ครู่กาลล่วงเลย เปลือกตาคู่หนึ่งค่อยๆปรือเปิดจากห้วงนิทรา ความพร่าเลือนในม่านตาค่อยๆ จางหาย แปรเปลี่ยนเป็ความคมชัด อวี้เหวินขยับศีรษะเพียงเล็กน้อย หันไปยังทิศเบื้องขวา พลันปรากฏแก่สายตาซึ่งร่างของอสูรแมงมุมพิศดารตัวหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่
เมื่อเขาพิเคราะห์ดูอย่างละเอียด จะเห็นได้ว่าใบหน้าของมันละม้ายคล้ายคลึงกับสุนัขอย่างน่าประหลาด มันถูกสังหารจนร่างแหลกเหลวออกเป็สองส่วน ชิ้นส่วนอวัยวะกระจัดกระจาย เืสีม่วงเข้มข้นไหลนองผืนปฐี ส่งกลิ่นคาวคลุ้งรุนแรงท่ามกลางไอแดดที่แผดเผาราวกับเปลวเพลิง
"เ้าตื่นแล้วหรือ?" เสียงหนึ่งดังขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ มิได้แสดงความตื่นตระหนกต่อภาพที่ปรากฏ
เสียงนั้นปลุกอวี้เหวินให้หลุดพ้นจากภวังค์แห่งความงุนงง
เขาสังเกตเห็นว่าอาภรณ์ของตนเปรอะเปื้อนไปด้วยของเหลวสีม่วงเหนียวข้น ซึ่งบัดนี้ได้แห้งกรังติดอยู่กับเนื้อผ้า "มัน... มันเกิดอันใดขึ้นกัน?" อวี้เหวินพึมพำด้วยความสับสน
"เ้าถูกอสูรแมงมุมพิษหน้าสุนัขเล่นงานเข้าแล้ว" ซ่งเหยียนเฟยกล่าวพลางชี้ไปยังซากอสูรที่นอนตายอยู่มิไกล
"เ้าอาจถูกพิษของมันขณะที่ยึดเหนี่ยวโขดหิน นั่น จึงเป็เหตุให้เ้ารู้สึกหนักอึ้งราวกับถูกมนต์สะกด จนกระทั่งสลบไป โชคดีที่ข้าไหวตัวทัน จึงรีบติดตามหามันจนพบ แล้วสังหารมันเพื่อสกัดเอาส่วนที่เป็ยาถอนพิษในกายมันมาให้เ้าดื่ม เพื่อขับพิษนั้นออกจากร่าง มิฉะนั้น ป่านนี้เ้าคงมิอาจลืมตาขึ้นมาได้อีกแล้ว" ซ่งเหยียนเฟยอธิบายให้อวี้เหวินฟังอย่างละเอียด
"แต่อสูรแมงมุมตัวนี้ช่างพิกลพิการ หากข้ามิได้เพ่งสมาธิจับจ้องมันอย่างถี่ถ้วน ข้าแทบไม่อาจตรวจจับร่องรอยการดำรงอยู่ของมันได้เลย มิเช่นนั้นเ้าคงมิถูกพิษของมันได้โดยง่ายเช่นนี้" เขาพูดพลางดีดวัตถุสิ่งหนึ่งออกมาจากปลายนิ้ว วัตถุนั้นกลิ้งไปหยุดอยู่ตรงหน้าอวี้เหวินที่ยังคงนอนอยู่บนพื้น
วัตถุนั้นมีลักษณะเป็ทรงกลมสีดำขลับ มันวาวราวกับหยกดำเม็ดงาม มองเผินๆ อาจมิได้บ่งบอกถึงความพิเศษอันใด ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปเพียงครู่ วัตถุสีดำกลมเกลี้ยงนั้นกลับเริ่มเลือนราง จางหายไปกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ ราวกับกลืนกินแสงและสีสันจนมิอาจสังเกตเห็นได้อีกต่อไป สิ่งนี้สร้างความตื่นตะลึงให้กับอวี้เหวินเป็อย่างยิ่ง
"นี่... นี่มันมีสิ่งเช่นนี้ดำรงอยู่ในโลกด้วยหรือนี่?" เขาเบิกดวงตากว้าง มองไปยังวัตถุลึกลับที่ค่อยๆ เลือนหายไปด้วยความฉงน
ซ่งเหยียนเฟยได้ยินดังนั้นจึงเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาคู่เล็กฉายแววภูมิใจ "สิ่งนี้เรียกว่า 'แก่นวายุอำพราง' ซึ่งเป็หัวใจที่ถูกกลั่นกรองออกมาจากซากศพของพญาจิ้งจกมายา คาดว่าอสูรแมงมุมตัวนี้โชคดีได้รับสิ่งนี้มาโดยบังเอิญจากพญาจิ้งจกมายาที่สิ้นชีพไปแล้ว เพราะด้วยพละกำลังของตัวมันเอง มิอาจจะทำอันตรายพญาจิ้งจกมายาได้อย่างแน่นอน" ซ่งเหยียนเฟยกล่าวอวดอ้างความรู้ของตนเอง พลางดึงลูกแก้วเม็ดนั้นกลับมาไว้ในอุ้งมือน้อยๆ ของเขา มันจึงกลับคืนสู่สีดำขลับดังเดิมอีกครั้งหนึ่ง
"เป็เช่นนี้นี่เอง" อวี้เหวินพยักหน้าอย่างเข้าใจ
"ตุบ!" เสียงวัตถุทรงกลมถูกโยนมาหยุดอยู่ตรงหน้าอวี้เหวินอีกครา
