นั่นทำให้ใบหน้าที่เดิมก็บูดบึ้งอยู่แล้วของตู้เหว่ยแลดูบิดเบี้ยวมากขึ้นกว่าเดิมเขาประสานมือเป็เชิงทำคารวะมาให้ฉู่ซีฟงด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจากนั้นก็กระตุกบังเหียนม้า นำกองกำลังสามร้อยนายตรงเข้าไปสำรวจเมืองเบื้องหน้าทันที
ฉู่ซีฟงกับซูฉางอันมองตามแผ่นหลังของตู้เหว่ยและทหารสามร้อยนายฉู่ซีฟงยังคงมีสีหน้านิ่งเรียบและเ็าไม่เปลี่ยนไปจากเดิม แต่กับซูฉางอันยิ่งเวลาเลยผ่านไปนานมากขึ้นเท่าไร สีหน้าของเขาก็ดูไม่ดีมากขึ้นไปเรื่อยๆในที่สุดเขาก็ขมวดคิ้วเป็ปม ราวกำลังอดทนกับอะไรบางอย่างอย่างเต็มกำลัง
และในตอนที่ซูฉางอันหน้าเสียกำลังจะเปลี่ยนจากการหน้าซีดไปเป็ซีดเผือดนั้นในที่สุดตู้เหว่ยกับพวกก็หายไปลับตาแล้ว
“วู้” ฉู่ซีฟงพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกจากนั้นก็แตะนิ้วลงบนแผ่นหลังของซูฉางอันเบาๆ เพียงเท่านั้นร่างกายของเขาก็ราวถูกปลดออกจากพันธนาการที่มองไม่เห็น เขาก้มตัวลงอย่างกะทันหันจากนั้นก็ชันฝ่ามือลงบนหัวเข่าทั้งสองข้างก่อนพายุแห่งความสะอิดสะเอียนคลื่นไส้จะะเิออกมาอย่างรุนแรงของเหลวในกระเพาะอาหารพากันพรั่งพรูออกมาจากปากของเขา เพราะความเร่งรีบเมื่อเช้าเขาจึงแทบยังไม่ได้กินอะไรเลยดังนั้นสิ่งที่พอจะอาเจียนออกมาได้ก็มีเพียงน้ำในกระเพาะเท่านั้น
ซูฉางอันอาเจียนออกมาอย่างต่อเนื่องแม้ในท้องจะไม่มีอะไรเหลือแล้ว แต่เขาก็อดรู้สึกพะอืดพะอมไม่ได้อยู่ดีรู้สึกราวต้องขย้อนตับไตไส้พุงออกมาจนหมดจึงจะหยุดลงได้เช่นนั้น ทางด้านฉู่ซีฟงดูเหมือนเขาจะคาดการณ์ได้ตั้งนานแล้วว่าต้องเป็เช่นนี้ จึงยืนนิ่งอยู่ข้างๆไม่ได้มีท่าทีใเลยแม้แต่น้อย เขาไม่ทำ และไม่พูดอะไรออกมาสักคำเพียงมองซูฉางอันอาเจียนต่อไปอย่างสงบเท่านั้น
เป็เวลานาน กว่าเสียงอาเจียนของซูฉางอันจะหยุดลงอย่างช้าๆเขายืดตัวกลับมายืนตรงอีกครั้งด้วยใบหน้าซีดเผือดโดยไม่กล้าหันไปมองศพที่นอนเกลื่อนอยู่รอบๆ อีก
ซูฉางอันรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจับใจซึ่งความรู้สึกเช่นนี้ ไม่สมควรจะเกิดกับจอมดาราแห่งงานหลอมดาวเลย
แต่เขาก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตนรู้สึกกลัวจริงๆอย่างไรเสียเขาก็เป็เพียงเด็กหนุ่มที่กำลังจะมีอายุครบสิบเจ็ดในอีกสองเดือนเท่านั้นและใน่ชีวิตสิบเจ็ดปีอันแสนยาวนานที่ผ่านมาเขายังไม่เคยเห็นศพมากมายขนาดนี้มาก่อนเลย ขนาดบนเขาโยวหยุนคนที่ตายในวันนั้นยังมีจำนวนเพียงไม่ถึงสิบคนเท่านั้น
ทว่าบัดนี้ภาพของหน้ากลับเต็มไปด้วยศพเน่าเละที่นอนเกลื่อนกลาดไปทั่วภาพเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกะเืใจเหลือเกินจึงอดรู้สึกสั่นสะท้านข้างในหัวใจอย่างเสียไม่ได้แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน จนอาเจียนออกมาเช่นนี้นั่นเอง
เมื่อรู้สึกดีขึ้นมาบ้างแล้วซูฉางอันจึงมองไปที่ฉู่ซีฟงด้วยสายตาสงสัย แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรออกมาเสียงของฉู่ซีฟงก็ดังขึ้นที่ข้างหูเสียก่อน
“เผชิญกับความตายอย่างซึ่งๆ หน้านั่นสำคัญกับนักดาบมาก” ฉู่ซีฟงมองตรงไปข้างหน้าพลางกล่าวขึ้น
ซูฉางอันชะงักนิ่งไปพลางนึกเห็นด้วยกับคำพูดของฉู่ซีฟงไปด้วยแต่ในขณะที่เขากำลังจะพูดขอบคุณเื่คำแนะนำ จู่ๆ ก็รู้สึกเอะใจขึ้นมาเสียก่อนจึงหันกลับไปบอกกับฉู่ซีฟงดังนี้ “ข้ากำลังจะถามว่าทำไมท่านต้องผนึกชีพจรของข้าเอาไว้ต่างหาก!!”
