ิญญาของพวกนางหลี่ถูกชิงอียัดเข้าไปในร่างสัตว์ ส่วนพวกนางถูกกินหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของพวกนางเอง
พวกนางยังคงมีความคิดและความทรงจำตอนที่เป็มนุษย์ แค่เปลี่ยนไปอยู่ในร่างสัตว์ที่อาจจะต้องกลายเป็อาหารของมนุษย์เท่านั้น
คิดไปแล้ว ต่อไปนี้ชีวิตในฐานะสัตว์ของพวกนางคงยากลำบากไป่หนึ่งเลยสินะ?
ชิงอีพึงพอใจกับการจัดการของตัวเองมาก
สิ่งที่แก้ไม่ได้ในตอนนี้มีแค่...
เมื่อมองแม่แมวที่หมอบอยู่หน้าบัลลังก์ ดวงตาสวยของชิงอีก็หรี่ลง นางยื่นมือออกไปลูบศีรษะของมัน
“ชาติหน้า ไปเกิดใหม่เป็มนุษย์ก็แล้วกัน”
แววตาของแม่แมวมีความตื่นเต้นฉายอยู่ มันขอบคุณชิงอีซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนจะหันไปมองลูกทั้งสี่ของตน พร้อมกับน้ำตาที่ไหลนองเป็สายเื ชิงอีวาดมือออกไป แล้วประตูที่ทำมาจากเืและกระดูกอันน่ากลัวก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ
โครงกระดูกที่ประตูคุกเข่าลงเบื้องหน้านาง
“ส่งมันไปที่เส้นทางวัฏสงสาร”
พูดจบ ดวงตากลวงๆ ของประตูโครงกระดูกก็สว่างวาบ มันมองไปที่แม่แมวด้วยสีหน้าอิจฉาริษยา
ราชินีชิงอีทรงเรียกประตูปรโลกด้วยตนเอง เพื่อส่งิญญาตนหนึ่ง แถมยังทรงกำชับว่าเ้าแมวตัวนี้จะได้เกิดใหม่เป็มนุษย์ ซึ่งจะได้เพลิดเพลินกับความสุขและมีชีวิตราบรื่นบนโลก
แม่แมวคำนับชิงอีหลายต่อหลายครั้ง ก่อนจะเดินเข้าประตูปรโลกไป
เมื่อลมหนาวพัดผ่าน ชิงอีก็ลุกขึ้นยืน
ประตูปรโลกและบัลลังก์โครงกระดูกที่นางเคยนั่งก็หายไปในบัดดล
ชิวอวี่ที่ยืนอยู่ไม่ไกลมองนางอย่างสับสน ไม่อาจบอกได้ว่ามันคือความตื่นเต้น ความชื่นชม หรือ...อับอาย
“ราชินีแห่งภูตผี คนรับใช้เหล่านี้...”
ลูกแมวในร่างของนางหลี่เดินเข้ามา และชี้ไปที่คนรับใช้สองสามคนที่ยังคงหมดสติ ทว่า แววตายังคงฉายชัดถึงความชิงชัง
คนเหล่านี้ก็เป็หนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิด พวกเขาถลกหนังและกินพวกมันด้วย! ทั้งยังฆ่าแม่ของพวกมันอีก!
“เพิ่งได้เป็คนก็คิดจะฆ่าคนเสียแล้ว พวกเ้าเจริญรอยตามพวกนางไปที่ปรโลกหรือไร?” ชิงอีจ้องนางอย่างเ็า
นางหลี่ขนลุกทันใดและส่ายหน้า
ชิงอีพ่นลมหายใจ “ฆ่าศัตรูแล้ว มันจะไปมีความสุขอะไร ค่อยๆ ทรมานช้าๆ ไม่ดีกว่าหรือ? พวกเขาชอบกินเนื้อขนาดนั้น ไม่ใช่ว่าตอนนี้พวกนางสี่คนอยู่ในร่างสัตว์หรอกหรือ? ถ้าไม่มีอะไรทำก็อ่านหนังสือให้มากๆ จะไปอ่านตามแผงหนังสือก็ได้ ไปเรียนรู้ว่าพวกเขากดขี่ข่มเหงกันอย่างไร การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นในวังวุ่นวายแค่ไหน บอกได้คำเดียวเลยว่าต้องสู้เท่านั้น!”
