อวิ๋นอี้นัดพบกับลู่จงเฉิงที่โรงเตี๊ยมเกาเซิ่ง
เมื่อนางมาถึงโรงเตี๊ยม ทันทีที่ลงจากรถ นางพลันได้ยินเสียงยินดีจากด้านใน
จ่างกุ้ยได้ข่าวมานานแล้ว เมื่อเห็นเช่นนั้นจึงรีบออกมาต้อนรับ "คารวะพระชายาพ่ะย่ะค่ะ"
เขารู้สึกต่ออวิ๋นอี้อย่างดีทั้งสำนึกในพระคุณ ท่าทีของเขาซื่อสัตย์และจริงใจนัก
อวิ๋นอี้พยักหน้าตอบ มองไปยังตึกด้วยดวงตายาวงดงามของนาง เมื่อเห็นว่าเต็มไปด้วยผู้คน นางพลันเงยหน้าขึ้นอย่างสงสัยและถามว่า “ทำการใดอยู่หรือ?”
“อ่า พวกนักเรียนกำลังชุมนุมกันแต่งกวีพ่ะย่ะค่ะ! ต้องบอกเลยนะพ่ะย่ะค่ะ ั้แ่ที่โรงเตี๊ยมของเรามีชื่อเสียง ผู้ที่มาพักที่นี่ล้วนเป็ปัญญาชน บรรยากาศวิชาการเข้มข้นมาก กิจกรรมอย่างชุมนุมกวีจะมีทุกสามทุกห้าวันเลยพ่ะย่ะค่ะ มิทราบว่าพระชายาเคยเห็นมาก่อนหรือไม่?” จ่างกุ้ยอยากถามเพื่อเอาใจ ทุกวันนี้เขามองอวิ๋นอี้ราวบ่อเงินบ่อทอง จึงยิ้มเชิญชวน “มาถึงแล้ว เหตุใดมิลองเข้าไปดูหน่อยเล่าพ่ะย่ะค่ะ?"
อวิ๋นอี้ไม่ตอบคำถาม "อัครมหาเสนาบดีขวาลู่ถึงหรือยัง?"
"ยังพ่ะย่ะค่ะ!" จ่างกุ้ยพูดอย่างสุภาพ "เชิญพระชายาที่ชั้นสองพ่ะย่ะค่ะ ข้าเตรียมห้องไว้ให้ท่านแล้ว จะได้ดูชุมนุมกวีที่ชั้นหนึ่งพลางรอท่านมหาเสนาบดี"
"เ้าช่างรอบคอบเสียจริง" อวิ๋นอี้ให้เขานำทาง
หลังจากที่ราชวงศ์ต้าอวี่ให้ความสำคัญกับการคัดเลือกคนเก่งมากความสามารถ นักเรียนมากมายก็เดินทางมาจากไกลโพ้นเพื่อเข้าเมืองหลวงมาพบปะแลกเปลี่ยนกัน เป็เื่น่ารื่นรมย์นัก
จำนวนแขกที่เข้ามาพักที่เกาเซิ่งเพิ่มขึ้นมิน้อย แม้ว่าจะไม่มีห้องพักแล้ว ทว่ามิสามารถหยุดยั้งผู้คนที่มาเพื่อดื่มชาได้
ดังนั้นร้านจึงพลุกพล่านไปด้วยผู้คนเสมอ
จ่างกุ้ยนำทาง อวิ๋นอี้หลีกเลี่ยงฝูงชนและเข้าไปในห้องบนชั้นสอง
ตำแหน่งของห้องนั้นยอดเยี่ยม อยู่ตรงกลาง มองเห็นสถานการณ์ด้านล่างได้อย่างชัดเจน เสี่ยวเอ้อทำผลไม้ ชาร้อนและขนมเข้ามาให้ด้วยความเคารพ จากนั้นจึงจุดเครื่องหอมในห้อง
หน้าต่างที่เปิดอยู่ถูกแขวนด้วยผ้าม่านผ้าบางๆ สีขาว ควันลอยล่อง ลมที่มิรู้ว่ามาจากทิศใดพัดเข้ามาทำให้ผ้าขาวบางพลิ้วไหว
อวิ๋นอี้นั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้โยก นั่งฟังการสนทนาของคนมีวัฒนธรรมด้านล่างอย่างตั้งใจ
พวกเขาจะแข่งกันแต่งกลอน
บุรุษในเสื้อคลุมยาวสีน้ำตาลที่มัดผมมวยสูง ใบหน้าดูสงบและฉลาด เต็มเปี่ยมไปด้วยราศีของผู้มีความรู้ ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนพลางอธิบายกฎเกม
อวิ๋นอี้รู้สึกว่าบุรุษผู้นี้หน้าคุ้นมาก ทว่าน่าเสียดายที่คิดมิออก จึงทำได้เพียงหันไปใส่ใจกับคำพูดของเขา
“ผู้เข้าร่วมต้องแต่งกลอนตามหัวข้อภายในเวลาธูปหนึ่งดอก ผู้ที่มิได้ลงแข่งที่อยู่ที่นี่จะลงคะแนนให้แต่ละบทกลอน ผู้ที่ได้รับคะแนนมากที่สุดห้าท่านจะได้เข้าสู่รอบต่อไป รอบต่อไปก็เช่นกัน เข้ารอบสามในห้า และสุดท้ายจะคัดเลือกผู้ชนะ ข้าอธิบายกฎเสร็จแล้ว หวังว่าทุกท่านจะเข้าร่วมกันอย่างแข็งขัน"
หลังจากที่บุรุษในชุดสีน้ำตาลพูดจบ ก็พยักหน้าช้าๆ แล้วนั่งลง
นักเรียนรอบๆ พากันพูดขอบคุณ “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ ใต้เท้าซ่ง”
ใต้เท้าหรือ?
