สติของเนี่ยเซิงเสี่ยวได้ลอยออกจากร่างไปแล้ว จึงไม่มีทีท่าขัดขืนอะไร
เวลาที่ใช้เดินจากหน้าประตูโรงพยาบาลจนไปถึงห้องพักผู้ป่วยที่เตรียมเอาไว้ให้เหนี่ยวเหนี่ยวโดยเฉพาะ นั้น คนปกติใช้เวลาเดินแค่ห้านาทีก็ถึง แต่พวกเขาใช้เวลาไปถึงสิบห้านาทีเต็ม
สิบนาทีนั้นไปทำอะไรมา? ในที่สุดหานอวี้จือก็เห็นพวกเขาเดินเข้ามาในที่สุด “เฮ้ อวดความรักอยู่ข้างนอกแค่สิบนาทีก็พอแล้วมั้ง”
เหนี่ยวเหนี่ยวกระพริบตาปริบๆ มองเหยียนจิ่งจื้อที่ตัวติดกับเนี่ยเซิงเสี่ยวก่อนจะพุ่งเข้ามาดึงแม่ของตัวเองให้ก้มลงมาหา แล้วกระซิบถามข้างๆ หูเธอว่า “เสี่ยวเสี่ยวชอบลุงจ้าวหรืออาเหยียนมากกว่ากัน?”
“คำถามไร้สาระอะไรน่ะ” เหยียนจิ่งจื้อที่หูดีเกินไปร้องเหอะออกมาเบาๆ จากนั้นก็พูดกับเนี่ยเซิงเสี่ยว “ให้เขาเปลี่ยนคำเรียก”
เนี่ยเซิงเสี่ยวเงียบ ถ้าหากเปลี่ยนคำเรียกแล้วจะไม่สามารถหันหลังกลับได้อีก ดังนั้นเธอจึงคุกเข่าลงไปพูดกับเนี่ยเหนี่ยวเหนี่ยว “่นี้อาเหยียนเขายุ่งมาก สติเลยไม่ค่อยเต็ม ถ้าหากเขาพูดอะไรแปลกๆเหนี่ยวเหนี่ยวก็อย่าไปใส่ใจนะ และก็ไม่ต้องโกรธหรือใด้วย ทำเป็ไม่ได้ยินก็พอ เพราะถ้าหากเขาได้สติแล้วรู้ว่าตัวเองพูดคำที่ไม่ควรพูด เขาจะอาย…”
ยังพูดไม่ทันจบ เนี่ยเซิงเสี่ยวก็รู้สึกว่าด้านหลังของตัวเองถูกดึงให้ยืนขึ้น จากนั้นก็บังคับให้หันกลับไปจนหลังติดเข้ากับประตูห้อง ก่อนที่ริมฝีปากของเธอจะถูกริมฝีปากของเขาประทับลงมา
ในสายตาของคนอื่นอาจจะดูว่าเป็จูบที่เบาบางมาก แต่มีเพียงเธอเท่านั้นที่รู้ว่าจูบนี้เอาแต่ใจมากแค่ไหน เธอลูบริมฝีปากของตัวเองพลางคิดว่าทั้งๆ ที่ถูกกัดไปแต่ปากกลับไม่แตก
หลังจากที่จูบเสร็จแล้วก็หันมามองเนี่ยเหนี่ยวเหนี่ยวที่ยืนเหม่ออยู่ “ต่อไปใช้นามสกุลฉัน”
“แต่ว่าเสี่ยวเสี่ยวนามสกุลเนี่ย”
“เสี่ยวเสี่ยวเองก็จะใช้นามสกุลฉัน!”
เนี่ยเหนี่ยวเหนี่ยวกะพริบตาปริบๆ หลังจากดึงสติอยู่หลายวินาที ก็หันไปมองเนี่ยเซิงเสี่ยวที่หน้าแดงไปจนถึงคอหลังจากถูกบังคับจูบไป “ผมเรียกเขาว่าพ่อได้ไหม?”