"ข้าให้เ้า สิ่งนี้จำเป็อย่างยิ่งสำหรับเ้า มันจะช่วยเ้าในการอำพรางซ่อนเร้นกาย และป้องกันภัยจากผู้ที่มีระดับพลังต่ำกว่าขั้นก่อกำเนิดได้ทุกคน" ร่างเล็กๆ ตรงหน้าเขากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง
อวี้เหวินคว้าแก่นวายุอำพรางขึ้นมา ััผิวมันวาวเย็นเยียบเพียงครู่ ก่อนจะเก็บซ่อนไว้ในสาบเสื้ออย่างมิดชิด
'สิ่งนี้เก็บไว้ภายหลังกลับถึงเรือนค่อยให้เขาถ่ายทอดวิชาการใช้ก็แล้วกัน ตอนนี้สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการฟื้นฟูเรี่ยวแรงและกำลังที่สูญเสียไปให้กลับคืนมาโดยเร็ว'
เขาลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิในทันที หลับตาลงอย่างสงบ เพื่อรวบรวมสมาธิอันแน่วแน่และฟื้นฟูพลังที่เหือดแห้งให้กลับคืนสู่สภาพเดิม
ครึ่งชั่วยามล่วงผ่าน พลังเรี่ยวแรงในกายของเขาก็ค่อยๆ ฟื้นคืนมาทีละน้อย ทว่าวันนี้เขาตระหนักดีว่าไม่อาจเดินทางลึกเข้าไปในเขตอสูรได้ไกลกว่านี้อีกแล้ว บริเวณนี้คือขีดจำกัดแห่งความสามารถของเขาในยามนี้ เขาจึงส่ายศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มทบทวนเคล็ดวิชาเตาอัสนีวิบัติที่เพิ่งได้รับมาในห้วงมโนสำนึก ข้อมูลต่างๆ ปรากฏขึ้นในห้วงความคิดของเขาอย่างแจ่มชัด
'เคล็ดวิชาเตาอัสนีวิบัติขั้นเเรก เริ่มต้นจากการนำพาไอความร้อนจากภายนอกเข้าสู่ภายในร่างกาย ขั้นแรกนี้เปรียบประดุจการเผาหลอมโลหะให้กล้าแกร่ง ขจัดสิ่งสกปรกและมลทินที่เจือปนอยู่ออกไป เพื่อให้เนื้อโลหะบริสุทธิ์พร้อมสำหรับการตีแผ่และเจียระไนให้งดงาม เป็การนำพาไอความร้อนจากภายนอกเข้าสู่ภายใน ดูดซับและแปรเปลี่ยนเป็พลังงานเพลิง เผาผลาญอวัยวะภายในทีละส่วน เพื่อขับไล่สิ่งสกปรกและกระตุ้นการสร้างใหม่ของเนื้อเยื่อให้แข็งแกร่งและทนทานยิ่งขึ้น'
อวี้เหวินเริ่มสูดซับพลังไอความร้อนที่แผ่กระจายอยู่โดยรอบกายอย่างเชื่องช้า ไอความร้อนเ่าั้ค่อยๆ แทรกซึมผ่านิั ราวกับสายฝนที่ค่อยๆ ซึมซาบลงสู่ผืนดิน เข้าสู่ตันเถียนของเขา แปรเปลี่ยนเป็พลังงานสีแดงเพลิงไหลเวียนไปทั่วสรรพางค์กาย พลังสีแดงค่อยๆ แทรกซึมลึกเข้าไปในอวัยวะภายใน ซึมซาบสู่เนื้อเยื่อ เซลล์ และเริ่มกระบวนการเผาไหม้ แปรเปลี่ยนโครงสร้างให้แข็งแกร่งและคงทนยิ่งกว่าเดิม
มันเผาผลาญลงลึกถึงระดับที่เล็กที่สุดดุจธุลี ก่อให้เกิดกระบวนการสร้างใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในระดับโมเลกุล ขยายตัวขึ้นสู่ระดับเซลล์ ระดับเนื้อเยื่อ และหยั่งลึกลงไปถึงอวัยวะภายใน ซึ่งกระบวนการอันซับซ้อนนี้ได้สร้างความเ็ปแสนสาหัสให้กับอวี้เหวินอย่างยิ่ง ราวกับถูกเปลวเพลิงแผดเผาทั้งเป็ เนื่องจากมันเป็การเปลี่ยนแปลงจากจุดที่เล็กที่สุดไปสู่จุดที่ใหญ่ที่สุด ค่อยๆ กัดกร่อน เผาไหม้ทุกตารางนิ้วของเนื้อหนังของเขาอย่างเชื่องช้า สร้างความทรมานที่เกินกว่าจะทานทน
"กรอด..." เสียงกัดฟันของอวี้เหวินดังลอดไรฟันออกมา บ่งบอกถึงความเ็ปที่เขากำลังเผชิญ ขณะนี้ทั่วทั้งร่างของเขาชุ่มโชกไปด้วยหยาดเหงื่อเม็ดโต ยิ่งเวลาล่วงเลยผ่านไป ใบหน้าคมสันของเขาก็ยิ่งแสดงออกถึงความเ็ปและความเหนื่อยล้าจนแทบจะหมดเรี่ยวแรง ทว่าด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นและแข็งแกร่งดุจเพชร เขาจึงยังคงยืนหยัดอยู่ได้โดยมิได้ล้มลง กระบวนการสร้างใหม่ยังคงดำเนินไปอย่างเชื่องช้า
