เมืองชางในยามค่ำคืน สภาพอากาศค่อยๆ เย็นลง เม็ดฝนที่กำลังร่วงหล่นจากท้องฟ้าอย่างต่อเนื่องยิ่งเพิ่มบรรยากาศของความหนาวเหน็บ
ขณะนี้เป็เวลาดึกสงัดเที่ยงคืนสี่สิบห้านาที ตามท้องถนนภายในเมืองที่กว้างใหญ่แทบจะไม่หลงเหลือผู้คนที่สัญจรไปมา จะมีก็เพียงแค่แสงเทียนริบหรี่ในร้านค้าตอนกลางคืนที่ส่ายไหวไปตามแรงลม ทำให้บรรยากาศในยามค่ำคืนของฤดูหนาวยิ่งดูเงียบเหงาและเปล่าเปลี่ยวยิ่งขึ้นไปอีก
แต่สภาพภายนอกนั้นกลับตรงกันข้ามกับจวนตระกูลเย่ ณ ลานที่พักขนาดใหญ่แห่งหนึ่งส่องสว่างไปด้วยแสงเทียน แต่ประตูทางเข้ากลับปิดสนิทและที่ด้านหน้าประตูมีเด็กหนุ่มเสื้อเขียวคนหนึ่งกำลังคุกเข่าอยู่
ค่ำคืนนี้เป็ค่ำคืนที่หนาวเหน็บและฝนโปรยปราย ลานที่พักขนาดใหญ่ของตระกูลส่องสว่างไสวไปด้วยแสงเทียน เด็กหนุ่มคนหนี่งกำลังคุกเข่าท่ามกลางสายฝนและฟ้าร้องคำราม หากมีผู้พบเห็นคงจะรู้สึกแปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย เพราะมันช่างดูขัดแย้งกับสภาพของค่ำคืนนี้โดยสิ้นเชิง
“ขอให้หอผู้าุโโปรดเมตตา ข้าเย่ชิงหานยอมเป็ช้างเป็ม้ารับใช้ตระกูลไปตลอดชั่วชีวิต...”
เด็กหนุ่มเสื้อเขียวยังคงดึงดันคุกเข่าอยู่เช่นนั้น ไม่ได้สนใจสายฝนที่ตกกระหน่ำลงมา สิ่งเดียวที่เขาทำคือการร้องะโอ้อนวอน และก้มลงค้อมคำนับอย่างไม่ลดละ แม้จะร้องออกมาด้วยเสียงที่แหบพร่าแต่ก็ยังได้ยินอย่างชัดเจนในคืนที่ดึกสงัดเช่นนี้
แต่ทว่า!
ประตูหน้าลานที่พักยังคงปิดสนิท ทั่วทั้งลานยังคงเงียบงันไม่มีเสียงตอบรับราวกับว่าไม่มีใครได้ยินเสียงร้องะโอ้อนวอนนั้น จะมีก็เพียงแค่เงาของแสงเทียนที่ส่องผ่านเยื่อกระดาษบนหน้าต่างที่สั่นไหวไปมาเท่านั้น
ผ่านไปอย่างเนิ่นนาน...
เด็กหนุ่มเสื้อเขียวอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเสียงก็แหบแห้ง เขาฟุบลงกับพื้นคล้ายกับว่าได้หลับไปแล้ว จะมีก็แต่นานๆ ครั้งที่แหงนหน้าอันซีดเผือดขึ้นมาสักที ภายใต้เม็ดฝนที่ซัดสาดและแสงเทียนที่ลอดออกมาทำให้เห็นถึงใบหน้าที่ทั้งเด็ดเดี่ยวและขมขื่นของเขาไปพร้อมๆ กัน
ประตูยังคงปิดสนิท เงียบงันไม่มีเสียงใดๆ
ฝนยิ่งตกยิ่งแรงขึ้น!
.................................