“เ้าแมวโง่ทั้งสี่เอ๋ย อย่าริอ่านคิดทำร้ายผู้อื่น ฮึ แล้วก็อย่าพูดว่ารู้จักข้าด้วย มันขายหน้า!”
เ้าแมวสี่ตัวรีบพยักหน้าด้วยสีหน้าละอายใจและน้อยใจ
เหมียว นี่เป็ครั้งแรกที่พวกมันได้เป็มนุษย์เลยไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร
ชิวอวี่ถึงกับพูดไม่ออก นอกจากชื่นชม...เขาจะพูดอะไรล่ะ?
เดิมทีเขาคิดว่ามันจบลงแล้ว ทว่า เมื่อได้ยินคำพูดของชิงอี
“ขุนนางชั้นผู้ใหญ่สามคนนั่นเห็นพวกเ้าอาการดีต้องดีใจเป็แน่ อย่างไรก็เถอะ ข้าไม่อยากเห็นหน้าพวกอัปลักษณ์นั่น เช่นนั้น พวกเ้าเข้าใจนะ?”
เ้าแมวสี่ตัวพยักหน้าหงึกๆ
“ราชินีวางใจได้เลย! เราสัญญาว่าจะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ!”
“ต้องสร้างความวุ่นวายในจวนของขุนนางพวกนั้น!”
“เอาให้เดือดร้อนไปทั่ว!”
“เอาให้วุ่นสุดๆ!”
“แพ้พ่ายมหันต์!”
“อืม ว่านอนสอนง่ายดีนี่” ชิงอีพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
ชิวอวี่ที่มองอยู่ยิ่งพูดไม่ออกขึ้นไปอีก เ้าแมวอ้วนที่ดูมองอยู่บนต้นไม้ตลอดก็ะโลงมา แล้วเดินอยู่ข้างชิงอี มันกระซิบกระซาบกับลูกแมวทั้งสี่ตัว
ชิวอวี่รับรู้ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปขององค์หญิง ในความไม่สบายใจเจอความรังเกียจ ชิวอวี่ส่งเสียงฮึดฮัดออกมาอยู่หลายครั้ง จากนั้นชิงอีก็กวักมือเรียกเขา
ชิวอวี่รีบไปข้างหน้า “องค์หญิงมีรับสั่งอันใดพ่ะย่ะค่ะ?”
“เ้า ร่วมมือกับมันด้วย” หลังจากชิงอีพูดจบ นางก็ไปนั่งข้างทางเดิน และเริ่มทำทีว่าหมดแรง
สีหน้าของชิวอวี่แปลกกว่าเดิมเมื่อฟังเ้าแมวอ้วนพูดจบ แต่ก็ทำได้เพียงกัดฟันพยักหน้าไป
พวกเว่ยซู่ต่างรออยู่ข้างนอกอย่างกังวล สถานการณ์ด้านในตอนนี้จะเป็อย่างไรบ้างนะ?
ทำไมไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยล่ะ?
ขณะที่พวกเขาจิตใจกำลังว้าวุ่น ประตูลานก็ถูกเปิดออก พร้อมกับมือของร่างทรงสาวที่พิงประตูด้วยใบหน้าอ่อนเพลีย “ท่านทั้งสาม เข้ามาสิ”
เมื่อทั้งสามคนเห็นเช่นนี้ พวกเขากลัวและลังเลที่จะก้าวขา สรุปแล้วสำเร็จหรือล้มเหลวกันนะ?