ชีพจร เป็เส้นทางในการขับเคลื่อนพลังิญญาของนักรบทุกคนเมื่อถูกผนึกชีพจรเอาไว้ นักรบจะไม่สามารถใช้พลังิญญา หรือขยับร่างกายได้เมื่อครู่นี้ ทันทีที่ซูฉางอันเข้ามาในเมืองหลานหลิงเขาก็รู้สึกพะอืดพะอมมาั้แ่นั้นแล้ว แต่ยังไม่ทันที่จะได้อาเจียนออกมาเขาก็ถูกฉู่ซีฟงผนึกชีพจรเอาไว้เสียก่อนจึงทำได้เพียงอดทนต่อความพะอืดพะอมต่อไปด้วยท่าทางเงียบขรึมอย่างไม่มีทางเลือกกระทั่งเมื่อครู่ เมื่อตู้เหว่ยกับพวกเดินออกไปไกล ฉู่ซีฟงจึงปลดผนึกให้ในที่สุด
คำถามของซูฉางอันไม่ได้ทำให้ฉู่ซีฟงมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อยเขาเพียงปรายตามองซูฉางอันอย่างราบเรียบ แล้วกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“ศักดิ์ศรี ก็สำคัญกับนักดาบไม่แพ้กัน”
“...” ซูฉางอันรู้สึกพูดไม่ออกขึ้นมาทันที
เมืองหลานหลิงไม่ใช่เมืองใหญ่อะไรเพียงไม่นาน พวกเขาก็มาถึงถนนกว้างสำหรับให้รถม้าวิ่งผ่าน ดูจากอาคารบ้านเรือนและสิ่งก่อสร้างที่อยู่รอบๆ แล้ว คาดว่าก่อนหน้านี้ที่นี่ต้องเป็ย่านตลาดและร้านค้าของเมืองแน่ ก่อนหน้านี้ที่นี่คงจะครึกครื้นน่าดูทว่าในตอนนี้กลับเหลือเพียงซากศพเน่าเฟะเท่านั้น
ซูฉางอันยังคงหน้าซีดอยู่เล็กน้อยแต่ก็ดูดีขึ้นมามากแล้ว เขาถือดาบเอาไว้ในมือ แล้วมองสำรวจไปรอบๆ อย่างระแวดระวังทางด้านของฉู่ซีฟงเขากำลังนั่งย่อตัวอยู่ข้างศพที่มีสภาพเละจนไม่เหลือเค้าเดิมศพหนึ่งราวกำลังสำรวจอะไรบางอย่างตลอดทางที่ผ่านมา เขาทำเช่นนี้มามากกว่าสิบครั้งแล้วและยิ่งสำรวจศพพวกนี้มากขึ้นเท่าไรเขาก็ยิ่งมีสีหน้าหนักอึ้งมากขึ้นกว่าเดิมทุกครั้ง
ครั้งนี้ก็เช่นกันเมื่อลุกขึ้นยืนอีกครั้ง คิ้วคมก็ขมวดเข้าหากันจนกลายเป็ปม
ซูฉางอันไม่เข้าใจว่าทำไมฉู่ซีฟงจึงมีสีหน้าท่าทีเช่นนั้นแต่เขารู้สึกว่าสีหน้าของฉู่ซีฟงในตอนนี้ช่างแลดูครึ้มหม่นเหลือเกินมันดูหม่นหมองไม่ต่างไปจากเมฆครึ้มที่อาจจะเกิดพายุหรือมีฝนสาดกระหน่ำลงมาเมื่อใดก็ได้เลย
เขากล่าวถามขึ้น “ท่านผู้าุโ เป็อย่างไรบ้างขอรับ?”
