หลงเซี่ยวอวี่ยื่นนิ้วที่มีข้อกระดูกปูดโปนออกมาสะบัดเบาๆ จอกชาบนโต๊ะหินห้าจอกก็เหลือเพียงจอกเดียว ใบอื่นๆ นั้นสลายกลายเป็ผุยผง หายวับไปในกำลังภายในอันดุดันเพียงฝ่ามือเดียว
ไม่รู้ว่าเขาไปแตะโดนกลไกอันใดเข้า ได้ยินเพียงเสียง ‘ตึง’ เบาๆ เดิมพื้นที่เป็กระจกใสก็พลันเปลี่ยนเป็พื้นหยกสีขาวเปล่งประกายดั่งหิมะ สะท้อนแสงระยิบระยับ กระจ่างใส
มู่จื่อหลิงเดาว่าหมอนั่นต้องอยู่ที่ชั้นสองแน่
ดังนั้นนางจึงวิ่งออกไปนอกศาลาสองสามเมตร ม้วนกระโปรง ดีดปลายเท้าะโขึ้นสูง ยืดคอ ลอบมองลับๆ ล่อๆ
คิดจะดูสถานการณ์ในศาลาชั้นสอง แต่จะทำอย่างไรข้างบนก็ถูกผ้าม่านปิดไว้อย่างแ่า มองไม่เห็นสิ่งใด
มู่จื่อหลิงสองมือป้องปาก ะโไปที่ศาลาชั้นสอง “ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง ท่านอยู่ข้างบนหรือ?”
“ท่านอ๋อง หลงเซี่ยวอวี่...ท่านอยู่ข้างบนหรือไม่...”
มู่จื่อหลิงะโเรียกอยู่หลายครั้งก็ไม่เห็นว่าข้างบนจะมีความเคลื่อนไหว ในขณะที่นางกำลังจะยอมแพ้ จากไปด้วยความผิดหวัง
ผ้าม่านชั้นสองก็ถูกมือเรียวยาวแยกออกอย่างช้าๆ มู่จื่อหลิงเงยหน้าขึ้นไปมองตามสัญชาตญาณ เงาร่างผอมสูงก็สะท้อนเข้ามาอยู่ในม่านสายตา
หลงเซี่ยวอวี่สวมใส่อาภรณ์สีขาวที่มีลวดลายสีเข้มอันน่าหลงใหล ขับเน้นร่างที่สูงโปร่งของเขา ั์ตาลุ่มลึกงดงาม ลึกเสียจนไร้จุดสิ้นสุด ดำขลับราวหยดหมึก
บุคลิกที่สูงศักดิ์สง่างามเช่นนั้น ความประกายเจิดจรัสเช่นนั้น ทอรัศมีโชติ่ราวกับเทพเซียน เพียงมองแวบแรกก็ทำให้คนย้ายสายตาไปไม่ได้อีก
แต่ว่า มู่จื่อหลิงกลับไม่มีอารมณ์มาชื่นชมเลยสักนิด
แม้ว่านางจะไม่ได้เห็นใบหน้านี้ทุกวัน ใบหน้านี้ต่อให้มองยังไงก็ไม่เบื่อ แต่ในตอนนี้อารมณ์นางขุ่นมัว แน่นอนว่ามีภูมิคุ้มกันต่อฉากที่สวยงามนี้โดยอัตโนมัติ ทั้งแข็งแกร่งจนร้อยพิษไม่กล้ำกราย
มู่จื่อหลิงสูดลมหายใจเข้าลึก แอบตำหนิเงียบๆ เ้าหมอนี่อยู่ข้างบน ให้นางะโอยู่ภายใต้แสงแดดอันแผดเผาเป็ครึ่งวัน ทั้งร้อนทั้งกระหาย
เ้าหมอนี่ทำไมไม่ขานรับ น่าโมโหจริงๆ
ความรู้สึกเช่นนี้ ทำให้คนขุ่นมัวยิ่งนัก
มู่จื่อหลิงฉีกรอยยิ้มที่สดใสออกมา อ่อนหวานราวกับดอกไม้ ยอบกายน้อยๆ “ท่านอ๋อง ขออภัยด้วยเพคะ รบกวนท่านแล้ว หม่อมฉันมาเพื่อถามว่าเล่อเทียนอยู่ที่ใด ถามแล้วก็จะไป”
ในใจขุ่นมัวก็ขุ่นมัว แต่ยามนี้มีเื่ต้องขอร้องผู้อื่น นางมิอาจแสดงออกมาได้ ต่อให้ไม่มีเื่ต้องขอร้องเขา นางก็ไม่กล้าแสดงอารมณ์ขุ่นมัวของตนออกมาต่อหน้าเ้าคนเอาแน่เอานอนไม่ได้ผู้นี้!
