ต้นเดือนหก กิ่งก้านใบของต้นไทรเก่าแก่ในวัดต้าฉือมีความเขียวชอุ่ม อุโบสถเล็กใหญ่สร้างปะปนบริเวณูเาที่อยู่ท่ามกลางความเขียวขจี ซึ่งให้ความรู้สึกเงียบสงัดและลึกลับซับซ้อน
ยามกลางวันนอกเหนือจากเสียงสายลมที่พัดพาต้นไม้ใบหญ้าแล้ว บริเวณวัดล้วนเงียบสงัดราวกับทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ในห้วงนิทรา
ลานด้านนอกอุโบสถมีต้นไทรเก่าแก่ตั้งตระหง่านอยู่ต้นหนึ่ง ส่วนรากเลื้อยยาวดั่งั ส่วนใบแผ่กางใหญ่ดั่งร่มไพศาล
จวินจิ่วเฉินนั่งอยู่บนกิ่งก้านที่สูงที่สุด ชายหนุ่มหลับตาเอนตัวพิงลำต้น มือข้างหนึ่งรองท้ายทอย มืออีกข้างคลึงลูกประคำหอมจากไม้กฤษณาเบาๆ เขาดูคลับคล้ายคลับคลากำลังพักผ่อน ทว่าบางมุมราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
่เวลาที่เขาเงียบขรึมนั้นรูปหน้าจะงามสง่าไม่เป็สองรองใครมากกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็กรอบหน้าหรือหน้าตา ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนสมบูรณ์แบบไร้ที่ติประดุจแกะสลักมาจากสรวง์ อีกทั้ง่เวลาที่เขาเงียบขรึมนั้นเขาก็จะดูเหมือนโดดเดี่ยว เ็า ให้ความรู้สึกห่างเหิน ไม่กล้าเข้าใกล้ และโดดเดี่ยวตัดขาดจากโลกภายนอกอีกด้วย
ชายหนุ่มหยุดคลึงลูกประคำท่ามกลางความเงียบสงบ
ไม่ช้าหมางจ้งก็ทะยานมาโดยใช้เท้ายันต้นไม้ด้านข้าง
หมางจ้งทูลรายงานแ่เบา “เตี้ยนเซี่ยพ่ะย่ะค่ะ สำเร็จแล้ว! ถังจิ้งมอบตราสัญลักษณ์ในนามของท่านเ้าสำนัก กูเฟยเยี่ยนได้รับการเลื่อนขั้นให้เป็ศาสตราจารย์แพทย์ระดับหนึ่ง คอยควบคุมดูแลสำนักไท่อี อีกทั้งนางยังได้ขับไล่ซ่างกวนยิงหงออกไปและลดขั้นแพทย์หญิงสิบกว่าคน กระหม่อมได้ยินมาว่าก่อนที่นางจะได้เลื่อนขั้น นางทะเลาะตบตีกับแพทย์หญิงสิบกว่าคนด้วยตัวคนเดียวอีกด้วย! ”
จวินจิ่วเฉินที่หลับตามาโดยตลอดถึงกับลืมตาขึ้นมาพลางหันไปหาหมางจ้งทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ หมางจ้งรีบกล่าวเพิ่มเติม “แพทย์หญิงกู…ไม่ๆ ศาสตราจารย์แพทย์กูเพียงแค่าเ็เล็กน้อยเท่านั้น ไม่ร้ายแรง ศาสตราจารย์แพทย์กู…ต่อสู้ได้เก่งเสียจริง”
เช้าตรู่เมื่อวานนี้หมางจ้งเป็กังวลแทนกูเฟยเยี่ยน แต่เมื่อเขาเห็นถังจิ้งเดินทางมาพบปะจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยที่วัดต้าฉือ เขาจึงได้รู้ความจริง
่เวลาที่กูเฟยเยี่ยนค้นพบอาการประชวรของฝ่าา จิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยก็เดาได้แล้วว่าฝ่าามีเจตนาที่จะให้กูเฟยเยี่ยนคอยรับใช้อยู่ข้างกาย เตี้ยนเซี่ยไม่้าให้กูเฟยเยี่ยนสนิทสนมกับหัวหน้าาุโและไม่้าให้กูเฟยเยี่ยนอยู่รับใช้ข้างกายฝ่าาด้วยเช่นกัน ทั้งสองทางเลือกนี้สามารถเลือกได้เพียงทางเดียวเท่านั้น ทว่าเตี้ยนเซี่ยไม่เลือก พระองค์ให้ทั้งสองฝ่ายตรึงกำลังกันและกัน เพื่อให้กูเฟยเยี่ยนยังคงอาศัยอยู่ในเมืองจิ้นหยางต่อไปได้
ก่อนที่เตี้ยนเซี่ยจะออกเดินทางไปยังเยนอวิ๋นเจี้ยน พระองค์เขียนจดหมายถึงหัวหน้าาุโเพื่อบอกใบ้ถึงอาการประชวรของฝ่าา หัวหน้าาุโคือบุคคลระดับสูง เขาอ่านจดหมายเพียงครู่เดียวก็รู้ซึ้งแล้วว่าฝ่าาไม่มีทางปล่อยมือจากกูเฟยเยี่ยนอย่างแน่นอน อีกทั้งเมื่อถึงเวลาที่ไม่มีตัวยามารักษาพระองค์ได้แล้ว กูเฟยเยี่ยนจะตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต!