ฉู่ซีฟงมองซูฉางอันแวบหนึ่งก่อนจะกล่าวขึ้น “แปลกมาก”
“แปลก?”
“ใช่ แปลกมาก ดูศพพวกนี้สิแม้าแของพวกเขาจะอยู่ในตำแหน่งที่แตกต่างกันออกไปแต่ทุกคนต่างก็ตายเพราะถูกโจมตีด้วยของมีคมและตายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น มาที่เื่ต่อไปหากตรวจสอบตำแหน่งของศพแล้ว จะพบว่าศพพวกนี้ถูกทิ้งเอาไว้อย่างเกลื่อนกลาด ทั้งยังกระจัดกระจายไม่ได้อยู่เป็กระจุก รู้ไหมว่านี่หมายความว่าอะไร?”
เมื่อได้ยินดังนั้นซูฉางอันก็หันไปสำรวจตำแหน่งของศพรอบๆ จากนั้นก็ครุ่นคิดอยู่นานทว่าท้ายที่สุดเขาก็ยังส่ายหัว แล้วพูดขึ้น “ไม่ทราบขอรับ”
ดูเหมือนฉู่ซีฟงจะรู้ั้แ่แรกแล้วว่าซูฉางอันต้องตอบเช่นนี้จึงอธิบายขึ้นโดยไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองเลยด้วยซ้ำ “ดูตำแหน่งของศพพวกนี้สิ ดูเหมือนนั่นจะเป็ตำแหน่งก่อนตายของพวกเขาและที่นี่ก็เป็ตลาดที่มีผู้คนพลุกพล่านดูจากตำแหน่งที่ศพแต่ละศพวางอยู่แล้วเราก็เดาได้ไม่ยากว่าก่อนตายคนเหล่านี้กำลังเลือกซื้อสินค้าภายในตลาดอยู่”
ซูฉางอันฟังไปก็งงไปเขาไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไรว่าฉู่ซีฟงหมายความว่าอะไรกันแน่ ที่นี่เป็ตลาดเป็ย่านการค้า คนที่มาที่นี่ย่อมต้องมาซื้อของกันอยู่แล้ว นี่เป็เื่ธรรมดานี่ทำไมต้องพูดเน้นด้วย? ในตอนแรกเขาคิดจะเตือนฉู่ซีฟงออกไปเช่นนั้น แต่จู่ๆเขาก็นึกสิ่งที่ฉู่ซีฟงเคยพูดตอนก่อนหน้านี้ขึ้นมาเสียก่อน... ศักดิ์ศรีสำคัญกับนักดาบมาก
ดังนั้นเขาจึงครุ่นคิดอย่างจริงจังอยู่อีกสักพักจากนั้นจึงแกล้งทำราวกระจ่างแจ้งขึ้นในที่สุด
ฉู่ซีฟงปรายตามองซูฉางอันเพียงครู่หนึ่งเมื่อได้เห็นท่าทางของเขา ฉู่ซีฟงก็อดคิดขึ้นในใจไม่ได้... ซูฉางอันมีดีทุกอย่างมีความมุ่งมั่น ทั้งยังไม่กลัวความยากลำบากอีก น่าเสียดายที่ทึ่มไปเสียหน่อยที่ผู้ตายพวกนี้มาที่ตลาด ย่อม้ามาจับจ่ายซื้อของกันอยู่แล้ว เดิมทีเขาคิดว่าต่อให้ซูฉางอันจะทึ่มมากขนาดไหน ก็น่าจะพอเดาเื่ง่ายๆ เช่นนี้ได้ที่เขาพูดแบบนั้นออกไป เพราะ้าพูดถึงประเด็นที่ซ่อนอยู่ในนั้นต่างหากแต่คิดไม่ถึงเลย ว่าเื่ง่ายๆ ที่เห็นได้ชัดเจนขนาดนี้ก็ยังต้องรอให้เขาอธิบายซูฉางอันจึงจะเข้าใจ...
