หยางเฉินไม่เคยเบื่อหน่ายกับการดื่มแอลกอฮอล์นอกเสียจากว่าตอนนี้มีสถานการณ์ที่น่าสนใจกว่าหยางเฉินรู้สึกประหลาดใจกับสถานการณ์ปัจจุบันมาก คนอื่นๆอาจจะมองไม่เห็นแต่ไม่ใช่หยางเฉินในสายตาของเขามีหลายสิ่งเหลือเกินที่ควรคิดใคร่ครวญและดูน่าสงสัยมันมีรายละเอียดมากมายที่มีความหมายแอบแฝงซ้อนอยู่ แล้วเขาจะสามารถไปหาอะไรดื่มใน่เวลาที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ได้อย่างไร
หลังจากเดินเลี้ยวลัดเลาะตรงไปยังทางออกเล็กๆที่อยู่ด้านหลังของวิลล่า ถ้าเขาเดินออกไปทางประตูเล็กๆ นั้นแล้วไปโผล่ที่ประตูของลานจอดรถที่อยู่ด้านหลังวิลล่า
ภายในตึกขนาดใหญ่ที่ดูซับซ้อนแบบนี้เป็เื่ปกติที่จะมีทางออกหลายทางเป็ไปไม่ได้ที่จะมีทางออกขนาดใหญ่เพียงที่เดียวดังนั้นหยางเฉินจึงสามารถค้นพบประตูนี้ได้อย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตาม หยางเฉินไม่ได้รีบออกไปเขาหันกลับมาช้าๆ และพูดกับความว่างเปล่าตรงทางเดินว่า
“คุณโม่การสะกดรอยตามคนอื่นเป็พฤติกรรมที่ไม่ดีเลยนะครับโดยเฉพาะอย่างยิ่งสาวสวยที่สะกดรอยตามผู้ชายที่แต่งงานแล้ว”
หลังจากที่ถูกจับได้โม่เชี่ยนนีจึงเผยตัวออกมานิ่งๆ ด้วยใบหน้าที่แดงออกมาจากมุมหนึ่งของทางเดินเธอกล่าวอย่างโมโหว่า “มันเป็ความผิดของนายต่างหากนายโกหกฉันเพราะนาย้าหนีไปชัดๆ”
“หนี? ผมไม่เคยพูดว่าผมจะหนี”หยางเฉินค่อยๆ เดินเข้าไปหาโม่เชี่ยนนี
โม่เชี่ยนนีเข้าใจในทันที “ฉันเข้าใจแล้วนาย้าไปห้องเก็บของที่ท่าเรือเจินเจ๋อวาน ที่หลี่มู่หัวกำลังเดินทางไปถูกใช่หรือเปล่า?”
“ฉลาดมาก แต่แล้วทำไมล่ะ?” หยางเฉินตอบเธออย่างไม่มีปิดบังใดๆ
“นายไปไม่ได้นะที่นั่นมันอันตรายเกินไป” โม่เชี่ยนนีกล่าวอย่างเป็กังวล
“แต่คุณหยุดผมไม่ได้” หยางเฉินยักไหล่พร้อมยิ้มออกมา
โม่เชี่ยนนีมองหยางเฉินที่สาวเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆเธอก้าวถอยหลังไปสองก้าว
“งั้นนายก็พาฉันไปด้วยฉันไม่อยากให้นายไปสถานที่อันตรายแบบนั้นเพียงลำพัง”
หยางเฉินทำท่าอยากรู้อยากเห็นทันที เขาถามออกไปว่า “คุณรู้อยู่แล้วว่ามันอันตรายแล้วทำไมคุณยัง้าจะไปกับผมล่ะ?”
“ฉัน… ฉันเป็ห่วงนาย" โม่เชี่ยนนีพูดเสียงเบาจนแทบเป็เสียงกระซิบใบหน้าของเธอแดงขึ้นมาภายใต้แสงที่สาดส่องลงมา
เธอไม่สามารถปล่อยให้หยางเฉินไปสถานที่อันตรายอย่างนั้นเพียงลำพังได้แม้ว่าเธอจะรู้ว่าคำพูดทั้งหมดนั้นมันตรงเกินไปและการเปิดเผยความรู้สึกของเธอออกมาใน่เวลาสำคัญเช่นนี้ โม่เชี่ยนนีไม่สามารถมาใส่ใจสงวนท่าทางไว้ได้อีกต่อไป
หยางเฉินสับสนไปชั่วขณะ เขาคาดไม่ถึงว่าโม่เชี่ยนนีจะเปิดเผยความรู้สึกและแสดงความเป็ห่วงในตัวเขาออกมาตรงๆแบบนี้ แล้วเขาจะยังคงใจแข็งได้อย่างไร?
