดี ข้าเองก็จะตบรางวัลให้เ้าด้วย”
เดิมทีเขาแค่จะพูดแหย่เล่นเท่านั้น ใครจะไปคิดว่าเฉินเนี้ยนหรานจะเอาจริง ดวงตานางสว่างวาบ ะโลุกขึ้นมา “จริงหรือเ้าคะ? ท่านพูดจริงหรือ? หากข้าร้องเพลงเพราะกว่าพวกนาง เช่นนั้นท่านจะตบรางวัลให้ข้าเป็ตำลึงก้อนใหญ่เหมือนกันใช่หรือไม่? แต่ไม่ว่าอย่างไร ห้ามน้อยกว่าพวกนางนะ”
หัวของเฉินจื่อิเกือบจะมุดเข้าไปในคออยู่แล้ว ์ทรงเมตตาเถอะ แม่หนูหรานคนนี้ แต่ก่อนยังถือว่าเป็คนที่รู้เื่รู้ราวมีเหตุผล ทำไมพอมาเกี่ยวข้องกับเื่เงินกลับเสียสติไปแล้วล่ะ ถึงว่าที่น้องหกเป็เช่นนี้ เขารู้สึกเหมือนเจอเหตุผลแล้ว เพราะว่าเฉินเนี้ยนหรานเป็เช่นนี้ น้องหกที่เป็น้องสาวของนาง จะไม่เหมือนนางก็นับว่าแปลกแล้ว
โจวอ้าวเสวียนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าอย่างสนใจ “ใช่ พวกเ้าสามารถแข่งกันได้ หากเ้าชนะพี่น้องคู่นี้ ข้าจะตบรางวัลให้เ้าเยอะกว่าพวกนางแน่นอน แต่ว่าหากเ้าแพ้ล่ะ จะทำเช่นไร?”
เฉินเนี้ยนหรานมองร้านหรูหรานี้อย่างครุ่นคิด สุดท้ายก็กัดฟันตอบ “หากข้าแพ้แล้ว ข้าจะเป็คนรินเหล้าให้ท่าน เป็สาวใช้ท่านหนึ่งวัน เป็อย่างไร?”
คุณชายมีเงินอยู่ จึงไม่ต้องให้ข้าออกเงินแล้ว อย่างน้อยหากแพ้แล้วจริงๆ ข้าก็แค่ออกแรงนิดๆ หน่อยๆ ถึงอย่างไรก็เคยเป็หญิงอุ่นเรือนไปแล้ว แค่หญิงรินชาน่ะ นางสามารถทำได้!
แต่ว่าอย่างไรข้อเสนอนี้ก็เอาเปรียบเขาพอสมควร เฉินเนี้ยนหรานยังกลัวว่าเขาจะไม่ตอบรับข้อเสนอนี้จึงปรายตามองโจวอ้าวเสวียนอย่างคนมีชนักติดหลัง ทว่าสุดท้ายเ้าหนุ่มนี่กลับพยักหน้าด้วยท่าทางที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม “อย่าพยายามมากนักล่ะ ข้ารอเ้ามาเป็หญิงรินชาให้ข้าอยู่ เฮ้อ ข้างกายข้ายังขาดสาวใช้ข้างตัวไปหนึ่งคนพอดีเลย”
เฉินเนี้ยนหรานโกรธจนคิ้วเรียวตั้ง เ้าเด็กบ้านี่ยังเป็บุรุษที่อายุแค่ไม่กี่สิบปี! แต่ทำไมสิ่งที่พูดออกมาถึงได้ทำให้คนโกรธถึงขนาดนี้ได้กัน
แม้ในใจจะนึกฉุนขนาดไหน แต่บนใบหน้ากลับมีรอยยิ้มประดับอยู่ “เฮ้อ น่าเสียดายนะเ้าคะ เกรงว่าข้าจะไม่มีคุณสมบัติพอที่จะไปเป็สาวใช้ให้คุณชายห้าได้เรียกใช้”
พูดจบก็สะบัดผม หมุนตัวเดินไปเตรียมตัวร้องเพลงเต้นรำกับสองพี่น้อง
เพราะว่าจะต้องเต้นรำแบบร้อนแรง แต่เสื้อผ้าที่สองคนพี่น้องสวมล้วนแต่เป็เสื้อผ้าที่ปกปิดมิดชิด เหมาะสมกับเสื้อผ้าในยุคสมัยนี้ หากยึดตามกฎของยุคปัจจุบัน เฉินเนี้ยนหรานรู้สึกว่าชุดพวกนี้ใช้การไม่ได้ อย่างไรก็ร้องเพลงเต้นรำอยู่ในห้อง ทำไมถึงไม่ลองแก้ไขเสื้อผ้าเองสักหน่อยล่ะ?