หัวหน้าาุโปรารถนาบุคคลที่มีความสามารถ แต่ไม่้าสร้างความบาดหมางต่อเทียนอู่ฮ่องเต้ เขาจึงคิดหาวิธีมอบตำแหน่ง “กรรมการบริหารกิตติมศักดิ์” แก่กูเฟยเยี่ยน ทว่าเตี้ยนเซี่ยคิดว่ายังไม่เพียงพอ พระองค์้าให้หัวหน้าาุโใช้ชื่อเสียงของท่านเ้าสำนัก ในคราวที่แล้วหัวหน้าาุโถูกเทียนอู่ฮ่องเต้ปฏิเสธส่งผลให้มีปมค้างคาในใจ ด้วยเหตุนี้จึงตอบตกลงอย่างเบิกบาน
แม้ว่าหัวหน้าาุโจะมีอำนาจในการจัดการเื่ราวของหุบเขาเสินหนงแทนท่านเ้าสำนัก ทว่าเขาไม่กล้าใช้ชื่อเสียงของท่านเ้าสำนักนอกอาณาเขตหุบเขาเสินหนงโดยพลการ
ในขณะที่เขาส่งถังจิ้งออกเดินทางไปยังเมืองจิ้นหยาง ตัวเขาเองก็ไปขอพบท่านเ้าสำนัก
เมื่อสามวันก่อน หัวหน้าาุโส่งจดหมายรายงานข่าวดีมา ถังจิ้งที่เดินทางมาถึงวัดต้าฉือเมื่อค่ำคืนวานนี้จึงออกเดินทางเข้าไปในตัวเมืองทันทีที่พบเห็นจดหมายลับลายมือหัวหน้าาุโ ครั้นหญิงสาวเดินทางมาถึงจึงกล่าวเรียกตนเองว่าเป็ราชทูตที่ท่านเ้าสำนักส่งมาอย่างกล้าหาญ
เมื่อเห็นว่าเตี้ยนเซี่ยไม่ค่อยพอใจกับเื่ราวทะเลาะวิวาทของกูเฟยเยี่ยน หมางจ้งจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อ “เตี้ยนเซี่ย กระหม่อมยังมีอีกเื่หนึ่งพ่ะย่ะค่ะ ยามเช้าตรู่หลินฟูเหรินผู้เฒ่าพาแม่สื่อไปส่งมอบของกำนัลที่ตระกูลกู ท่านแม่ทัพเฉิงไปสู่ขอแต่งงานที่ห้องยาสำนักหมอหลวง”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนี้ จวินจิ่วเฉินไม่พอใจมากขึ้นกว่าเดิม
หมางจ้งรีบกล่าวอีกว่า “ศาสตราจารย์แพทย์กูไม่ได้ตอบตกลงพ่ะย่ะค่ะ! ”
จวินจิ่วเฉินยังคงไม่พอใจนัก เขาเอ่ยถาม “ขอแต่งงานอย่างไร? ”
หมางจ้งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขารู้สึกว่าการกล่าวรวบรัดตัดความเหมาะสมกว่า ดังนั้นจึงตอบกลับไปว่า “ท่านแม่ทัพเฉิงขอศาสตราจารย์แพทย์กูแต่งงานต่อหน้าผู้คนพ่ะย่ะค่ะ”
จวินจิ่วเฉินถามอีกครา “ขอแต่งงานต่อหน้าผู้คนอย่างไร? ”
หมางจ้งทำได้เพียงตอบไปตามความเป็จริง “ท่านแม่ทัพเฉิงคุกเข่าลงหนึ่งข้างและขอแต่งงานด้วยกำไลหยกที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษพ่ะย่ะค่ะ! ”