ฟ้าเริ่มสาง...ฝนหยุดตก ภายในลานเต็มไปด้วยร่องรอยความเสียหายจากพายุฝนที่โหมกระหน่ำเมื่อคืนที่ผ่านมา
เด็กหนุ่มเสื้อเขียวยังคงคุกเข่าอยู่ที่เดิม ร่างของเขาสั่นสะท้านพร้อมกับั์ตาแดงก่ำที่ค่อยๆ หรี่ลง แม้ว่ายังคงมีสติแต่ก็ฝืนทนด้วยความยากลำบาก
เอี๊ยด!
ในที่สุดประตูก็เปิดออก
ทันใดนั้น ดวงตาของเด็กหนุ่มเสื้อเขียวก็เบิกกว้างขึ้นทันทีเมื่อมองเห็นชายวัยกลางคนสองคนยืนอยู่ที่หน้าประตู แววตาของเขาเต็มไปด้วยความหวังและการวิงวอน เขากำลังจะขยับริมฝีปากที่แห้งผากเพื่อที่จะกล่าวสิ่งใด แต่ในที่สุดก็ไม่ได้พูดมันออกไป จึงทำเพียงแค่โค้งคำนับชายวัยกลางคนทั้งสองเท่านั้น
“เ้าเด็กคนนี้ทำไมถึงได้ดื้อรั้นเสียจริง!! เ้าไม่ห่วงใยสุขภาพของตนเองบ้างรึอย่างไร?”
ชายวัยกลางคนทั้งสองอายุราวสี่สิบปี พวกเขาต่างเป็ผู้มีชื่อเสียงแห่งเมืองชางและเขตปกครองเทพา คนหนึ่งสวมเสื้อสีเทามีจมูกโด่งและมีดวงตาดุจเหยี่ยว มุมปากมีรอยแผลเป็บางๆ ยาวไปถึงหู มีชื่อว่าเย่หรง เป็รองหัวหน้าฝ่ายหอผู้คุมกฎและเป็สมาชิกฝ่ายหอผู้าุโอีกด้วย ส่วนอีกคนสวมเสื้อสีขาวหัวสวมมงกุฎทองคำในมือถือพัด ท่าทางคล้ายปัญญาชนผู้มีความรู้ มีชื่อว่าเย่เชียง เป็รองหัวหน้าฝ่ายหอประจัญบานและเป็บุตรชายคนที่สามของหัวหน้าตระกูล
คนที่พูดขึ้นเมื่อสักครู่คือเย่เชียง เขาสะบัดมือรวบเก็บพัด สีหน้าแสดงความเป็ห่วงเย่ชิงหานพร้อมกับทำท่าจะประคองเขาให้ลุกขึ้น แต่ว่าเย่ชิงหานไม่รับความหวังดีนั้นกลับยังคงดื้อรั้นคุกเข่าอยู่ต่อ เขาเลียลิมฝีปากที่แห้งผากพร้อมกับเพ่งมองไปที่เย่เชียงก่อนจะพูดขึ้นว่า “ท่าน...ท่านลุงสาม ได้ความว่าอย่างไรบ้าง? ฝ่ายหอผู้าุโยินยอมหรือไม่?”