หากสามารถมองทะลุเข้าไปในร่างของเขาได้ จะพบว่าอวัยวะภายในของเขานั้นบัดนี้เต็มไปด้วยสีแดงฉานราวกับถูกเพลิงบรรลัยกัลป์เผาไหม้ มิใช่สีแดงจากโลหิต แต่เป็สีแดงของพลังงานความร้อนอันบริสุทธิ์ ร่างกายของอวี้เหวินเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ สิ่งสกปรกต่างๆ ถูกขับออกมาจากรูขุมขนมากมาย กล้ามเนื้อเริ่มมีความแข็งแกร่ง กระชับ และยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น
เขาทำกระบวนการนี้อย่างต่อเนื่องจนกระทั่งดวงตะวันเริ่มคล้อยต่ำลงจากขอบฟ้า เขาจึงหยุดการฝึกฝน และทรุดกายลงกับพื้นดินอย่างหมดเรี่ยวแรง "ตึง!" ด้วยความเหนื่อยอ่อนและความเ็ปอย่างแสนสาหัส ร่างกายของเขามีสีแดงก่ำไปทั่วทุกส่วน น้ำที่เขาเตรียมมาด้วยนั้นเหือดแห้งไปจนไม่เหลือแม้แต่หยาดเดียว
"ฮ่าๆ! เพียงเท่านี้ก็ถึงกับทรุดกายเสียแล้วหรือ เ้าหนู?" เสียงของซ่งเหยียนเฟยดังขึ้นเมื่อเห็นอวี้เหวินล้มลงกับพื้นดินอย่างหมดสภาพ
อวี้เหวินที่กำลังหอบหายใจถี่กระชั้นด้วยความเหนื่อยอ่อนมิได้ใส่ใจต่อคำเยาะเย้ยนั้นแม้แต่น้อย เขากำลังตั้งสติและปรับสภาพร่างกายให้กลับคืนสู่ภาวะปกติ เมื่อทุกสิ่งเริ่มเข้าที่เข้าทาง พวกเขาทั้งสองจึงเริ่มออกเดินทางกลับสู่เรือน จบสิ้นการฝึกฝนอันแสนทรหดในวันนี้
---
สามวันให้หลังจากการพักผ่อนและปรับสภาพร่างกายให้คุ้นชินกับการฝึกฝนอันหนักหน่วง อวี้เหวินก็ออกเดินทางสู่เทือกเขาอีกครั้ง คราวนี้เขาสามารถก้าวล่วงเข้าไปได้ลึกกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด สองเท้าเหยียบย่ำไปบนผืนดินที่แห้งแล้งและแตกระแหง ไอแดดร้อนระอุแผดเผาผิวกายราวกับเปลวเพลิง
เขายังคงดำเนินกระบวนการฝึกฝนเช่นเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า หล่อหลอมร่างกายของตนให้แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าที่ผ่านการตีแผ่และเผาหลอมมานับครั้งไม่ถ้วน ผ่านพ้นไปหลายราตรี บัดนี้อวี้เหวินเข้าใกล้ถิ่นฐานของพยัคฆ์หางแมงป่องเกินกว่าครึ่งทางแล้ว
ขณะที่เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนลานหินทราย ดูดซับพลังไอความร้อนที่แผ่กระจายอยู่โดยรอบกาย ราวกับมีเสียงเดือดปุดๆ ดังมาจากภายในร่างของเขา คล้ายน้ำที่ถูกต้มจนถึงจุดเดือด ปุๆ ควันสีขาวจางๆ เริ่มเคลื่อนออกจากรูขุมขนทั่วทั้งร่างกาย ราวกับไอน้ำที่ระเหยขึ้นจากผิวดิน ฉ่า~ พรึ่บ! เปลวเพลิงสีแดงฉานลุกโชนขึ้นจากภายในร่างของเขา เผาไหม้เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่จนมอดไหม้กลายเป็เถ้าธุลีในพริบตา
ตึง! เสียงดังก้องกังวานมาจากภายในร่างของอวี้เหวิน ราวกับมีกุญแจที่ปิดผนึกพลังเอาไว้ถูกปลดปล่อย พลังอันมหาศาลไหลเวียนไปทั่วทุกส่วนของร่างกายดุจกระแสธาราที่เชี่ยวกราก กล้ามเนื้อและอวัยวะต่างๆ แข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ิัเปล่งประกายสีทองแดงเรืองรอง ราวกับโลหะที่ถูกขัดเงาจนขึ้นวาว
บึ้ม! เขาปลดปล่อยพลังที่สะสมไว้ออกมาด้วยการออกหมัดขวาโจมตีโขดหินที่อยู่ข้างกาย แรงปะทะมหาศาลราวกับูเาถล่ม ทำให้โขดหินแกรนิตขนาดใหญ่ะเิแตกกระจายเป็เสี่ยงๆ ฝุ่นผงและเศษหินปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ
"ในที่สุดข้าก็เข้าสู่ระดับแรกเริ่มของขั้นแรกแห่งวิชาเตาอัสนีวิบัติแล้ว! แถมยังโชคดีทะลวงสู่ขั้นกลางของระดับก่อตั้งรากฐานได้อีกด้วย ฮ่าๆ!"