มองไปยังเสื้อผ้าพวกนั้นแล้ว เฉินเนี้ยนหรานก็ไปเรียกเด็กรับใช้มา “ขอมีดให้ข้าสักเล่มได้หรือไม่ แล้วก็พวกผ้าคลุมอะไรพวกนี้”
เนื่องจากที่นี่มักจะมีการแสดงร้องเล่นเต็มรำกันอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นสิ่งที่เฉินเนี้ยนหราน้าจึงเป็สิ่งหามาได้ง่าย
เพียงครู่เดียว เด็กรับใช้ก็นำสิ่งที่นาง้ามามอบให้
สองพี่น้องคู่นั้นเดินออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า บนร่างของพวกนางเป็ผ้าพริ้วแนบตัว ความงดงามของชุดทำให้เรือนร่างของสตรีทั้งสองยิ่งดูเพรียวบางเข้าไปอีก
เฉินเนี้ยนหรานมองตัวเอง ก็ไม่ถือว่าแย่ คอยดูนะ อีกเดี๋ยวนางจะทำให้ห้องอาหารตะลึงไปเลย ฮ่าๆ วันนี้นางจะต้องทำให้โจวอ้าวเสวียนตะลึงในความงามของนางให้ได้
เพียงแค่ั้แ่ต้นจนจบนางได้มองข้ามปัญหาสำคัญไปเื่หนึ่ง นั่นก็คือถึงแม้การแสดงจะดำเนินอยู่ในห้องอาหาร แต่ว่าคนตัดสินที่สำคัญที่สุดก็คือโจวอ้าวเสวียน!
เฉินเนี้ยนหรานถือเสื้อผ้าเอาไว้ในมือ คิดถึงการแต่งตัวของสองพี่น้องด้านนอกที่สะดุดตา หากนางเองก็แต่งตัวเช่นนั้น เกรงว่าจะไม่มีอะไรแปลกใหม่และไม่สามารถบรรลุเป้าหมายในการดึงดูดสายตาคนได้
ในเมื่อเป็เช่นนี้ ทำไมจะต้องใช้เสื้อผ้าให้มากมายอีกเล่า?
คิดถึงเื่พวกนี้แล้ว นางก็เอาผ้าคลุมสองผืนมาต่อกัน แล้วเอามาผูกบนคอ ก่อนจะเอามันมาปิดไว้ตรงหน้า
ด้านล่าง ก็เป็กางเกงยาวๆ หนึ่งตัว
้าคือผ้าคลุมสีดำที่ถูกมัดจนกลายเป็ชุดคลุมพริ้ว ด้านล่างเป็กางเกงขายาวสีขาว
แล้วใช้ที่เครื่องประทินโฉมในยุคโบราณ เพื่อมาแต่งหน้าตนเองโดยเอามาทาตรงขอบตา ทำให้ดวงตากลมโตดูงดงามและมีเสน่ห์…
เอาละ ระหว่างทางที่เดินขึ้นไปชั้นบน นางจะต้องใช้ผ้าคลุมกันลมมาคลุมตนเองเอาไว้ก่อน ถึงแม้จะกล้าแต่งตัวเช่นนี้ แต่ไม่ใช่เพื่อให้คนรู้สึกตกตะลึง เพราะการแข่งเต้นรำในครั้งนี้ นางแค่จะเต้นให้โจวอ้าวเสวียนและพวกท่านลุงที่อยู่ในห้องดูเท่านั้น
หากอยู่ด้านนอก นางไม่กล้าแต่งตัวน่าตกตะลึงเช่นนี้หรอก
หลังจากจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ในตอนที่สองพี่น้องกำลังรอคอยนางเพื่อขึ้นไปพร้อมกันอยู่นั้น เฉินเนี้ยนหรานก็เดินออกมาจ่กสถานที่แต่งตัวด้วยความมั่นใจ
บนใบหน้าของนางถูกทาด้วยเครื่องประทินโฉมสีแดงที่ขอบตา สองพี่น้องรู้สึกเพียงว่านางได้เปลี่ยนไปเป็คนละคน จะมองอย่างไรก็งดงามและสง่ามาก แต่ว่ากลับมองเสื้อผ้าไม่ออก เพราะว่าผ้าคลุมลมยาวๆ ของนางได้ปกปิดเรือนร่างเอาไว้เสียมิดชิด
“ไปกันเถิด ข้าเชื่อว่าข้าสามารถชนะพวกเ้าได้อย่างแน่นอน” เฉินเนี้ยนหรายยิ้มอย่างเชื่อมั่น เงยหน้าแล้วก้าวเท้าเดินขึ้นชั้นบนไป
สองพี่น้องก็ไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้ง่ายๆ จึงเดินตามหลังนางไปอย่างไม่เร่งร้อน “ก็จริง พวกเราเองก็ไม่เชื่อว่าเ้าจะสามารถเอาชนะพวกเราได้”