“เอ่ออ คือว่า...เฮ้อ...!” เย่เชียงได้แต่ส่ายหัวไปมาสีหน้าไม่สู้ดีนัก เขาเองก็อับจนปัญญาไม่รู้จะหาทางช่วยเหลืออย่างไรได้
“เย่ชิงหาน เ้าไม่ต้องคุกเข่าอีกต่อไปแล้วละ เ้ากลับไปเถอะ” เย่หรงที่ยืนอยู่ด้านหลังพูดขึ้นด้วยเสียงที่เ็าพร้อมกับดวงตาประดุจเหยี่ยวที่แฝงแววของความไม่ปรารถนาดี รอยแผลเป็ที่มุมปากยิ่งทำให้เขาดูดุร้ายยิ่งขึ้น
“เดิมทีแม่ของเ้าเป็หญิงคณิกาในหอนางโลม เป็เพราะพ่อของเ้าที่ไม่สนคำคัดค้านของคนในตระกูล ไถ่ตัวและแต่งนางเข้ามา เป็เพราะเื่นี้ทำชื่อเสียงตระกูลเสียหาย ท่านหัวหน้าตระกูลถึงกับจะขับไล่พ่อเ้าออกจากตระกูลด้วยซ้ำ แม้ว่าคนในตระกูลจะไม่ถือสา แต่ก็ไม่เคยยอมรับว่าแม่เ้าเป็สะใภ้ของตระกูล และพ่อของเ้าก็ยโสโอหังจนเกินไป เดินทางไปยังเขาสุสานทวยเทพเพียงคนเดียวเพื่อเสาะหาสมบัติ สุดท้ายาเ็แล้วเสียชีวิตอยู่ที่นั่น หลังจากพ่อเ้าตายทางฝ่ายตระกูลเองก็ไม่ได้ทอดทิ้งพวกเ้าแม่ลูก ทุกเดือนยังคงจ่ายเงินประจำเดือนให้พวกเ้าเช่นเดิม ถ้าไม่อย่างนั้นละก็ป่านนี้พวกเ้าได้ไปเป็ขอทานข้างถนนเรียบร้อยแล้ว”
“ตอนนี้แม่เ้าก็ตายแล้ว ทางตระกูลเห็นว่าเ้ามีความกตัญญูจึงช่วยเหลือจัดการเื่งานศพ แต่เ้ากลับไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ ยังจะเรียกร้องให้ฝังแม่เ้าไว้กับพ่อเ้าในสุสานบรรพชน? ข้าว่าสมองเ้าเริ่มเลอะเลือนแล้วละ สุสานบรรพชนเป็สถานที่มงคลมีไว้ฝังร่างของบรรพบุรุษคนตระกูลเย่เท่านั้น แม่เ้าก็แค่นางคณิกาแถมยังไม่ได้รับการยอมรับจากตระกูล คิดจะฝังที่สุสานบรรพบุรุษรึ? เ้ารีบๆ ไสหัวไปให้ไวจะดีกว่า มาร้องะโส่งเสียงรบกวนสร้างความรำคาญให้ท่านเหล่าผู้าุโอยู่ที่นี่ อย่าหาว่าข้าไม่เตือนที่ใช้กฎของตระกูลลงโทษเ้าก็แล้วกัน!”
“ท่าน...”
ได้ยินดังนั้น เย่ชิงหานลุกขึ้นโดยทันทีและจ้องมองผู้าุโหรงด้วยความโกรธแค้น คงจะเป็เพราะคุกเข่านานเกินไปแถมยังตากฝนทั้งคืนไอเย็นจึงไหลซึมเข้าสู่ร่าง เมื่อผุดลุกขึ้นร่างกายจึงมีอาการสั่นและหัวหมุนจนเกือบล้ม แต่หลังจากโซเซถอยหลังไปหลายก้าวจึงประคองตัวได้
“ท่าน...ท่านอะไร? เมื่อวานที่เ้าใช้วิธีการที่ต่ำทรามลอบทำร้ายเย่ชิงเสียนจนาเ็สาหัส เห็นแก่ที่เ้าเพิ่งเสียแม่ไปฝ่ายหอผู้คุมกฎเลยไม่เอาเื่ลงโทษเ้า วันนี้กลับมาก่อกวนฝ่ายหอผู้าุโอีก เ้าคิดจริงๆ รึว่าฝ่ายหอผู้คุมกฎของตระกูลไม่กล้าจัดการกับเ้า? ยังไม่รีบไสหัวไปอีก?”
“ฮ่าๆ! ตระกูลรึ?...ตระกูลปฏิบัติต่อแม่ข้าไม่เลวรึ? ใช่...ไม่เลวจริงๆ? ผู้าุโหรงท่านวางใจได้เลย ต่อไปข้าจะไม่มารบกวนเหล่าผู้าุโที่สูงส่งน่าเคารพทั้งหลายอีกอย่างแน่นอน ฝ่ายหอผู้าุโอย่างนั้นรึ! ฮ่าๆ...”