เนี่ยเซิงเสี่ยวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เหยียนจิ่งจื้อเองก็ปล่อยให้เธอลังเลไปก่อน อย่างไรก็ตามถ้าหากเป็ลูกชายของเขาล่ะก็ จะต้องมีนิสัยที่ชอบถามจนกว่าจะได้คำตอบ ถึงเธอไม่อยากจะตอบก็ต้องตอบ
แต่ถ้าหากรู้ว่าวินาทีต่อมาจ้าวหยวนฟางจะพุ่งเข้ามาล่ะก็ เขาจะรีบบีบบังคับให้เธอตอบ
จ้าวหยวนฟางพุ่งเข้ามาในห้องได้กะทันหันเกินไป
“เหนี่ยวเหนี่ยว เธอดูไม่ออกหรือว่าแม่ของนายไม่ได้อยากยอมรับเขาน่ะ?” จ้าวหยวนฟางมาคุกเข่าตรงหน้าเนี่ยเหนี่ยวเหนี่ยว แล้วพูดอย่างหนักแน่น
อารมณ์ของเหยียนจิ่งจื้อแสดงออกมาทางใบหน้าอย่างชัดเจน เขาจำจ้าวหยวนฟางได้ จำได้ว่าคนที่ทำให้เขาวู่วามไล่เนี่ยเซิงเสี่ยวออก หนึ่งก็เพราะเจินเนี้ยน อีกเหตุผลใหญ่มากๆ นั่นก็เพราะว่าถูกจ้าวหยวนฟางยั่วโมโห ตอนนั้นเขาอยากจะเจอเนี่ยเซิงเสี่ยวก็ไม่ได้เจอ พอถามจินเป้ยน่าว่าเธออยู่ที่ไหนก็ได้ความว่าเธอไปกับผู้ชายคนหนึ่งแล้ว
ผู้ชายคนนั้นก็คือจ้าวหยวนฟาง
ครั้งที่สองก็เจอผู้ชายคนนี้ที่บ้านของเธอ ครั้งนี้ก็ยังพุ่งเข้ามาอีก เหยียนจิ่งจื้อมองเนี่ยเซิงเสี่ยวหวังว่าเธอจะสามารถอธิบายอะไรออกมาบ้าง
ดวงตาของเนี่ยเซิงเสี่ยวกลับมองไปยังที่จ้าวหยวนฟาง “หยวนฟาง นายมาได้อย่างไร”
ใบหน้าของเหยียนจิ่งจื้อถมึงทึง เรียกชื่อเขาทีก็มักจะเรียกพร้อมนามสกุล หรือไม่ก็เรียกคุณเหยียน แต่กลับเรียกจ้าวหยวนฟางอย่างสนิทสนมแบบนั้น!
เหยียนจิ่งจื้อทนไม่ไหวแล้ว ในตอนที่เขาจะพุ่งหมัดไปทักทายอีกฝ่าย เนี่ยเหนี่ยวเหนี่ยวก็ดึงเขาไว้ “อาเหยียนโกรธอะไรครับ ลุงจ้าวไม่ใช่คนเลวนะ ลุงจ้าวเขาคอยดูแลพวกเรา แถมยังชอบเสี่ยวเสี่ยวเหมือนผมด้วยนะ”
ท่าทางของเด็กน้อยเหมือนกับบอกว่าหลายปีมานี้คุณทำอะไรอยู่? คุณไปไหนมา?เป็คนดีหรือคนเลวยังไม่แน่ใจเลย
เหยียนจิ่งจื้อถอนหายใจออกมา กลับกันยังถูกคำพูดของเด็กคนนี้ช่วยเตือนสติ แต่ว่าเพราะมีเื่เกิดขึ้น ถ้าหากตอนนั้นเนี่ยเซิงเสี่ยวไม่ทรยศแล้วหนีไป มีหรือที่จะเปิดโอกาสให้จ้าวหยวนฟางเข้ามาแทรกกลางได้
“คุณจ้าวครับ เื่ของครอบครัวพวกเรา รบกวนคุณอย่าเข้ามายุ่ง”
จ้าวหยวนฟางชะงักไป เขารู้ว่าสิ่งที่เหยียนจิ่งจื้อพูดนั้นไม่ผิด แค่เขามองเพียงครั้งเดียว เขาก็รู้ว่าสามีที่เนี่ยเซิงเสี่ยวพูดถึงก็คือผู้ชายคนนี้
เขาไม่เคยคิดที่จะใช้เหตุผลมาเอาชนะเหยียนจิ่งจื้อ เพราะรู้ดีว่าตัวเองจะต้องแพ้แน่นอน จ้าวหยวนฟางหันไปมองเนี่ยเซิงเสี่ยว “ถ้า้าความช่วยเหลือบอกได้เลยนะ จะเรียกตอนไหนก็ได้”
กลยุทธ์การรุกด้วยความอ่อนโยนนั้น เป็สิ่งที่ผู้หญิงต้านทานยากได้ที่สุด
หานอวี้จือที่มองอยู่ด้านข้างในที่สุดก็ทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว เขามองร่างของจ้าวหยวนฟางที่เดินออกไปไกลแล้วก็หันไปตบบ่าเหยียนจิ่งจื้อ “เพื่อนเหยียน ฉันว่านายงานเข้าแล้วล่ะ”
“เตรียมตัวผ่าตัด” เหยียนจิ่งจื้อพูดเสียงเข้ม ไม่มีคำพูดโต้เถียงอื่นอีก
หานอวี้จือเกือบจะะโโหยง “เฮ้ เหยียนจิ่งจื้อ ผ่าตัดเร็วขนาดนี้จะดีหรือ?”