เดิมเขา้าจะพูดอะไรเพิ่มเติมเสียหน่อยแต่ก็คิดถึงคำที่เพิ่งพูดออกไปเมื่อครู่ขึ้นมาเสียก่อน...ศักดิ์ศรีสำคัญกับนักดาบมาก
แม้ซูฉางอันจะมีวิชาความรู้และพลังไม่มากแต่อย่างน้อยเขาก็ใช้ดาบเป็อาวุธ สำหรับฉู่ซีฟงแล้วคนที่ใช้ดาบเป็อาวุธย่อมเป็นักดาบ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าจะรักษาหน้าของซูฉางอันเอาไว้จึงฝืนปั้นหน้าเป็เชิงว่า ‘ถูกต้องศิษย์คนนี้มีพร์จริงๆ’ ขึ้นบนใบหน้าอันแสนเ็าของตัวเอง
นักดาบรุ่นใหญ่และรุ่นเล็กพูดคุยกันต่อไปอย่างปากไม่ตรงหัวใจ ด้วยความคิดที่ว่าต้องให้เกียรติต่ออีกฝ่าย...
“แต่นั่นไม่ใช่เื่ปกติ” ฉู่ซีฟงกล่าวขึ้นแล้วกลับมามีใบหน้าเ็าเหมือนเดิมอีกครั้ง
“หืม? ทำไมถึงไม่ปกติเล่าขอรับ?” ซูฉางอันถามด้วยความสงสัย
“หากเ้าไปตลาดแล้วจู่ๆก็มีคนบุกเข้ามา หรือฆ่าใครสักคนในตลาด เ้าจะทำยังไง?” ฉู่ซีฟงถาม
ซูฉางอันชะงักนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะชูดาบของตัวเองขึ้น “แน่นอนว่าต้องฟันคนๆนั้นให้ตายไปเลยขอรับ”
คำตอบของซูฉางอันทำให้ฉู่ซีฟงชะงักนิ่งไปอีกครั้งเขาจ้องไปที่ซูฉางอันอยู่นาน จึงกล่าวขึ้นในที่สุด “ข้าหมายถึง หากเ้าไม่มีพลังิญญา ไม่มีทางสู้กับโจรได้เป็เพียงสามัญชนธรรมดาเหมือนคนพวกนี้ต่างหาก”
“แบบนั้นรึ” ซูฉางอันจับจมูกตัวเองอย่างเขินอายจากนั้นจึงพูดขึ้นอีก “แน่นอนว่าต้องหนีสิขอรับ”
“ถูกต้อง ต้องหนีไปเมื่อเจอเหตุการณ์เช่นนี้ คนธรรมดาย่อมต้องวิ่งหนีเพื่อเอาชีวิตรอดอยู่แล้วและตามสัญชาตญาณของมนุษย์ ส่วนมากพวกเขาจะวิ่งไปรวมกันในจุดที่มีคนอยู่ชุกชุมแต่จากที่พวกเราเห็นมา ตลอดทางที่ผ่านมามีศพเกลื่อนกลาดอยู่เต็มไปหมดทั้งศพเ่าั้ก็ยังอยู่ในตำแหน่งที่กระจัดกระจายกันไป อีกอย่างดูจากท่าทางและตำแหน่งของพวกเขาแล้ว ศพพวกนั้นไม่มีท่าทีตื่นตระหนกราวกำลังหนีตายอยู่เลยแม้แต่น้อยรู้หรือเปล่าว่านั่นแปลว่าอะไร?”
ซูฉางอันครุ่นคิดอย่างจริงจังอยู่นานเขารู้สึกราวกับตนเข้าใจความหมายที่ฉู่ซีฟง้าจะสื่อแล้วแต่ก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายออกมาเป็คำพูดอย่างไร เขาอ้าปากขึ้น ราวคำพูดติดอยู่ที่ปากแต่แม้จะพยายามอยู่นานก็ไม่อาจเปล่งเสียงใดๆ ออกมาได้เลย
“นั่นก็แสดงว่า” ดูเหมือนฉู่ซีฟงจะทนรอให้ซูฉางอันเรียบเรียงคำพูดไม่ไหวแล้วจึงพูดต่อไปด้วยตนเอง
“คนนับพันในเมืองแห่งนี้ถูกสังหารด้วยของมีคมพร้อมๆ กันอย่างไรเล่า!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้