เป็เช่นนี้ ทั้งสามจึงเดินขึ้นไปชั้นบนด้วยจิติญญานักสู้เต็มเปี่ยม
หลังจากที่โจวอ้าวเสวียนเห็นการแต่งตัวของเฉินเนี้ยนหรานก็ถึงกับชะงักไปเล็กน้อย ราวกับไม่เคยคิดถึงเลยว่า เื้ัการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของพวกอิสตรี ยังมีการแต่งหน้าเช่นนี้อยู่ด้วย
แต่ว่า เขาไม่ชอบที่ใบหน้าของนางทาสีแต่งหน้าเอาไว้เยอะเกินไป รู้สึกเหมือนใส่หน้ากากเอาไว้อีกชั้นอย่างไรอย่างนั้น ถึงแม้หน้ากากนี้จะสวยและงดงามมากจนน่าใ แต่เขากลับรู้สึกหงุดหงิด ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเล็กคิดน้อย มือใหญ่ของเขายกขึ้น มองไปยังทั้งสามคน “ผู้ใดจะเริ่มก่อน?”
“พวกเราสองคนเริ่มก่อนแล้วกันเ้าค่ะ โดยที่ข้าเป็คนเล่นดนตรีและร้องเพลง ท่านพี่จะเป็ผู้เต้นรำ” สองพี่น้องชุนเซียงจับกลุ่มกันออกมาแสดง
ในเวลาปกติน้องสาวจะเป็คนขี้อาย แต่หลังจากที่ยกฉินขึ้นมาปรับสาย ตัวนางและบรรยากาศก็เปลี่ยนไปฉับพลัน
ความสวยงามจากความมั่นใจ ทั้งยังมีความโปรดปรานเกี่ยวกับดนตรี ตอนที่ดีดฉิน รู้สึกว่าตัวนางราวกับจั๊กจั่นที่เปล่งปลั่งจากการลอกคราบ
ดนตรีเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ราวกับสายน้ำที่ไหลมาจากยอดเขาสูง
ยามเงียบสงบ ก็เหมือนกับสามารถได้ยินเสียงไหลรินจากลำธารเล็ก หมู่ปลาคอยอ้อมค้อมว่ายวนเพื่อสอบถามเื่ราว
ยามดุร้าย ก็เหมือนดังสายลมฤดูใบไม้ร่วงที่พัดพาใบไม้ให้ลอยขึ้นสูง…
ถึงแม้เฉินเนี้ยนหรานจะเคยฟังเพลงเพราะๆ ในยุคปัจจุบันมามากมาย แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าสองพี่น้องคู่นี้ หากร่วมมือกันก็เป็อะไรที่ไม่เลวเลยจริงๆ แค่ดนตรีนี่เพียงอย่างเดียวก็สามารถพาให้คนหลงใหลได้ขนาดนี้แล้ว
เช่นนั้นการเต้นล่ะ?
สำหรับเื่นี้ เฉินเนี้ยนหรานรู้สึกรอคอยขึ้นมา
ที่เซียงซือแสดงก็คือการรำกระบี่
วินาทีที่กระบี่ตั้งตรง ทำท่าทางเข้มแข็งดั่งบุรุษ ทำให้เฉินเนี้ยนหรานไม่สงสัยเลยว่า คนที่ยืนอยู่ตรงหน้า จะต้องเป็สตรีที่กลับมาจากาเป็แน่
“จวบจนถึงอนาคตที่ยาวไกล…”
ดนตรีหยุด การเต้นรำก็หยุด แต่กลุ่มคนที่อยู่ในห้องยังคงนั่งนิ่งเงียบไม่ขยับ
เฉินเนี้ยนหรานใ ใครบอกว่าคนโบราณสู้คนปัจจุบันไม่ได้ พูดกันตามความจริงแล้ว ตอนนี้นางรู้สึกสงสัยอยู่เล็กน้อย นางที่ไม่ถือว่าเป็มืออาชีพ จะสามารถสู้กับพวกนางที่เป็มืออาชีพได้หรือไม่
แต่ว่า จะพูดอย่างไรนางก็มีเนื้อเพลงที่แปลกใหม่ แล้วก็มีการเต็มรำที่ไม่เหมือนใคร รวมถึง การแต่งตัวที่ดึงดูดสายตาคน…
ตอนที่สายตาของโจวอ้าวเสวียนมองไปทางนาง เฉินเนี้ยนหรานทำสายตาขอความช่วยเหลือไปทางสองพี่น้อง “หวังว่าทั้งสองจะช่วยร่วมมือเล่นดนตรีประกอบ ช่วยข้าหน่อยได้หรือไม่? ส่วนข้าจะเต้นและร้องเพลงเอง!”