เย่ชิงหานเห็นใบหน้าลุงสามเย่เชียงที่อับจนปัญญาจะช่วยอะไรได้ และใบหน้าของผู้าุโเย่หรงที่กำลังยิ้มเยาะ เขาได้แต่ฝืนหัวเราะออกมาด้วยความเ็ป แหงนหน้ามองแผ่นป้ายอักษรขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่บนประตูทางเข้า “หอผู้าุโ” ที่ดูยิ่งใหญ่และโอ่อ่า เขายิ้มขึ้นที่มุมปากอย่างเย้ยหยันแล้วใช้มือปัดน้ำที่อยู่บนใบหน้า จากนั้นก็เดินจากไป
“เย่ชิงหาน ลุงสามทำเต็มที่แล้ว แต่ลุงคนโตและผู้าุโเย่หรงออกโรงกดดัน เหล่าผู้าุโท่านอื่นๆ ก็ทำอะไรไม่ได้มาก อีกทั้งก็เป็การผิดกฎของตระกูลด้วย ที่ทำได้ดีที่สุดตอนนี้คือเ้าต้องพยายามฝึกฝนให้มาก ก่อนอายุสิบหกบรรลุถึงระดับขอบเขตยอดยุทธ์ให้จงได้ หรือไม่ก็เรียกสัตว์อสูรระดับหกออกมาให้ได้ในงานเทศกาลัเพลิง เ้าก็จะได้เข้าร่วมเป็ศิษย์สายใน ถึงเวลานั้นค่อยพูดเื่ของแม่เ้าอีกที เช่นนี้ถึงจะมีโอกาสทำตามความปรารถนาสุดท้ายของแม่เ้าได้สำเร็จ...”
หืม! ฝีเท้าของเย่ชิงหานหยุดชะงักลง ข้างหูแว่วเสียงพูดแ่เบาของเย่เชียงที่ส่งกระแสเสียงมา ได้ยินดังนั้นเย่ชิงหานจึงหันกลับไปพยักหน้าตอบรับแสดงความขอบคุณแล้วจึงเดินหายลับไปท่ามกลางกลุ่มไอหมอกในยามเช้า
.................................
บ้านสกุลเย่คือจวนของท่านจ้าวเมืองเมืองชาง และเป็ที่พำนักอาศัยของลูกหลานสายเืโดยตรงและศิษย์สายใน พื้นที่กินอาณาบริเวณหลายร้อยไร่ มีลานที่พักมากมายนับไม่ถ้วน ถ้ามองจากไกลๆ จะเหมือนกับพระราชวังขนาดเล็ก
ภายในแบ่งออกเป็ลานที่พักด้านตะวันออกและลานที่พักด้านตะวันตก เวลาปกติพวกตำแหน่งระดับสูงของตระกูลจะพำนักอยู่ทางฝั่งด้านตะวันตก ส่วนฝั่งด้านตะวันออกจะเป็ของพวกยาม องครักษ์ และบ่าวรับใช้
แต่ว่าทางด้านฝั่งตะวันออกนี้กลับมีลานที่พักเล็กๆ โดดเดี่ยวอยู่หลังหนึ่ง ซึ่งข้างๆ เป็ไร่นาและบ้านเรือนปะปนกัน แสดงให้เห็นว่าผู้ที่พักอาศัยอยู่ที่นี่ไม่ใช่บุคคลสำคัญของตระกูลเย่อย่างแน่นอน
หมอกในยามเช้าค่อยๆ หนาขึ้นเป็ลำดับ ภายในลานที่พักเล็กๆ แห่งนี้ยังคงมีแสงสลัวของเทียนที่กำลังลุกไหม้ แสงสีแดงจากเปลวเทียนกับสีขาวนวลของไอหมอกที่คละคล้ำเข้าด้วยกัน บวกกับเสียงสะอื้นไห้ของเด็กสาวที่ลอยแ่มา ทำให้สถานที่แห่งนี้ดูลึกลับและแปลกประหลาดเพิ่มขึ้นเป็พิเศษ
ท่ามกลางหมอกหนาทึบ เงาร่างสายหนึ่งกำลังมุ่งหน้าตรงเข้าไปยังลานที่พักเล็กๆ แห่งนั้น