จวินจิ่วเฉินเลิกถามพลางหันไปมองหมางจ้งอีกครั้ง เห็นได้ชัดเจนว่าเขา้าทราบรายละเอียดของสถานการณ์
หมางจ้งกัดฟันเอ่ยต่อไป “ท่านแม่ทัพเฉิงกล่าวว่า…ว่า…ว่าเขา้าศาสตราจารย์แพทย์กู ทั้งชีวิตนี้้าเพียงศาสตราจารย์แพทย์กูเท่านั้น”
หมางจ้งรู้สึกว่าความโกรธของนายท่านกำลังจะปะทุ ทว่าจวินจิ่วเฉินไม่ได้เป็เช่นนั้น เขาตกตะลึงเล็กน้อย แววตาทอประกายถึงความอ้างว้าง ผ่านไปนานถึงจะหัวเราะออกมาเบาๆ “เฉิงอี้เฟย…คือผู้ที่เอาแต่ใจเสียจริง”
หมางจ้งเกิดความระทมทุกข์ เขาอดไม่ได้จึงต้องเอ่ยออกมาด้วยความจริงจัง “เตี้ยนเซี่ย ถ้าหากพระองค์้า พระองค์สามารถทำตามอำเภอใจได้มากกว่าท่านแม่ทัพเฉิงเสียอีก! อย่าว่าแต่สตรีหนึ่งนางเลย เกรงว่าโลกใบนี้ก็จะเป็หมูในอวย [1] ของพระองค์! ฝ่าาประชวรสาหัส องค์รัชทายาททรงเยาว์วัย เหตุใดเตี้ยนเซี่ยจึงไม่…”
จวินจิ่วเฉินขมวดคิ้วเป็ปม หมางจ้งจึงตระหนักได้ว่าตนเองเลยเถิดเกินไป เขาเม้มริมฝีปากทว่าในใจของเขายังเต็มไปด้วยความอัดอั้นและไม่เข้าใจ
เขาไม่ทราบว่าเื้ัของเทียนอู่ฮ่องเต้ยังมีต้าหวงซูอีกหนึ่งพระองค์ คนผู้นั้นคืออดีตหัวหน้าตระกูลจวินและเป็ผู้ควบคุมตระกูลจวินที่แท้จริง
นอกจากนี้คือเขาไม่รับรู้เลยว่าเ้านายของตนเองแสดงละครตบตาฝ่าากับต้าหวงซูมาตลอด พระองค์ไม่ได้ทำเพื่อสิ่งอื่นใดนอกจากเพื่อค้นหาความทรงจำของตนเองที่สูญหายไป
จวินจิ่วเฉินนำลูกประคำพันไว้บนแขนพลันวางแขนเสื้อลงเพื่อซุกซ่อน เขาเปลี่ยนหัวข้อพูดคุย “มีข่าวคราวของเงาเฟิ่งหวงหรือไม่? ”
ในวันที่ปิงไห่เกิดการเปลี่ยนแปลงไม่เพียงแค่มีปรากฏการณ์ัดูดซับน้ำปรากฏขึ้นเหนือฟากฟ้า แต่ยังปรากฏถึงเงาเฟิ่งหวงอีกด้วย สิ่งนี้ถือว่าเป็เบาะแสเดียวที่มีอยู่ในตอนนี้ เขาใช้จ่ายจำนวนเงินมากมายเพื่อให้สายสืบอย่างพี่น้องสกุลเฉียนสืบข่าวเบาะแสเงาเฟิ่งหวงภายในครึ่งปี บัดนี้ผ่านมามากกว่าหนึ่งเดือนแล้ว
หมางจ้งรายงานตามความเป็จริง “กระหม่อมยังไม่ได้รับข่าวสารจากพวกเขา สำหรับคนอื่นนั้นไม่มีความคืบหน้าเช่นกัน ทว่ากระหม่อมได้ยินมาว่าตระกูลซูแห่งอาณาจักรว่านจิ้นก็กำลังสืบข่าวปิงไห่เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