ท้าทายอำนาจของฉีอ๋อง มิใช่การรนหาที่ตาย แกว่งเท้าหาเสี้ยนหรือ?
หลงเซี่ยวอวี่ก้มลงมามองมู่จื่อหลิงที่ยืนอยู่กลางแดดร้อนแรง หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ ใบหน้าถูกแดดเผาจนแดงเรื่อ ทว่าบนใบหน้ากลับมีรอยยิ้มประหนึ่งดอกไม้ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย “มานี่”
มานี่? ไปที่ศาลาชั้นสองนั่นหรือ?
ล้อเล่นแล้ว! นางเหาะไม่ได้! จะไปยังไง?
“ท่านอ๋องเพียงบอกหม่อมฉันมาว่าเล่อเทียนอยู่ที่ใด หม่อมฉันก็ไม่รบกวนท่านมากแล้ว” ใบหน้าของมู่จื่อหลิงยังคงมีรอยยิ้ม เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก มือป้องบังแสงแดด
“มานี่!” หลงเซี่ยวอวี่เอ่ยเสียงเย็น ดูท่าจะอารมณ์ไม่ดีแล้ว
หมอนี่ ดุนัก!
เมื่อเผชิญหน้ากับหลงเซี่ยวอวี่เช่นนี้ มู่จื่อหลิงก็ไม่กล้าอวดดีอีกต่อไป ใจแข็งในเดิมทีนั้นครู่เดียวก็พ่ายแพ้แล้ว เท้าก้าวเข้าไปอย่างไม่รู้ตัว
มู่จื่อหลิงเดินไปใกล้ศาลาทีละก้าว ไม่รอให้นางเงยมองคนที่อยู่้า
จู่ๆ หลงเซี่ยวอวี่ก็ทะยานกายลงมากลางอากาศ ยื่นแขนเรียวยาวตวัดรัดเอวคอดบางของมู่จื่อหลิงเอาไว้ ปลายเท้าแตะพื้นแ่เบา และทะยานขึ้นไปในศาลาอีกครั้ง
หลงเซี่ยวอวี่ปล่อยมู่จื่อหลิงที่ยังคงตกตะลึงออก เดินไปนั่งบนเก้าอี้หินอ่อนด้านข้างอย่างไม่สนใจใคร
เขาหิ้วกาน้ำชาหยกบนโต๊ะขึ้นมาเทน้ำชาสีอ่อนลงไปในจอกชาที่มีอยู่เพียงหนึ่งเดียว จิบหลายครั้ง ด้วยสีหน้าท่าทางพึงพอใจ
ดวงตามู่จื่อหลิงเลื่อนลอย มองศาลาชั้นบนอันลึกลับที่นางอยากขึ้นมาโดยตลอดอย่างอึ้งตะลึง
หากพูดที่นี่นั้นแยกออกมาจากข้างนอกเป็อีกโลกหนึ่งก็ไม่เกินจริง
หรูหรางดงาม ดูมีระดับ!
ผ้าม่านสีขาวราวหิมะที่ทอจากเส้นไหมแท้นิ่มลื่น เสาหลักหินหยกสีขาวยังมีผลึกหิน มรกต และไข่มุกโมรานานาชนิดฝังทอประกายระยิบระยับ พื้นหยกสีขาวเปล่งประกายใส ส่องสะท้อนคน
จุดที่สำคัญที่สุดคือที่ไม่ร้อนแผดเผาเหมือนข้างนอกเลยแม้แต่นิด ตรงกันข้ามกลับทำให้คนสบายไปทั้งตัว อารมณ์แจ่มใส รู้สึกสดชื่นเย็นสบาย
มู่จื่อหลิงแอบมองหลงเซี่ยวอวี่ที่นั่งดื่มชาอย่างสบายๆ ในใจก็เริ่มว่าร้ายขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ เ้าหมอนี่ฟุ่มเฟือยจริงๆ ศาลาแห่งหนึ่งยังทำหรูหราเสียขนาดนี้ ช่างรู้สึกเสพสำราญเหลือเกิน!