“ท่านปรมาจารย์ ความชั่วร้าย...ถูกขับไล่แล้วใช่หรือไม่?”
ชิวอวี่กัดริมฝีปากและพยักหน้า ตอนนี้รูปร่างหน้าตาของเขาค่อนข้างคล้ายกับนักปราชญ์หัวกะทิ ใบหน้าของเขาแดงระเรื่อ แต่โชคดีที่มีหน้ากากสวมทับไว้ จึงไม่เห็นพิรุธ
เมื่อพวกเว่ยซู่รีบเข้าไป พวกเขาก็เห็นว่าบรรดาสาวใช้ยังคงหมดสติ ยกเว้นพวกนางหลี่ที่ตื่นและยืนอยู่อย่างสง่างาม
“นางสารเลว ดูเื่ที่เ้าก่อไว้สิ ช่างโชคร้ายจริงๆ ที่ได้แต่งงานกับเ้า!” เว่ยซู่ปรี่เข้าไปหมายจะทุบตีใครบางคน
นางหลี่มีสายตาดุดัน ทว่า เมื่อนึกถึงคำสั่งของเ้าแมวอ้วนแล้ว นางเลยย่อตัวลงไปกอดขาเว่ยซู่และอ้อนวอนว่า “คุณพี่ ข้าผิดไปแล้ว ข้าทำไปโดยไม่คำนึงถึงท่าน...”
ทางฝั่งขุนนางชั้นผู้ใหญ่อีกสองคนก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน
เว่ยซู่รู้สึกขยะแขยง เขาอยากจะเตะนางอ้วนนี่ออกไปจริงๆ
เอ๋ ขาทั้งสองของเขาชะงักและไม่อาจเตะได้ จนเขาเกือบล้มลง เพราะนางอ้วนนั่น
“แคก แคก” ชิวอวี่ไอออกมาสองที
พอได้แล้ว ละครจบแล้ว
“คุณพี่ ท่านไม่รู้หรอกว่าสัตว์ประหลาดพวกนั้นดุร้ายแค่ไหน กระทั่งท่านปรมาจารย์ก็แทบจะต่อกรไม่ไหว!”
เว่ยซู่ใเมื่อได้ยินเช่นนั้น พอเขาสังเกตว่าชิงอีนั่งอยู่ใต้ชายคาไม่ได้พูดอะไร ดูเหมือนคนตายไม่มีผิด
เมื่อครู่ สีหน้าของนางตอนเปิดประตูก็ขาวซีด ราวกับสีกำแพงอย่างไรอย่างนั้น
ก่อนหน้านี้ร่างทรงสาวยังดูโกรธเกรี้ยวและเย่อหยิ่งอยู่เลยไม่ใช่หรือ? เขาเลยคิดว่านางคงมีความสามารถมาก สรุปแล้วแค่พื้นๆ งั้นหรือ?
“สัตว์ประหลาดเ่าั้? ไม่ใช่มีแค่แมวป่าตัวเดียวหรือไร?” ทั้งสามคนต่างใกัน
ชิวอวี่แสร้งทำเป็อ่อนแอและอธิบายว่า “หากมันมีแค่แมวปีศาจตัวเดียว ท่านปรมาจารย์ของข้าคงไม่ได้รับาเ็สาหัสเช่นนี้หรอก ข้าไม่เคยคิดเลยว่าลูกแมวจะกลายร่างเป็ปีศาจด้วย”
ทั้งสามต่างวิตกเมื่อได้ยินอย่างนั้น “เช่นนั้นิญญาร้ายถูกขับไล่ไปแล้วหรือยัง?! มันไม่ได้หนีไปไหนใช่ไหม?”
พวกเขากลัวตายยิ่งนัก จึงกลัวว่าหากพวกมันหลุดออกไป แล้วกลับมาแก้แค้นอีก
“เคราะห์ดีที่...”