อวิ๋นอี้เลิกคิ้ว หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย นางก็เข้าใจ
ก่อนหน้านี้หรงซิวเคยบอกว่า ก่อนการสอบเดือนวสันต์แต่ละครา เ้าหน้าที่หลายคนจะติดต่อกันเป็การส่วนตัวกับผู้เข้าทดสอบเพราะชื่นชมความสามารถของพวกเขา
ใต้เท้าท่านนี้คงจะเป็หนึ่งในนั้นใช่หรือไม่?
อวิ๋นอี้มิได้คิดมาก กวาดสายตามองดูผู้คนที่อยู่ตรงหน้า ภายใต้อิทธิพลของใต้เท้าซ่ง นักเรียนหลายคนพากันเข้าสมัคร
มีภาพความเฟื่องฟูในห้องโถง
นักเรียนส่วนใหญ่สวมชุดสีน้ำเงินยืนคุยกระไรกับคนรอบข้าง
อวิ๋นอี้สังเกตเห็นบุรุษผู้หนึ่งที่ปะปนอยู่ท่ามกลางฝูงชน แม้ว่าจะใส่ชุดเดียวกัน ทว่าเขากลับโดดเด่นและมีเสน่ห์กว่าผู้อื่นมาก
เอ่อ...หลักๆ เพราะเขาหน้าตาดี
ชุดสีน้ำเงินเป็ชุดผ้าฝ้ายละเอียดที่ราชวงศ์ต้าอวี่จัดหาให้พวกบัณฑิตชั้นสูง มีราคามากกว่าผ้าหยาบหนา ทว่ามิใช่สินค้าระดับสูงกระไร
เขานั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ แสงแดดที่ตกกระทบร่างของเขา สะท้อนแสงที่สวยงามจางๆ ท่าทางของเขางดงามมาก กวานผม [1] ที่ยกสูง เส้นผมสลวยราวน้ำไหล ยาวลงถึงกลางหลัง บุรุษหนุ่มเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย พิงตัวลงกับพนักพิงเก้าอี้ ยิ้มขึ้นเป็ความงามที่พาให้หวั่นไหว
อวิ๋นอี้จ้องเขม็งมิละสายตา สูดหายใจ
ไม่ ไม่ ไม่ ไม่!
รีบละสายตาออกอย่างรวดเร็ว เมื่อกลับไปมองอีกพลันพาให้ใจมิอยู่กับเนื้อกับตัว
มิคิดเลยว่าในราชวงศ์ต้าอวี่จะไม่ขาดบุรุษรูปงาม
อวิ๋นอี้ปรับอารมณ์อยู่นาน ถึงได้สงบจิตสงบใจลง พอดีกับเวลาลงทะเบียนที่ชั้นล่างสิ้นสุดลง เริ่มการแข่งขันรอบแรก
นางอดที่จะสนใจบุรุษหนุ่มผู้นั้นอีกมิได้ จากนั้นนางถึงได้รู้ว่า ดูเหมือนว่าเขาจะพูดน้อย แม้ว่าจะมีกลุ่มคนรอบตัวเขา ทว่ากลับมิมีผู้ใดเริ่มที่จะพูดคุยกับเขา
หรือว่าเขาหยิ่งนะ?