เมื่อครู่นางอยู่ข้างนอกโดนแดดแผดเผาจนแทบสิ้นชีวิต ะโจนปากคอแห้ง หมอนี่กลับดีนัก นั่งดื่มชาอย่างสบายใจไร้กังวลอยู่ที่นี่
เมื่อเปรียบกันแล้วน่าโมโหนัก!
มู่จื่อหลิงจ้องมองหลงเซี่ยวอวี่ที่ดื่มชาอย่างสำราญใจด้วยดวงตาเป็ประกาย อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายในริมฝีปากที่แห้งผากของตน นางกระหายนัก อยากดื่มสักคำ
“ท่านอ๋อง ตอนนี้บอกหม่อมฉันได้แล้วหรือยังว่าเล่อเทียนอยู่ที่ใด?” มู่จื่อหลิงจวนจะร้องไห้ พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่สบตา บังคับให้ตนเองไม่มองหลงเซี่ยวอวี่อีก
ถ้ามิใช่เพราะรู้ว่าฉีอ๋องนั้นมีความประพฤติเช่นใด นางคงสงสัยว่าเ้าหมอนี่ตั้งใจทรมานผู้อื่นใช่หรือไม่
หลงเซี่ยวอวี่จิบชาอย่างสง่างาม น้ำเสียงเย็นใส “ไม่รีบ”
เ้าไม่รีบ แต่ข้ารีบช่วยคน!
“เช่นนั้นท่านอ๋องเรียกหาผู้น้อยมีเื่อื่นหรือไม่?” มู่จื่อหลิงถามอย่างอดทน
นางคิดว่าเ้าหมอนี่คงไม่พานางมาที่นี่อย่างไร้เหตุผลกระมัง คงมีเื่ใด้าถามนาง
“ไม่มี” หลงเซี่ยวอวี่วางจอกชาหยกขาวในมือลง ครู่หนึ่ง จึงถามอย่างเฉยชา “สืบเื่หลงเซี่ยวหนานได้ความอันใดแล้ว?”
“หม่อมฉันสืบได้ว่ากู่ปรสิตนั้นเป็แมวที่แพร่มาให้องค์ชายห้า ยามนี้แมวขาวตายแล้ว ใต้เท้าเสิ่นกำลังนำคนไปค้นหาทีู่เาด้านหลัง...” มู่จื่อหลิงชะงักไป กลืนน้ำลายในปากที่แห้ง พูดต่อไปว่า “เพียงแต่ที่หาครั้งนี้ไม่ใช่แมวขาว หม่อมฉันสงสัยว่าแมวขาวจะถูกสัตว์ร้ายลากไปกินเป็อาหาร ดังนั้น...”