เขาเปล่งเสียงหัวเราะก้องกังวานด้วยความปิติยินดีอย่างสุดจะกล่าว ราวกับนักรบผู้พิชิตที่ได้รับชัยชนะในสนามรบ
'เ้าหนุ่มผู้นี้ ผ่านมาเพียงไม่กี่วันก็สามารถสำเร็จสู่ขั้นแรกของวิชาได้ แถมยังทะลวงสู่ระดับก่อตั้งรากฐานขั้นกลางได้อีก ช่างน่าประหลาดใจยิ่ง คงมิอาจประมาทเขาได้เสียแล้ว หึๆ!' ซ่งเหยียนเฟยซึ่งเฝ้ามองอยู่ห่างๆ ครุ่นคิดในใจด้วยความประหลาดใจระคนชื่นชม
"เป็อย่างไรบ้าง? ข้าเก่งกาจใช่หรือไม่เล่า? ฮ่าๆ!" อวี้เหวินกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างภาคภูมิใจ เมื่อเห็นซ่งเหยียนเฟยกำลังจับจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา
"หึ! สำเร็จเพียงเท่านี้ก็ทำเป็คุยโว หากเ้าสามารถสำเร็จสู่ขั้นแรกระดับสูงสุดได้ภายในหนึ่งเดือนค่อยมากล่าวคำโอ้อวดกับข้า" ซ่งเหยียนเฟยเบือนหน้าหนีเล็กน้อย ทำท่าทางไม่สบอารมณ์ แต่ในดวงตากลับแฝงไว้ด้วยความพึงพอใจ
"เ้าคอยดูเถิด ภายในหนึ่งเดือน ข้าจะต้องทำให้สำเร็จได้อย่างแน่นอน!" เขาพูดด้วยสายตาที่มุ่งมั่นและเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น พร้อมกับหัวเราะเบาๆ ในใจที่เขาสามารถยั่วโทสะซ่งเหยียนเฟยได้บ้างแล้ว
"พวกเราเดินทางกันต่อเถอะ..." อวี้เหวินกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น พร้อมกับก้าวเท้าเข้าใกล้ถิ่นที่อยู่ของพยัคฆ์หางแมงป่องมากยิ่งขึ้น ท่ามกลางไอแดดที่แผดเผาและผืนดินที่แห้งแล้ง
---
ณ ดินแดนภาคกลางของแคว้นตงชิง ที่แห่งนี้เป็ผืนพสุธาอันกว้างใหญ่ซึ่งทอดตัวเป็ที่ราบต่ำ ดุจแผ่นกระจกเรียบล้อรับแสงตะวัน แม้นมิได้สูงตระหง่านดังขุนเขาแห่งแดนเหนือ ทว่าโดยรอบยังมีเทือกเขาน้อยใหญ่ขนาบข้าง ราวเป็กำแพงธรรมชาติที่ล้อมรอบคุ้มกัน มองดูแล้วเปี่ยมด้วยอำนาจและความเกรียงไกร สายลมพัดพาความเย็นชื้นของแผ่นดินผสานกับกลิ่นอายแห่งป่าเขา ชวนให้ผู้มาเยือนได้ััถึงความยิ่งใหญ่และลี้ลับของสถานที่แห่งนี้
ณ ใจกลางของดินแดนภาคกลาง มีเมืองหนึ่งตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่ภายใต้ร่มเงาแห่งขุนเขา เมืองนั้นมีนามว่า "เมืองเฉิน" อันเป็ศูนย์กลางแห่งอำนาจและความรุ่งเรือง ตระกูลเฉิน ซึ่งเป็เชื้อสายที่สืบทอดกันมายาวนานได้ปกครองที่แห่งนี้มาหลายชั่วอายุคน ทั่วทั้งแผ่นดินต่างยำเกรงและสรรเสริญในอำนาจของพวกเขา เทือกเขาที่โอบล้อมเมืองเฉิน ราวกับัโบราณที่ขดตัวปกปักษ์คุ้มครอง สายหมอกจาง ๆ ลอยเรี่ยอยู่เบื้องบน เติมเต็มบรรยากาศให้ลี้ลับและน่าครั่นคร้ามแก่ผู้มาเยือน