คู่พี่น้องนั่นมีสองคน ดังนั้นนางขอให้คนหนึ่งมาเล่นดนตรีให้ ก็ถือว่าไม่ได้ทำเกินไป
เฉินเนี้ยนหรานเองก็ไม่ได้กังวลว่าทั้งสองคนจะตามจังหวะของตนเองไม่ทัน จากความชอบเื่ดนตรีของพวกนาง รวมถึงจิติญญาการเป็นักแสดง นางเชื่อว่าทั้งสองคนสามารถฝืนเล่นตามนางได้
แต่ว่าก่อนที่จะแสดง ทั้งสามคนยังต้องมาปรับตัวกันเื่ความเข้าใจในดนตรีประกอบพื้นฐานก่อน
ตอนที่สองพี่น้องดีดเพลงกันจนคุ้นชินแล้ว เฉินเนี้ยนหรานถึงได้เริ่มการแสดง
พูดกันตามตรงแล้ว พอฟังเนื้อเพลงแปลกใหม่นี้จบ สองพี่น้องที่เข้ามาร่วมมือช่วยก็รู้สึกประหลาดใจมาก
รวมถึงมีความไม่เข้าใจอยู่นิดหน่อยว่าทำไมสตรีนางนี้ถึงได้มั่นใจในตนเองขนาดนี้ แค่เพลงแปลกใหม่ก็สามารถดึงดูดคนได้แล้วหรือ?
ทั้งสองคนยิ้มขมขื่น แต่ก็เตรียมตัวไปเล่นดนตรีให้อย่างจริงใจ
ตอนที่ดนตรีจังหวะเมามันของเพลง เทียนจูซ่าวนวี่ (สาวอินเดีย) เนื้อเพลงงดงามน่าฟังก็ได้ออกมาจากริมฝีปากของเฉินเนี้ยนหราน การเต้นสไตล์อินเดีย บวกกับเสียงกังวานใส และยังมีการโชว์หน้าท้อง….
“โอ้…ซารีวา โอ้ ซารีวา….ซารีวา โอ้ ซารีวา…โฮ้!....โอ้…โฮ้!...โอ้..โฮ้!....เป็ใครกันนะที่ส่งเ้ามาอยู่ข้างกายข้า คือพระจันทร์ดวงกลมๆ คือบ่อน้ำหลั่งรินบนเขา คือบ่อน้ำหลั่งรินบนูเา คือบ่อน้ำหลั่งรินบนูเา ข้าเป็ดั่งกลีบดอกไม้ที่มีน้ำค้างเกาะอยู่ ค่อยๆ ทำให้เ้าไม่อยากจากไปไหน ไม่อยากจากไปอย่างอ่อนหวาน…”
สายตาของโจวอ้าวเสวียน มองการเต้นรำของนางที่ยังคงขยับไม่หยุด ขยับไม่หยุด…
ตอนที่นางเต้นไป ก็แกะผ้าที่ปิดหน้าอกออก ตอนที่เผยให้เห็นความงดงามภายใน สีหน้าของเขาก็ยิ่งย่ำแย่ขึ้น
รอจนกระทั่งการเต้นจบลง เฉินจื่อิกับต้าหลางก็ถึงกับนิ่งไป ต้าหลางดูการแสดงด้วยความตื่นเต้นมาก เฉินจื่อิเองก็รู้สึกสนุกสนานมากเช่นกัน การเต้นที่มีรูปแบบของต่างดินแดน ทำให้เปิดโลกทัศน์ของพวกเขามาก แต่ว่า เฉินจื่อิรู้สึกถึงบรรยากาศในห้องเหมือนจะแปลกประหลาดพิกล
“แย่ แย่มาก! ใส่เสื้อเข้าไป! การเต้นรำเละเทะเช่นนี้มันคืออะไรกัน!”
เสียงดัง “เพล้ง…” พร้อมกับแก้วชาในมือของโจวอ้าวเสวียนถูกทุบแตกกระจายอยู่บนพื้น
-----------------
เชิงอรรถ
[1] ไคว่ปั่น เป็เครื่องดนตรีที่ทำจากไม้ไผ่สองชิ้นมาผูกกันแล้วใช้มือเอาไม้ไผ่สองชิ้นมาตีกัน