“ดื่มไหม?” หลงเซี่ยวอวี่ยกชาขึ้นมาจิบหนึ่งอึก ตัดบทคำพูดยืดยาวของมู่จื่อหลิงอย่างเฉยเมย
“ดื่ม” มู่จื่อหลิงตอบรับอย่างอึ้งๆ เผลอมองจอกชาในมือหลงเซี่ยวอวี่อย่างไม่ตั้งใจ เดาะลิ้นในริมฝีปากที่แห้งผากของตน
นี่มิใช่คำพูดไร้สาระหรือ ยืนอยู่ใต้แดดของพระอาทิตย์ดวงเบ้อเริ่มมาครึ่งค่อนวัน ยังะโเรียกอยู่นานสองนานอีก จะไม่หิวน้ำหรือ นางกระหายจะตายแล้ว
หลงเซี่ยวอวี่ไม่พูดสิ่งใด เทน้ำชาจนเต็มจอกอย่างสง่างาม ยกจอกชาลุกขึ้นเดินมาตรงหน้ามู่จื่อหลิงอย่างช้าๆ
มู่จื่อหลิงคิดว่าหลงเซี่ยวอวี่้าเทน้ำชาให้นางดื่ม นางเพิ่งเห็นว่าบนโต๊ะนั่นมีจอกชาแค่จอกเดียว แม้จะแปลกใจว่าเหตุใดจึงมีแค่จอกเดียว แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้ไปครุ่นคิดแล้ว
แม้จอกชาใบนี้หลงเซี่ยวอวี่จะดื่มมาก่อน แต่เมื่อคืนพวกเขาก็จูบกันไปแล้ว จอกชาแก้วเดียวยังจะเป็อันใดอีก ยิ่งไปกว่านั้นนางก็หิวน้ำจนจะตายแล้ว ฉีอ๋องยังไม่รังเกียจ แล้วนางจะรังเกียจไปทำไม
เพียงชั่วพริบตาดวงตามู่จื่อหลิงก็สว่างวาบ เป็ประกาย เตรียมจะยื่นมือไปรับ...
ใครจะรู้ว่าภายใต้ดวงตาเปล่งประกายของนาง หลงเซี่ยวอวี่จะเงยศีรษะดื่มน้ำชาใสเข้าไปในปากไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว
มือของมู่จื่อหลิงที่ยกขึ้น จึงชะงักอยู่กลางอากาศด้วยเหตุนี้ นางมองจอกชาที่ว่างเปล่าใบนั้นอยากจะร้องไห้ก็ไร้น้ำตา
โง่เง่า มีวิธีปั่นหัวคนเช่นนี้ด้วยหรือ จะรังแกกันเกินไปแล้ว
เสียชีพได้อย่าเสียศักดิ์!
มู่จื่อหลิงพลันระงับอารมณ์ในใจที่พุ่งขึ้นมาทันที กำหมัดแน่น เตรียมจะเดินไปที่โต๊ะหินอ่อนหยิบน้ำชาทั้งกาหยกขาวขึ้นมาดื่มตรงๆ อย่างไม่แยแส
เพียงแต่มู่จื่อหลิงยังไม่ทันก้าวไปสักก้าว แขนเรียวเล็กก็ถูกหลงเซี่ยวอวี่ดึงไว้ จากนั้นก็เซถลาเข้าไปในอ้อมอกของหลงเซี่ยวอวี่
ไม่รอให้มู่จื่อหลิงมีการตอบสนอง หลงเซี่ยวอวี่ก็บังคับท้ายทอยของนางไว้ด้วยมือข้างเดียว ทำให้นางอยู่นิ่งๆ อย่างแ่เบา และเงาดำสายหนึ่งก็ครอบนางไว้
หลงเซี่ยวอวี่โน้มตัวลงมา ริมฝีปากบางเย็นเฉียบปิดทับกลีบปากที่ทั้งอ่อนนุ่มและแห้งผากของมู่จื่อหลิง
“อุ๊บ...หลงเซี่ยว...” มู่จื่อหลิงเพิ่งอ้าปาก น้ำชาเย็นชืดก็ถูกกรอกเข้าไปอึกใหญ่
หลงเซี่ยวอวี่กักร่างของมู่จื่อหลิงไว้อย่างแ่า ทำให้นางขยับเขยื้อนไม่ได้ ปลายลิ้นชอนไชริมฝีปากที่ทั้งอ่อนนุ่มและแห้งผากของนางอย่างแ่เบาราวกับอสรพิษ
จูบที่ทั้งเย็นเยียบและคลั่งไคล้ ม้วนเข้าไปอย่างดุดัน เผด็จการแต่กลับไม่สูญเสียความอ่อนโยน
เพียงครู่เดียวริมฝีปากที่แห้งผากก็ชุ่มชื้นขึ้นมา นางขยับลำคอเล็กน้อยตามจิตใต้สำนึก จากนั้น น้ำชาเย็นชืดก็ไหลลงไปในกระเพาะนางทั้งหมด
ชั่วขณะนี้ มู่จื่อหลิงก็ลืมที่จะดิ้นรน สูญเสียสติสัมปชัญญะไปในทันที น้ำเย็นชืดเพียงอึกเดียวดูเหมือนจะบรรเทาริมฝีปากที่แห้งมาแต่เดิมของนางไม่ได้
นางอยากได้น้ำชาเย็นชืดมากกว่านี้มาคลายความแห้งผาก
กลีบปากที่เย็นเฉียบและแ่เบาของหลงเซี่ยวอวี่ ปัดป่ายราวกับขนนก ขยับไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า อ้อยอิ่งไม่สิ้นสุด
ััเย็นเยียบ พ่นลมหายใจร้อนผ่าว น้ำเสียงทุ้มต่ำทรงเสน่ห์ “ฉีหวางเฟย ยังกระหายหรือไม่?”