ตอนที่จินเป้ยน่ารีบมาจัดการเื่ของเหนี่ยวเหนี่ยวก็ได้เอาสัญญาฉบับหนึ่งมาด้วย
พูดให้ถูกก็คือสองฉบับ กว่าเนี่ยเซิงเสี่ยวจะรู้ว่าสัญญามีสองฉบับก็ตอนที่ได้มันมาถือไว้ในมือแล้ว หลังจากเหยียนจิ่งจื้อเซ็นสัญญาเสร็จแล้วถึงจะส่งมาให้เธอ ตอนนั้นเนี่ยเหนี่ยวเหนี่ยวได้ถูกเข็นเข้าไปตรวจร่างกายในห้องตรวจ ในพื้นที่รอคนไข้จึงเหลือแค่พวกเขาสองคน
“สัญญาสองฉบับ เลือกมาหนึ่งฉบับ เธอจะเลือกอันไหนก็ตามสบาย” เหยียนจิ่งจื้อส่งให้เธอด้วยท่าทางจริงจังมาก
ตอนแรกเนี่ยเซิงเสี่ยวแปลกใจ แต่ว่าหลังจากได้อ่านสัญญาแล้วเธอก็เกร็งขึ้นมาทันที สุดท้ายจึงทำได้แค่ตั้งใจอ่านอย่างละเอียด
สัญญาฉบับแรก เขารับปากว่าจะบริจาคไขกระดูกให้เหนี่ยวเหนี่ยว แต่จะต้องกลับมาคืนดีกัน อยู่ด้วยกันสามคนพ่อแม่ลูก เื่ราวทั้งหมดเขารับปากว่าจะจัดการ
ดูแล้วเหมือนมันเพอร์เฟกต์มาก แต่ความรู้สึกไม่ปลอดภัยตอนที่หนีจากเขามาเมื่อเจ็ดปีก่อน มันไม่ได้หายไปง่ายๆ
สัญญาฉบับที่สอง เช่นเดียวกับฉบับที่แล้วคือเขารับปากว่าจะบริจาคไขกระดูกให้เหนี่ยวเหนี่ยว แต่ให้ทิ้งเหนี่ยวเหนี่ยวเอาไว้ เธอจะเลือกอันไหนก็ตามสบาย
เนี่ยเซิงเสี่ยวอ่านจบก็โยนสัญญาทิ้งลงไปที่พื้น “เหยียนจิ่งจื้อนายมันจอมเผด็จการ!” เธอไม่มีทางทิ้งเหนี่ยวเหนี่ยว แต่จะให้ทิ้งลูกไว้ข้างกายเหยียนจวิ้นเธอก็ไม่มีทางวางใจได้
เหยียนจิ่งจื้อเหมือนจะเดาปฏิกิริยาของเธอออกั้แ่แรกจึงไม่ได้แสดงท่าทีใดออกมามาก “ผู้ช่วยจินยังไม่ใส่ใจรายละเอียดเท่าไร ฉันเพิ่งคิดทางเลือกที่สามได้ เธออยากจะฟังไหม?”