เมืองเฉินมีอาณาเขตปกครองอันกว้างขวางสุดลูกหูลูกตา รัศมีการปกครองขยายออกไปไกลถึงหนึ่งล้านลี้ หากมิใช่บุคคลที่ได้รับอนุญาตหรือมิได้มีธุระจำเป็ ย่อมมิอาจก้าวเท้าเข้าสู่เขตปกครองของเมืองได้โดยง่าย ประตูทางเข้าเมืองเฉินมีเพียงแห่งเดียว นั่นคือประตูใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้า ก่อสร้างขึ้นจากศิลาอันแข็งแกร่ง สูงใหญ่เสียจนหากมนุษย์ยืนอยู่เบื้องหน้าก็ไม่ต่างจากมดปลายเท้าช้าง ใต้ซุ้มประตูนั้นมียามสองนายยืนเฝ้าอยู่ตลอดเวลา ดวงตาคมปลาบจับจ้องผู้คนที่เข้าออกทุกขณะ ไม่มีสิ่งใดเล็ดลอดสายตาไปได้โดยง่าย
ชายทั้งสองเป็ผู้ฝึกยุทธ์ระดับ "หลอมรวมกายา" อันเป็ระดับชั้นที่ยังมิมีลมปราณ ทว่ามีกายาอันแข็งแกร่งเหนืุ์ทั่วไป พวกเขาหาใช่เพียงยามเฝ้าประตูธรรมดา หากแต่เป็ยอดฝีมือที่สามารถข่มขวัญศัตรูได้เพียงแค่ยืนอยู่เฉย ๆ แม้มิได้แผ่ลมปราณออกมา ทว่ารัศมีแห่งพลังอันหนักแน่นยังคงแผ่ซ่านออกจากร่างกาย สร้างความกดดันให้แก่ผู้คนที่ผ่านเข้าออกโดยมิอาจหลีกเลี่ยง เมืองเฉินนั้นหาใช่สถานที่ที่ผู้ใดจะมากระทำการอุกอาจได้โดยง่าย ทุกคนต่างรู้ดีว่า หากผู้ใดล่วงเกินตระกูลเฉิน ย่อมเป็การรนหาที่ตายอย่างแท้จริง
ด้วยเหตุนี้ คู่กรณีมากมายที่หนีหัวซุกหัวซุนจากการไล่ล่า มักจะมุ่งหน้าสู่เมืองเฉิน เพราะแม้แต่ศัตรูที่โเี้เพียงใด ก็ยังมิกล้าก่อเื่ในสถานที่แห่งนี้ กระนั้น ความสงบสุขที่ได้รับก็เป็เพียง่เวลาสั้น ๆ เท่านั้น เมื่อถึงคราวที่ต้องออกจากเมือง วันนั้นอาจเป็วันสุดท้ายของชีวิตที่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับคู่แค้น เมืองเฉินจึงได้รับการขนานนามว่าเป็หนึ่งในเมืองที่ปลอดภัยที่สุดของแคว้นตงชิง ทว่าก็มิใช่ทุกผู้คนจะสามารถพำนักอยู่ได้นาน ผู้ที่มิใช่ประชาชนของเมือง หากมิได้เป็พ่อค้าหรือมีหนังสือรับรองจากทางราชการ ก็จะได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น ครั้นพ้นกำหนด ย่อมต้องออกไปโดยไม่มีข้อยกเว้น
ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลเข้าสู่เมืองเฉิน บ้างมาลำพัง บ้างมากันเป็หมู่คณะ คาราวานสินค้าขบวนใหญ่เดินทางมาพร้อมเสียงกุบกับของเกือกม้าที่กระทบพื้นดิน ผู้บ่มเพาะพลังจากทั่วแคว้นต่างมุ่งหน้ามายังที่แห่งนี้ หาใช่เพียงเพื่อซื้อหาสิ่งของล้ำค่าหรือวัตถุดิบหายากที่หามิได้จากที่อื่นเท่านั้น แต่ยังมีผู้มากมายที่ใฝ่ฝันจะได้รับใช้ตระกูลเฉิน แม้เพียงได้เป็ยามเฝ้าประตู ก็นับเป็เกียรติแห่งชีวิตอันเพียงพอให้ตระกูลของตนภาคภูมิสืบไปอีกนับร้อยรุ่น
เหนือท้องนภาของเมืองเฉิน มักปรากฏเงาของผู้บ่มเพาะระดับสูงควบขี่พาหนะวิถีเซียน บ้างเหยียบบนกระบี่บิน บ้างขี่สัตว์อสูรเทพ สายเืัและหงส์ บ้างขี่อสูรในตำนานที่ไม่เคยมีผู้ใดรู้จักมาก่อน สัตว์อสูรแปลกประหลาดปรากฏให้เห็นทั่วท้องฟ้า ดั่งภาพฝันเหนือโลกมนุษย์ ทว่ากฎของเมืองเฉินย่อมเป็กฎ ไม่ว่าผู้ใดปรากฏตัว ณ ประตูเมือง ไม่ว่ายิ่งใหญ่เพียงใด ต้องปล่อยพาหนะของตนไว้ด้านนอกแล้วเดินเท้าเข้าเมืองอย่างสงบเสงี่ยม มิมีข้อยกเว้นให้แก่ผู้ใด