......
มู่จื่อหลิงที่ไร้เรี่ยวแรงอยู่ในอ้อมกอดหลงเซี่ยวอวี่เปิดตาขึ้นในทันใด
สายตาสองคู่สอดประสาน ใบหน้าเลอโฉมทั้งสองอยู่ใกล้กันนัก ใกล้จนสามารถรับรู้ได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าวที่พ่นออกมา รินรดใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างแ่เบา
“ท่าน...ท่าน...” มู่จื่อหลิงพิงหลงเซี่ยวอวี่ เบิกตาทั้งสองข้างกว้าง เอ่ยคำว่า ‘ท่าน’ อย่างติดๆ ขัดๆ อยู่นานสองนาน ก็พูดต่อไปไม่ออก
เมื่อครู่นี้พวกเขาทำอะไร?
นาง นางกินน้ำชาในปากของหลงเซี่ยวอวี่ และเมื่อครู่ตนเองก็ยังดื่มด้วยความเพลิดเพลินด้วย?
ช่าง ช่าง ช่างขายหน้านัก มารดาเถอะ!
เ้าหมอนี่เป็อะไรไปกันแน่ เมื่อวานพูดว่าไม่เสียเปรียบ เอาเปรียบนางไปเปล่าๆหนึ่งครั้ง ครานี้นางยืนดีๆ ไม่แตะต้องเขาเสียหน่อย
สิ่งใดคือรู้ว่าฉีอ๋องเป็คนเช่นใดกัน? นางในตอนนี้ไม่รู้เลยแม้แต่นิด เ้าคนเอาแน่เอานอนไม่ได้ ขึ้นๆ ลงๆ ผู้นี้
เ้าหมอนี่จะต้องเจตนาเป็แน่ เปลี่ยนเป็กินเต้าหู้ [1] นางหนักกว่าเดิมอีก จะน่ารังเกียจเกินไปแล้ว
แต่ทว่า...
หลงเซี่ยวอวี่ปล่อยมู่จื่อหลิงอย่างช้าๆ จับให้นางยืนตรงๆ สีหน้าเคร่งขรึม พูดอย่างจริงจัง “ฉีหวางเฟย เ้าจำไว้ เปิ่นหวางไม่มีนิสัยดื่มชาร่วมจอกกับผู้อื่น!”
ไม่มีนิสัยดื่มชาร่วมจอกกับผู้อื่น?
เ้าคิดว่าข้าโง่หรือ?
ไม่มีนิสัยดื่มชาร่วมจอก ก็เลยป้อนน้ำชานางปากต่อปาก?
นี่มันร้ายแรงยิ่งกว่าใช้จอกชาร่วมกันเสียอีก
เ้าคนน่ารังเกียจ!
ในใจมู่จื่อหลิงโมโหจนจะตายแล้ว กำหมัดแน่น ข่มความโกรธในใจที่ไม่สามารถปล่อยออกมาได้
นางคิดว่านางจะต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ถึงได้วิ่งมาหาหลงเซี่ยวอวี่
กุ่ยหยิ่งไม่บอกนางว่าเล่อเทียนอยู่ที่ใด กุ่ยเม่ยก็คงจะบอกนางได้กระมัง อย่างน้อยกุ่ยเม่ยคงจะพูดง่ายกว่า
----------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] กินเต้าหู้ หมายความว่า ลวนลาม แต๊ะอั๋ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้