ห้องโถงภายในลานที่พักเล็กๆ แห่งนี้ไม่ใหญ่มากนัก เนื้อที่ประมาณยี่สิบกว่าตารางเมตรเห็นจะได้ ภายในถูกเก็บกวาดอย่างเรียบร้อย จะมีก็เพียงแต่โลงสีดำใหญ่ใบหนึ่งตั้งอยู่ใจกลางห้อง ข้างๆ มีเด็กสาวคนหนึ่งกำลังคุกเข่าเผากระดาษเงินกระดาษทองอยู่
เด็กสาวอายุประมาณสิบสี่สิบห้าปีสวมชุดไว้ทุกข์สีขาว นางมีใบหน้าที่เรียวเล็กสวยงาม มีผิวขาวราวกับหิมะ เส้นผมยาวสลวยราวกับเส้นฝอยของเหมยเขียว บวกกับคราบรอยน้ำตาที่ไหลเป็ทางบนใบหน้ายิ่งทำให้นางดูสวยสดงดงามและละเมียดละไมมากยิ่งขึ้น
เมื่อเห็นว่ามีคนเข้ามานางจึงรีบเช็ดน้ำตาที่อยู่บนหน้าพร้อมกับลุกขึ้นจัดแต่งชุดที่ใส่อยู่ให้เข้าที่ แต่เมื่อมองเห็นเด็กหนุ่มเสื้อเขียวที่เต็มไปด้วยความเหงาหงอยและเปล่าเปลี่ยวเดินลากขาเข้ามาภายในห้องโถง น้ำตานางยิ่งพรั่งพรูออกมาราวกับสายฝนพร้อมกันกับเสียงร้องเรียกจากปากนาง
"ท่านพี่!"
ผู้ที่เดินเข้ามาคือเย่ชิงหาน เมื่อได้ยินเสียงสะอื้นปนร้องไห้เอ่ยเรียกเขา และใบหน้าที่ซีดเผือดและซูบผอมของน้องสาว เขาก็อดไม่ได้ที่จะรีบเช็ดหางตาและยืดกายให้ตรงเพื่อแสดงอาการของความเข้มแข็ง
เขาเดินเข้าไปเอื้อมจับมือที่อ่อนนุ่มของนาง ก่อนจะหยิบธูปขึ้นมาจุดพร้อมกับคุกเข่าลงบนพื้น และทำการไหว้ลงสามครั้ง จากนั้นก็ส่งสัญญาณบอกให้น้องสาวเผากระดาษเงินกระดาษทองต่อ ส่วนตัวเขายังคงคุกเข่าสงบนิ่งต่อหน้าโลงศพอยู่อย่างนั้น
"ลูกอกตัญญูไม่สามารถทำตามความปรารถนาสุดท้ายของท่านแม่ได้ ตอนนี้ทำได้เพียงแค่นำท่านแม่ฝังไว้ทีู่เาด้านตะวันตก ขอให้ิญญาของท่านแม่จงไปสู่สุคติ! ท่านแม่ไม่ต้องเป็ห่วง ข้าจะดูแลตัวเองและน้องสาวให้ดีที่สุด ข้าจะพยายามฝึกฝนวรยุทธ์ให้มากเพื่อทำให้บ้านลูกคนรองของเรากลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง”
ขณะที่พูดอยู่นั้นจิตใจที่ห่อเหี่ยวและหงอยเหงาของเย่ชิงหานก็ค่อยๆ จางหายไป สิ่งที่กลับเข้ามาแทนที่คือใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหนักแน่นและเด็ดเดี่ยว
ผ่านไปเนิ่นนาน เย่ชิงหานคล้ายกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงผุดลุกขึ้นหยิบชามที่ใช้บรรจุเหล้าแล้วออกแรงบีบจนแตก จากนั้นเขายกแขนข้างซ้ายขึ้นแล้วหยิบเศษชามที่แตกนั้นเฉือนลงไปยังมือข้างซ้ายอย่างหนักหน่วงทีหนึ่ง โลหิตแดงฉานจากาแสาดกระเซ็นไปทั่วพื้น แต่ใบหน้าของเขาไม่ได้แสดงถึงความเ็ปแต่อย่างใด จะมีก็เพียงแค่คิ้วที่กระตุกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จากนั้นเย่ชิงหานจึงกล่าวขึ้นอย่างหนักแน่นว่า