เนี่ยเซิงเสี่ยวหันหลังใส่ คิดถึงเนื้อหาในสัญญาแล้วก็โมโหจนตัวสั่น มีสัญญาที่ไหนบ้างที่ไม่ได้ทำขึ้นมาเพื่อให้คนยอมรับ เธอเอ่ยปากด้วยความหงุดหงิด “อย่างไรนายก็ไม่มีทางคิดอะไรดีๆ ได้หรอก”
“สิ่งที่ฉันคิดได้ในครั้งนี้ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ แต่ไม่แน่มันอาจจะเหมาะสมกับเธอมากที่สุด” เหยียนจิ่งจื้อเดินเข้าหาจนระยะห่างกันไม่มาก “วิธีที่สามก็คือ ฉันช่วยเหนี่ยวเหนี่ยว เธอก็มาเป็กิ๊กของฉัน” ในเมื่อไม่วางใจท่าทีที่เหยียนจวิ้นมีต่อเนี่ยเซิงเสี่ยว เช่นนั้นก็แอบคบกันซะก็หมดเื่
“นาย!” เนี่ยเซิงเสี่ยวกัดริมฝีปาก เขาพูดจาน่าไม่อายกับเธอแบบนี้มาสองครั้งแล้วนะ เธอไม่รู้จะตอบกลับอย่างไรดี
ถ้าหากเป็เมื่อหกปีก่อน ตอนที่พวกเขาพูดเื่พวกนี้ขึ้นมา บางทีอาจจะพูดเื่ความได้เปรียบหรือจำนวนครั้งออกมาตรงๆ ในตอนนั้นเธอก็จะด่าเขาว่าประสาทออกมาตรงๆ แต่พอด่าเสร็จก็จะพูดเสริมว่า “เป็เด็กเสี่ยหรือ? ฟังดูไม่เลวเลยนะ”
“คิดนานขนาดนี้ เธอกำลังคิดว่า เงื่อนไขที่หนึ่งมันทำให้เธอสนใจมากที่สุดใช่ไหมล่ะ?” เสียงของเหยียนจิ่งจื้อได้ดึงเธอออกมาจากห้วงความคิด
เนี่ยเซิงเสี่ยวส่ายหน้า “คุณเหยียน เราใช้อย่างอื่นแก้ปัญหาได้ไหม? อย่างเช่นเงิน”
เพราะถูกคำว่า “คุณเหยียน” มาทิ่มแทงใจ ทำให้เหยียนจิ่งจื้อรีบปฏิเสธทันควัน “ไม่มีทาง”
จากนั้นก็ใช้สายตาดูถูกมองมาที่เธอ “เธอคิดว่าฉันเป็คนที่ขาดแคลนเงินขนาดนั้น?”
เนี่ยเซิงเสี่ยวร้อนใจ “จะต้องมีวิธีอื่นแน่นอน นายอย่าเอาแต่ใจขนาดนี้สิ ฉันก็มีศักดิ์ศรีนะ”
“ฉันเองก็มีศักดิ์ศรี คำพูดนี้ควรเป็ฉันที่พูดนะ” เมื่อเห็นประตูห้องตรวจเปิดออก เหยียนจิ่งจื้อก็ลุกขึ้นเดินไปหา “เลือกมาหนึ่งข้อ เสี่ยวเสี่ยว ฉันตั้งตารออยู่นะ”
เนี่ยเซิงเสี่ยวรู้สึกเหมือนขาของตัวเองถูกเหยียนจิ่งจื้อตรึงเอาไว้ กว่าจะขยับได้ก็ใช้เวลาอยู่นาน สุดท้ายด้วยความอยากรู้อาการของเหนี่ยวเหนี่ยวเธอถึงก้าวขาเดินออกไปได้
หานอวี้จือวาดลงอะไรบางอย่างลงบนกระดาษไปพลางพูดกับพวกเขาไป “ทางที่ดีที่สุดการผ่าตัดจะต้องเสร็จภายในเดือนนี้ ฉันแนะนำว่าควรจะผ่าตัดวันศุกร์หน้า ถึงตอนนั้นจะมีการตรวจร่างกายซ้ำ การเตรียมพร้อมร่างกายก็คงพร้อมแล้ว ถ้ายื้อนานออกไปอีกเด็กคนนี้อาจจะมีอันตรายถึงชีวิตได้”
เมื่อได้ยินคำว่าอันตรายถึงชีวิต เนี่ยเซิงเสี่ยวก็ไม่สามารถสงบใจลงได้ “ถ้าอย่างนั้นวันศุกร์หน้าต้องรบกวนหมอหานแล้วค่ะ!” หลังจากพูดออกไปก็ถูกสายตาของเหยียนจิ่งจื้อกวาดตามองจนเธอสั่นไปหมด ที่ยุ่งยากที่สุดคงไม่ใช่หมอหานแต่เป็เขา
“อย่างนั้นก็เป็ศุกร์หน้า” เหยียนจิ่งจื้อเองก็ตัดสินใจได้แล้วเช่นกัน จากนั้นก็ก้มไปพูดกระซิบที่ข้างหูเนี่ยเซิงเสี่ยว “เธอมีเวลาหนึ่งอาทิตย์ในการตัดสินใจ ส่วนตัวฉันชอบ plan 1 กับ plan 3 นะ”
ตอนที่เหยียนจิ่งจื้อใช้ภาษาอังกฤษพูด มักจะเป็ตอนที่เขารู้สึกมีความมั่นใจมากที่สุด