อวิ๋นอี้อดเดามิได้ เมื่อมองดูอีกคราพลันได้ยินเสียงผู้บุรุษที่ละเมียดละไมดังขึ้นที่หู
คนที่พูดเป็ใต้เท้าซ่ง เขาให้ผู้เข้าร่วมเขียนบทกลอนเกี่ยวกับฤดูวสันต์ภายในเวลาธูปหนึ่งดอก
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้น พลันพากันขมวดคิ้วและไตร่ตรอง คนที่รวดเร็วได้หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนแล้ว
จะเขียนกลอนกระไร อวิ๋นอี้มิเข้าใจหรอก นางเท้าคางมองผ่านเข้าไปในฝูงชน อยากจะหาดูว่ามีผู้ที่รูปงามบ้างหรือไม่ หลังจากที่ดูไปไม่กี่รอบ ก็พบว่ามีคนที่ไม่เลวอยู่สองสามคน
ทว่าเมื่อเทียบกับบุรุษผู้เดิมก่อนหน้า ก็ยังสู้มิได้
ความสนใจหมดลง นางเอนหลังพิงเก้าอี้เพื่อดูความคืบหน้าของเกม
นักเรียนที่สามารถเข้ามาในเมืองหลวงและเข้าร่วมการสอบเดือนวสันต์ได้ จะต้องมีความสามารถมิน้อย ทั้งยังหัวข้อในการแต่งกลอนเกี่ยวกับฤดูวสันต์นั้นก็ง่ายมาก ผู้เข้าร่วมทั้งหมดทำเสร็จได้ก่อนเวลาที่ธูปจะหมดก้าน
หัวข้อที่ง่าย มักจะเป็การพิจารณาทักษะของคน
หาก้าจะโดดเด่นจากกลุ่มคน ต้องมีความสามารถด้านวรรณกรรมอย่างลึกซึ้ง ทั้งยังต้องมีพร์ที่ดีมากด้วย
ผู้คุมให้เสี่ยวเอ้อเอาบทกลอนของผู้เข้าร่วมทั้งหมดติดไว้ เพื่อให้ทุกคนดูและลงคะแนน
ทุกอย่างเป็ไปตามลำดับ
มินานผลการแข่งขันรอบแรกก็ออกมา ในบรรดาผู้เข้าร่วมยี่สิบสามคน มีห้าผู้ชนะได้เข้ารอบต่อไป
ในหมู่พวกเขายังมีบุรุษรูปงามผู้ที่ทำให้อวิ๋นอี้เบิกบานใจได้อีกด้วย
ใต้เท้าซ่งมิรอช้า หลังจากผลออกมา เขากล่าวชมเชยพอเป็พิธีแล้วออกหัวข้อใหม่
ครานี้เป็การให้เขียนกลอนเกี่ยวกับฤดูเมหันต์
อวิ๋นอี้มิสามารถดูการแข่งขันทั้งหมดได้ เพราะเพลานี้ประตูห้องได้ถูกเปิดออก
นางหันหน้าไปพลันเห็นลู่จงเฉิงสวมชุดขาวสีพระจันทร์เสี้ยวนวล ผมดำหน้าแดง ทันทีที่เขาปรากฏตัว อากาศก็เย็นะเื
“มานานแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?” ท่าทางทื่อๆ เขาเดินไปที่ด้านหน้าแล้วนั่งบนเบาะนุ่มอีกตัวหนึ่ง
อวิ๋นอี้เปล่งเสียงยาว “ใช่...ใช่ ใช่สิเ้าค่ะ!”
ลู่จงเฉิงตะลึงกับปฏิกิริยาของนาง หัวเราะอย่างแ่เบา "พูดติดอ่างทำไมพ่ะย่ะค่ะ?"
"ข้าเปล่านะ!" นางเบิกตาพูดข้างๆ คู่ๆ "ท่านน่ะสิติดอ่าง ข้าเพียงกังวลว่าท่านจะได้ยินมิชัด จึงพูดซ้ำๆ"
"เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ" ลู่จงเฉิงยักไหล่ สีหน้านิ่ง เขาหยิบเล่มบัญชีออกจากโต๊ะตัวข้างๆ ส่งให้นาง "นี่คือบัญชีของ่นี้ ข้าแยกเงินปันผลแล้ว ท่านตรวจสอบได้เลยพ่ะย่ะค่ะ"
เมื่อพูดถึงเื่เงิน อวิ๋นอี้ตาเป็ประกาย
นางหยิบสมุดบัญชีไปดูด้วยความเคารพ เปิดตรงไปยังหน้าสุดท้าย
เมื่อนางเห็นตัวเลข ก็ใมาก "เยอะ...เช่นนี้เลย! อัครมหาเสนาบดีขวาลู่ ท่านมิได้คิดผิดนะเ้าคะ?"
"มิผิดพ่ะย่ะค่ะ" ลู่จงเฉิงรินน้ำชาให้ตัวเอง เม้มปากพูด "นี่เป็สิ่งที่ท่านสมควรได้"
อวิ๋นอี้ลอยไปไกลแล้ว นางรู้ว่าโรงเตี๊ยมและร้านตัดเสื้อทำเงินได้ ทว่านางมิคิดว่าจะทำเงินไม่น้อยลงเลยใน่ที่นางไม่อยู่
อ่านบัญชีอย่างละเอียดถี่ถ้วนสองครั้ง ไม่พบข้อผิดพลาด นางจึงคืนบัญชีให้ลู่จงเฉิง ทำงานอย่างมีแรงบันดาลใจมากขึ้น "ใช่สิเ้าค่ะ ข้ามาหาท่านเพราะอยากจะคุยเื่การพัฒนาโรงเตี๊ยมหลังจากนี้"
เชิงอรรถ
[1] กวานผม 发冠 หมายถึง เครื่องประดับผมบุรุษ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้