"ฟ้าดินเป็พยาน วันนี้ข้าเย่ชิงหานขอให้สัตย์สาบานว่า ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อนำป้ายิญญาของท่านพ่อและท่านแม่เข้าไปไว้ในวิหาริญญาศักดิ์สิทธิ์ภายในนครแห่งเทพให้จงได้ ทุกๆ ปีให้คนหมื่นพันกราบไหว้เคารพบูชา หากข้าผิดคำสาบาน ขอให้มีสภาพไม่ต่างจากชามใบนี้"
กล่าวจบ นิ้วมือทั้งห้าของเย่ชิงหานออกแรงบีบ เศษชามจากเดิมที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งถูกแรงบีบแหลกละเอียดกลายเป็ผุยผงร่วงหล่นลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยเื สีขาวจากเศษชามที่แหลกละเอียดคละเคล้ากับสีแดงของเืดูแล้วเป็ที่น่าขนลุกขนพองเป็อย่างยิ่ง
"อ๊าา! ท่านพี่ ท่านบ้าไปแล้วหรือ...?"
เย่ชิงอวี่ที่อยู่ข้างๆ ร้องะโด้วยความใ ในทวีปัเพลิงการสาบานต่อิญญาหน้าหลุมศพถือว่าเป็เื่ที่รุนแรง แม้ว่าการนำป้ายิญญาไปใส่ไว้ในวิหาริญญาศักดิ์สิทธิ์จะเป็เื่ที่มีเกียรติสูงสุดสำหรับผู้ตาย แต่การจะทำเช่นนั้นได้ต้องเป็ยอดฝีมือแห่งยุคหรือผู้ที่ทำคุณประโยชน์อย่างใหญ่หลวงให้กับทวีปัเพลิงเท่านั้น ท่านพี่กล่าวคำสาบานเช่นนี้ก็ไม่ต่างกับการผลักตนเองให้เดินไปในเส้นทางที่ไม่มีวันหวนกลับคืนมาได้อีก
เย่ชิงหานหัวเราะเล็กน้อยพลางส่ายหน้าไปมา ความรู้สึกสลดสังเวชใจระคนกับความแน่วแน่เด็ดเดี่ยวแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่าง สายตามองลอดผ่านประตูใหญ่ไปยังสถานที่ห่างไกลบางแห่งแล้วพูดขึ้นอย่างหนักแน่นว่า
"เหอะๆ แม้กระทั่งสุสานบรรพบุรุษเล็กกระจ้อยร่อยเพียงแค่นี้พวกเขายังไม่ยินยอมให้ข้านำร่างของท่านแม่เข้าไป เกรงว่าจะทำให้สุสานบรรพบุรุษแปดเปื้อน ถ้าเป็เช่นนั้นข้าก็จะขอใช้ชีวิตเป็เดิมพัน ใช้ทุกอย่างที่ข้ามีเพื่อนำป้ายิญญาของท่านพ่อและท่านแม่ไปไว้ในวิหาริญญาศักดิ์สิทธิ์ในนครแห่งเทพให้จงได้ ทุกๆ ปีให้คนหมื่นพันกราบไหว้เคารพบูชา รวมไปถึงพวกคนใหญ่คนโตที่สูงส่งทั้งหลายในตระกูลนี้ด้วย จะต้องกราบไหว้ทุกๆ ปีเช่นเดียวกัน..."
เสียงที่นุ่มนวลอ่อนเยาว์แต่กังวานมีพลังทะลุผ่านลานที่พักเล็กๆ แห่งนี้ลอยดังออกไปทั่วทุกทิศ
ณ เส้นขอบฟ้าที่ห่างไกลออกไป พระอาทิตย์ยามเช้ากำลังสาดส่องผ่านม่านกลุ่มม่านหมอกและกำลังลอยสูงขึ้นเป็ลำดับ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้