ณ เมืองเฉิน ผังเมืองถูกออกแบบอย่างวิจิตรบรรจง ดั่ง้าสะท้อนความรุ่งเรืองของตระกูลเฉิน ถนนทุกสายเรียงรายอย่างเป็ระเบียบ สะท้อนถึงความปราณีตและการวางแผนที่รอบคอบ สิ่งปลูกสร้างทั้งหลายตั้งตระหง่านอย่างสง่างาม ถูกจัดวางอย่างลงตัว ไร้ซึ่งความยุ่งเหยิงแม้เพียงเล็กน้อย ถนนหลักของเมืองปูด้วยหินแกรนิตชั้นเลิศ มีความแข็งแกร่งยากจะหาใดเทียบ แม้รถม้านับสิบจะวิ่งเรียงกัน ก็ยังเหลือพื้นที่กว้างขวางให้ผู้คนสัญจรไปมาได้อย่างสะดวกสบาย
หากแหงนมองสู่ฟากฟ้า จะพบว่าบรรดาตำหนักสูงตระหง่านและหอคอยงดงามลอยล่องเหนือขุนเขาขนาดย่อม ราวกับแผ่นดินเบื้องบนเต็มไปด้วยความพิศวง ม่านหมอกบางเบาลอยเอื่อยอยู่ทั่วทั้งเมือง น้ำตกไหลรินลงมาตามหน้าผา เสียงน้ำกระทบโขดหินดังคลอเคลียไปกับเสียงนกที่ขับขานแข่งกันอย่างไพเราะ ผู้ใดก็ตามที่ได้มาเยือนล้วนรู้สึกราวกับย่างกรายเข้าสู่แดน์ บรรยากาศทั่วทั้งเมืองเฉินอบอวลไปด้วยพลังปราณอันบริสุทธิ์ ก่อให้เกิดการไหลเวียนของพลังฟ้าดินอย่างหนาแน่น เป็ดั่ง์สำหรับผู้บ่มเพาะ แม้แต่ผู้คนธรรมดายังได้รับประโยชน์จากพลังปราณนี้ ส่งผลให้ร่างกายแข็งแกร่งและอายุยืนยาวกว่าผู้คนทั่วไป
ความอัศจรรย์นี้หาใช่เื่บังเอิญ หากแต่เป็ผลลัพธ์ของค่ายกลนภาแปดทิศ ค่ายกลศักดิ์สิทธิ์ที่โอบล้อมปกป้องเมืองเฉินไว้เสมือนกำแพงอันมองไม่เห็น นอกจากเป็เกราะป้องกันแล้ว ยังสามารถปรับสมดุลพลังแห่งฟ้าดิน เสริมสร้างสภาพแวดล้อมภายในเมืองให้เปี่ยมด้วยพลังเซียนเเละเป็หนึ่งในมรดกอันล้ำค่าของตระกูลเฉินที่สืบทอดกันมาเเต่เนิ่นนาน
ใจกลางของเมืองเฉิน คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลเฉิน ประตูขนาดมหึมาและกำแพงสูงเสียดฟ้ากั้นขอบเขตไว้อย่างแ่า เผยให้เห็นถึงอำนาจและเกียรติยศที่มิอาจมีผู้ใดล่วงละเมิด หน้าประตูหลัก มียามเฝ้าเวรยืนตระหง่าน ดวงตาคมกริบเปี่ยมไปด้วยไอสังหาร พวกเขาเป็ยอดฝีมือระดับปราณขั้นสูง สวมชุดเกราะเต็มยศ มือขวากุมดาบยาวไว้แน่น แผ่รังสีอันเย็นเยียบให้ผู้พบเห็นต้องสะท้านเกรงกลัว
ภายในเขตตระกูลเฉินถูกแบ่งออกเป็ขุนเขาหลายแห่ง แต่ละขุนเขาล้วนเป็ที่พำนักของเหล่าผู้าุโและบุคคลสำคัญ โดยเฉพาะขุนเขาที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งเป็ที่ประทับของประมุขตระกูล ที่แห่งนี้สง่างามดั่งแดน์ ลอยตัวสูงเหนือผืนดิน รายล้อมไปด้วยแม่น้ำใสสะอาด น้ำตกที่ไหลลงมาจากหน้าผาสูงชันส่งเสียงก้องกังวานไปทั่วปฐี เหล่าภูตพฤกษาและสัตว์วิหคสยายปีกลอยล่องไปในสายลม เผยถึงความอุดมสมบูรณ์เกินกว่าคำบรรยาย
ย่างก้าวเข้าสู่เขตของตระกูลเฉิน ราวกับหลุดเข้าไปยังอีกโลกหนึ่ง โลกที่เต็มไปด้วยความลึกลับ อำนาจ และความยิ่งใหญ่จนผู้มาเยือนอดมิได้ที่จะเกิดความหวั่นเกรง ภูมิทัศน์ทุกสิ่งทุกอย่างสะท้อนถึงความรุ่งเรืองแห่งยุทธภพ และความแข็งแกร่งของตระกูลเฉินที่ไม่มีวันสั่นคลอน!