ก่อนที่ชิวอวี่จะท่องบทพูดจบ เขาถูกนางหลี่ขโมยบทไป “เคราะห์ดีที่มีแมวต้าเซียนเข้ามาช่วยกลืนแมวร้ายตัวนั้น! ข้าเลยฟื้นมาได้!”
ทั้งสามคนถึงกับตะลึงงัน
ทำไมถึงได้มีแมวต้าเซียนออกมาอีกล่ะ?
ยามราตรี ลมกระโชกแรง ท้องฟ้าไร้เมฆ
มีร่างกลมๆ อ้วนๆ ร่างหนึ่งะโขึ้นไปบนชายคา ด้านหลังเป็ผืนนภาสุดลูกหูลูกตา เหนือหัวมีเดือนเพ็ญสุกสว่าง สายลมพัดผ่านไป มันแหงนหน้าส่งเสียงร้อง “เหมียว~~”
ทั้งสามคนเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าใ
เ้าแมวที่อ้วนจนมองไม่เห็นคอไม่เห็นขาตัวนี้ มันเป็แมวที่องค์หญิงใหญ่ทรงเลี้ยงไว้ไม่ใช่หรือ?!
“แมวต้าเซียน!”
ตุบ
เสียงตุบดังขึ้น พวกนางหลี่คุกเข่าลงด้วยความศรัทธา พร้อมสีหน้าตื่นเต้น
“ขอบคุณเทพเ้าแมวที่ช่วยชีวิตพวกข้า!”
“เมี้ยว เมี้ยว เมี้ยว”
“เดิมทีต้าเซียนเป็การจุติของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ไม่แปลกใจเลยจะกล้าหาญเช่นนี้!”
“เมี้ยว เมี้ยว เมี้ยว”
“อา ต้าเซียนกล่าวว่าโลกมนุษย์โง่เขลานัก ปฏิบัติกับท่านเหมือนสิ่งชั่วร้าย ท่านพิโรธยิ่งนัก ทว่า ท่านจะไม่เอาเื่กับมนุษย์ที่โง่เขลาเหล่านี้ โอ้! ต้าเซียน ท่านช่างใจกว้างเสียจริง!”
“เมี้ยว เมี้ยว เมี้ยว เมี้ยว”
ชิวอวี่คุกเข่าลงข้างๆ เขาอับอายจนไม่อาจจะเงยหน้าได้
บทละครเช่นนี้น่าอับอายเหลือเกิน ไหนจะการแสดงเกินจริงนี่อีก
เขาแอบเหลือบมองชิงอี จึงเห็นว่านางนั่งอยู่นิ่งไม่ขยับเขยื้อน แล้วไม่รู้ว่าหมวกซาเม่าของนางถูกลดระดับลงเล็กน้อยั้แ่เมื่อไร
อืม! องค์หญิงยังทรงมองการณ์ไกลจริงๆ
ขุนนางทั้งสามคนโง่อยู่แล้ว พวกเขาคิดว่ากำลังฝันอยู่หรือไม่?
เหตุใดพวกเขาถึงรู้สึกว่าสถานการณ์นี้ ดูไม่ชอบมาพากลและไม่สมเหตุผลเลยล่ะ?
“พวกเ้าสามคนไม่คุกเข่าเมื่อเห็นต้าเซียน อยากจะให้ต้าเซียนพิโรธ...หรือไร?” ชิวอวี่กลั้นความอายและเงยหน้าขึ้นมาพูด
ทั้งสามคนจึงคุกเข่าลง
ชิงอีที่แกล้งทำตัวนิ่งเป็หินก็ทนฟังไม่ได้ อา...
แกล้งตายก็ยังทำไม่ได้เลย
ขายหน้าผีชะมัด!
ถ้ามีพลังพอคงจบเื่ไปตั้งนานแล้ว เ้าแสดงไม่ได้เื่จริงๆ!!