จวินจิ่วเฉินตื่นตัวเอ่ยถาม “ราชวงศ์ไป๋หลี่ชี้แนะให้ปฏิบัติ? ”
หมางจ้งมีความจริงจัง “กระหม่อมก็มีความสงสัยจึงส่งคนไปตรวจสอบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จวินจิ่วเฉินผงกศีรษะพลางเอ่ยถามอีกครั้ง “มีเบาะแสของต้นหญ้าเฟิ่งหลีหรือไม่? ”
หมางจ้งตอบกลับว่า “คนที่กระหม่อมส่งออกไปได้สอบถามเื่นี้ทางป่าเขาตะวันตกเฉียงใต้แล้วพ่ะย่ะค่ะ ทว่าไม่เคยมีผู้ใดพบเห็นมาก่อน กระหม่อมสงสัยว่าคุณหนูสามตระกูลหานอาจจะไม่ได้พูดความจริง กระหม่อมจึงส่งคนไปเสาะหาทางตะวันออกต่อไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จวินจิ่วเฉินพอใจเหลือเกิน เขาไม่ได้พกต้นหญ้าเฟิ่งหลีที่คุณหนูสามตระกูลหานมอบให้ไว้ข้างกาย แต่มอบให้หมางจ้ง ก่อนหน้านี้ไม่มีของจริงอยู่ในมือ พวกเขาทำได้เพียงอธิบายด้วยปากเปล่า ชาวสวนดอกไม้ส่วนใหญ่จึงไม่เข้าใจ ทว่าบัดนี้มีของจริงแล้ว การตามหาจึงสะดวกยิ่งขึ้น
หมางจ้งอธิบายอีกหลายเื่ก่อนจะออกไป
จวินจิ่วเฉินอยู่ต่ออีกครู่หนึ่ง เขากำลังจะกลับไปที่ตัวเมือง แต่สังเกตเห็นว่าสามเณรน้อยที่มีนามว่าเนี่ยนเฉินได้ประคองชามบะหมี่เจวิ่งตรงเข้ามา
จวินจิ่วเฉินนั่งลงรอเขา
เนี่ยนเฉินน้อยวิ่งมาถึงใต้ต้นไม้อย่างรวดเร็วพลันแหงนมองจวินจิ่วเฉิน เนี่ยนเฉินยิ้มแย้มจนดวงตาหรี่ลงดั่งพระจันทร์เสี้ยว ดูเหมือนว่ารอยยิ้มกับความใสซื่ออ่อนวัยนี้จะมีพลังเหนือธรรมะซึ่งสามารถขจัดความคิดฟุ้งซ่านในจิตใจมนุษย์ออกไปได้ ความรู้สึกนี้ประดุจสายลมเดือนสี่ยามวสันต์ที่ให้ความอบอุ่นและสบายใจ
เขาเอ่ยขึ้นว่า “เตี้ยนเซี่ย พระองค์หิวหรือไม่? ”
จวินจิ่วเฉินมองสามเณรน้อยด้วยความตกตะลึง เมื่อสักครู่นี้เขาเกิดความรู้สึกคุ้นเคยราวกับในอดีตเคยมีคนยืนอยู่ด้านล่างต้นไม้พลางยกถ้วยบะหมี่ส่งยิ้มมาให้เขาเช่นนี้…
———————-
เชิงอรรถ
[1] หมูในอวย หมายถึง สิ่งที่อยู่ในกำมือแล้ว จะทำอย่างไรกับสิ่งนั้นก็ได้ จะ้าเมื่อไรก็ได้เมื่อนั้น หรือเอาชนะได้ง่าย ๆ