ภายในตำหนักสูงสุดของยอดเขาประมุขตระกูลเฉิน เปลวไฟจากตะเกียงทองเหลืองส่องแสงวูบไหว ทอประกายสีอำพันทอดเงาทาบลงบนผนังไม้แกะสลักลวดลายวิจิตร ราตรีบนขุนเขาเงียบสงัด มีเพียงเสียงสายลมพัดผ่านและเสียงใบไม้เสียดสีเป็จังหวะ
หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนอยู่ริมหน้าต่าง นางสวมอาภรณ์ไหมพรมชั้นเลิศสีเขียวมรกต ท่วงท่าสง่างาม แม้กาลเวลาจะทิ้งร่องรอยไว้บนใบหน้า ทว่าความงดงามในวันวานยังคงสะท้อนออกมาอย่างเด่นชัด นางทอดสายตาผ่านบานหน้าต่างไปยังผืนฟ้ากว้าง พลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เซี่ยงกง ท่านไม่คิดว่าท่านเข้มงวดกับเยว่เออร์เกินไปหรือ นางถูกกักให้อยู่แต่ในห้องเช่นนี้ จะไม่อึดอัดจนทนไม่ได้หรือ”
ชายชราในอาภรณ์สีแดงเข้มขลิบทองยืนสงบนิ่ง ดวงตาของเขาคมปลาบราวกับดาบโบราณสะท้อนแสงจันทร์ ผมขาวโพลนดุจหิมะบนยอดเขาสูง สัญลักษณ์ดาบทองอันเป็เครื่องหมายแห่งประมุขตระกูลเฉินเด่นชัดบนแผ่นหลังอันทรงอำนาจ
“หึ นางน่ะหรือ? เ้าจะปล่อยให้นางหลบหนีออกไปอีกครั้งรึ?” น้ำเสียงของเขาเย็นเยียบ ทว่าภายใต้ความเคร่งขรึม กลับแฝงไว้ด้วยความผิดหวังที่ไม่อาจระงับ
หญิงงามถอนหายใจ นางหันกลับมาประจันหน้ากับสามี ดวงตาสะท้อนความกังวลลึกซึ้ง
“เวลาผ่านไปเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ท่านยังไม่อาจให้อภัยนางหรือ”
ประมุขเฉินขมวดคิ้ว เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ไม่ใช่เพราะนางหรือที่ทำให้พวกเราเป็ตัวตลกในหมู่ผู้บ่มเพาะทั่วแคว้น นางมีพร์สูงล้ำ แต่กลับ...”
เขากำมือแน่น ทว่าหลังจากนั้นกลับสะบัดแขนเสื้อคล้าย้าสลัดความไม่พอใจออกไป
“ช่างเถิด! หากเ้ากังวลนัก เช่นนั้นข้าจะยอมให้นางออกมาเดินเล่นบ้าง แต่ต้องจำกัดอยู่แค่บนูเาลูกนี้เท่านั้น และให้ผู้คนจับตาดูนางอย่างใกล้ชิด มิให้นางคิดหลบหนีอีก” กล่าวจบเขาหันหลังเดินออกจากห้องไป
หญิงงามยืนมองแผ่นหลังของสามีที่ห่างออกไปทุกที นางระบายลมหายใจแ่เบา ริมฝีปากขยับพึมพำเบา ๆ
“เซี่ยงกง ต่อให้เยว่เออร์ทำผิดเพียงใด ท่านก็ไม่มีวันลงโทษนางได้อยู่ดี...เพราะสุดท้ายนางก็คือลูกสาวของท่าน”
แสงแดดยามสายยังคงสาดส่องลงมายังลานกว้างเบื้องล่าง ลมอุ่นเอื่อยพัดพากลีบดอกเหมยให้ร่วงหล่น ลอยลิ่วตามสายลมราวกับบอกเล่าถึงชะตากรรมที่ยังไม่อาจคาดเดาได้ของสตรีนางหนึ่ง นางทอดสายตาไปยังฟากฟ้าไกล ก่อนจะก้าวออกจากห้องอย่างเงียบงัน
---
ณ ขุนเขาอันยิ่งใหญ่ตระหง่านฟ้า กินอาณาเขตกว้างไกลสุดลูกหูลูกตานับร้อยลี้ ผืนป่าดกครึ้มแผ่ปกคลุมไปทั่ว ทุกมวลสรรพชีวิตล้วนหลอมรวมเป็หนึ่งเดียวกับธรรมชาติ บนภูผาอันอุดมสมบูรณ์แห่งนี้ ปรากฏสิ่งปลูกสร้างมากมาย หลากหลายล้วนสะท้อนถึงรากเหง้าของวัฒนธรรมอันรุ่งเรือง
ท่ามกลางแนวไม้สูงตระหง่าน มีบ้านไม้หลังหนึ่งตั้งอยู่โดดเด่น งดงามดั่งสรวง์ บ้านหลังนี้ถูกออกแบบตามสถาปัตยกรรมจีนโบราณ หลังคาทรงโค้งล้อไปกับสายนภา เสาไม้แกะสลักลวดลายงามวิจิตร รายล้อมด้วยสวนไผ่เขียวขจี ที่เบื้องล่างของเรือนงามแห่งนี้ ธารน้ำตกสายใหญ่ไหลรินไม่ขาดสาย น้ำใสกระเซ็นเป็ฟองขาวดั่งเกล็ดหิมะต้องแสงจันทร์ เบื้องล่างของน้ำตกเป็วังน้ำลึกกว้าง ฝูงปลาหลากสีสันพากันว่ายเวียนกระโจนขึ้นลงดั่งร่ายรำ ดูเเล้วช่างรื่นรมย์ยิ่งนัก
หน้าประตูไม้แกะลวดลายสลักทอง มีบุรุษร่างสูงใหญ่ ยืนตระหง่านเป็สง่า รูปร่างของเขากำยำดั่งขุนเขา กล้ามเนื้อแน่นหนักประหนึ่งเหล็กกล้า แววตาคมกริบดุจพยัคฆ์ สอดส่องทั่วบริเวณโดยรอบมิให้คลาดสายตา เสียงลมหายใจของเขาสม่ำเสมอ ท่วงท่ายืนองอาจเผยถึงวรยุทธ์อันแข็งแกร่ง ไม่มีสิ่งใดสามารถหลุดรอดจากการจับตามองของเขาไปได้
ภายในตัวเรือน เมื่อก้าวผ่านบานประตูเข้าไป จะพบกับห้องมากมายถูกจัดวางอย่างมีระเบียบ ขณะนี้ในห้องหนึ่ง หญิงสาววัยกลางคนรูปโฉมงดงามประหนึ่งเทพธิดากำลังนั่งทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง นางสวมชุดยาวสีขาวบริสุทธิ์ อาภรณ์พลิ้วไหวไปตามสายลมอ่อน นั่งพิงพนักเก้าอี้ไม้แกะสลักอย่างสง่างาม ใบหน้างามหมดจดของนางฉายแววโศกเศร้า บรรยากาศรอบข้างเงียบงัน มีเพียงเสียงธารน้ำไหลรินและเสียงลมกระซิบผ่านไผ่
ใต้เบื้องเก้าอี้ไม้ สาวใช้ผู้หนึ่งคุกเข่านั่งอย่างนอบน้อม เฝ้ารอคำสั่งจากนายหญิงโดยมิกล้าเปล่งวาจาใดๆ นางเพียงเงยหน้ามองเ้านายของตนด้วยสายตาเคารพ
บนเก้าอี้ไม้หญิงสาวทอดถอนใจแ่เบา สายตามองฝูงนกที่บินเป็แนวแถบไกลสุดขอบฟ้า เฝ้าดูฝูงปลาะโโลดเต้นอยู่ในวังน้ำ เสียงสายลมพัดแ่ เสียงน้ำตกดังเป็จังหวะดุจดนตรีจากสรวง์ หากแต่จิตใจของนางกลับมิอาจสงบลงได้
'เหวินเอ๋อร์... ท่านพี่... เวลานี้พวกท่านเป็เช่นไรบ้าง?'
เสียงรำพึงแ่เบาราวกระซิบ นางขบเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาเจือแววโศกเศร้า 'แม้ว่าบัดนี้ข้าจะได้กลับมาอยู่บ้านเกิด ที่ซึ่งข้าได้ลืมตาดูโลก เติบใหญ่และเจริญวัยมา หากแต่เหตุใดเล่า ความอบอุ่นในใจจึงมิอาจหวนคืน…'
หยาดน้ำตาใสค่อยๆ เอ่อคลอที่ขอบตาคู่งาม หัวใจของนางปวดร้าวดุจคมมีดกรีดเฉือน
'ข้าคิดถึงพวกเ้าจับใจ หวังว่าพวกเ้าจะสุขสบาย ไร้ทุกข์โศก หวังว่าเหวินเอ๋อร์จะเติบโตเป็คนดี ใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์ธรรมดาทั่วไป… อย่าได้เกี่ยวข้องกับโลกของผู้บ่มเพาะอีกเลย'
เมื่อความคิดดำดิ่งลึกลงไป น้ำตาก็เริ่มพร่างพราย สายตาของนางพร่ามัวลง ทว่าท่ามกลางความเศร้าโศกนั้น กำปั้นเล็กของนางกลับค่อยๆ กำแน่นขึ้น
'ข้าจะหาโอกาสกลับไปหาพวกเ้าให้ได้…'
นางเช็ดหยาดน้ำตาบนแก้ม ขับไล่ความอ่อนแอออกจากใจ แววตาที่สั่นไหวพลันแปรเปลี่ยนเป็แน่วแน่ ดุจอัคคีที่ถูกโหมไฟให้ลุกโชน นางมิอาจรอชะตากำหนดอีกต่อไป…
*1ลี้=0.5กม.
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้