หยางเฉินทำอย่างนั้นไม่ได้ดังนั้นเขาจึงล้มเลิกแผนการที่เขาจะทำให้โม่เชี่ยนนีหมดสติไป
หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างเงียบกันไปสักครู่หยางเฉินถอนหายใจ จากนั้นยิ้มกล่าวว่า
“ที่แรกผมวางแผนว่าจะทำให้คุณสลบไปจากนั้นอุ้มคุณกลับไปที่ห้องแต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนใจแล้ว หัวใจที่อ่อนโยนของผมไม่สามารถต้านทานกับคำพูดหวานๆของผู้หญิงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคำพูดเ่าั้มาจากคนที่สวยขนาดนี้ั้แ่ที่คุณตั้งใจจะไปกับผม ผมก็ยอมแล้ว”
“นาย…นายตั้งใจจะทำให้ฉันสลบไปจริงเหรอ?” โม่เชี่ยนนีโกรธเขามากจนแทบจะะโไปขย้ำคอเขา
“อือ… คุณเป็ห่วงความปลอดภัยของผมในขณะที่ผมก็เป็ห่วงคุณด้วยเช่นกัน” หยางเฉินตอบกลับไป
โม่เชี่ยนนีรู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ในลำคอหัวใจของเธอเต้นระรัวกว่าปกติ เธอรีบหันหน้าไปมองทางอื่นเม้มริมฝีปากบางสีกลีบกุหลาบ ซ่อนรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุขเอาไว้
ราวกับว่าความรู้สึกที่คลุมเครือระหว่างพวกเขาทั้งคู่ได้รับการตอบรับอย่างจริงใจและดูเหมือนว่ามันไม่ต้องใช้คำพูดอะไรมากมันเป็สิ่งที่จะรักษาความไม่ชัดเจนที่หอมหวานนี้ไว้ระหว่างพวกเขาสองคน
“เฮ้ ยัยทึ่ม? ยังจะไปอยู่หรือเปล่า?” หยางเฉินถามออกไปพร้อมรอยยิ้ม
สิ้นเสียงเรียกของหยางเฉินแล้วโม่เชี่ยนนีก็กลับมารู้สึกตัวในทันที
“แน่นอน ฉันไปแน่แต่นายต้องดูแลฉันด้วยนะ” ด้วยท่าทางน่าสงสารเหมือนสาวน้อยโดนรังแกและไม่ได้มีภาพลักษณ์ของผู้หญิงที่ดื้อดึงหรือเย่อหยิ่งอีกต่อไป
หยางเฉินกวักมือเรียกเธอเห็นดังนั้นโม่เชี่ยนนีรีบเดินตามเขามาอย่างรวดเร็ว
เมื่อพวกเขาเดินไปถึงทางออกเล็กๆก็มีบอดี้การ์ดในชุดสีดำยืนอยู่ประจำจุดนั้นแล้วเตรียมพร้อมหยุดทุกคนที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไป
“พี่ชาย เดินมาตรงนี้สักครู่สิ”หยางเฉินกวักมือเรียกบอดี้การ์ดด้วยรอยยิ้มเป็มิตร
ชายชุดดำเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมตอบรับหยางเฉินด้วยรอยยิ้มสุภาพ “มีอะไรให้ช่วยหรือครับ คุณผู้ชาย”
“เอ้อเอาเป็ว่าช่วยอยู่เงียบสักพักก็แล้วกัน”
ไม่ต้องรอให้บอดี้การ์ดเ่าั้ตอบกลับมา หยางเฉินสับสันมือลงไปที่ท้ายทอยของพวกเขาอย่างรวดเร็วจากนั้นร่างไร้สติของชายชุดดำก็ค่อยๆ ร่วงลงสู่พื้น
โม่เชี่ยนนีใอ้าปากค้างเธอมองไปที่หยางเฉินด้วยท่าทางน่ารัก “ก่อนหน้านี้นายกะจะทำให้ฉันสลบแบบนี้ใช่มั้ย?”
“ลองเดาดูสิ” หยางเฉินขยิบตาให้เธอแล้วเดินออกประตูไป
ในยามราตรีที่ท้องฟ้าถูกย้อมเป็สีดำลานจอดรถกว้างขวางมีบรรยากาศเงียบเชียบ ได้ยินเพียงเสียงลมพัดต้นไม้เสียดสีกันไปมามีรถหรูระดับไฮเอนด์หลายคันจอดเรียงกันอยู่บริเวณนั้นอย่างเป็ระเบียบ
สายลมเย็นในยามค่ำคืนพัดผ่านร่างของโม่เชี่ยนนีส่งผลให้เธอรู้สึกหนาวจับใจ เธอกอดตัวเองพลางหันไปถามหยางเฉินเสียงเบาว่า “นายวางแผนจะเดินทางไปหาหลี่มู่หัวยังไงล่ะ?เราไม่มีรถนะ”
หยางเฉินแสยะยิ้มชั่วร้ายสายตากวาดมองไปที่รถหลายคันที่จอดอยู่ในลานนั้นอย่างพิจารณา ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ใครบอกว่าเราไม่มีรถกันล่ะ?”
“นายกำลังคิดจะขโมยรถใช่มั้ย?”
โม่เชี่ยนนีพบกับสถานการณ์สิ้นหวังแต่ก่อนที่เธอจะทันได้ทำอะไร หยางเฉินก็เดินเข้าไปใกล้รถยนต์เล็กซัส สีดำที่อยู่ใกล้ที่สุดเสียแล้ว
“นี่ นายล้อเล่นใช่มั้ยเนี่ย”โม่เชี่ยนนีกระตุกยิ้มในขณะที่เอ่ยปากถามออกไป
หยางเฉินลูบคางไปมา เดินสำรวจรถโดยรอบดูเหมือน้าจะพิสูจน์อะไรบางอย่างทันใดนั้นเขาเงื้อกำปั้นออกไปและใช้มันทุบไปยังกระจกรถ
เพล้ง!
เสียงกระจกแตกดังขึ้นเกิดเป็รูโหว่ปรากฏขึ้นบนกระจกรถด้านข้าง
“คุณเห็นมั้ย?” หยางเฉินชี้ไปที่กระจกข้างที่แตกลงโดยง่าย “เล็กซัสรุ่นนี้มีระบบเตือนภัยที่ไม่ค่อยดีนักหากไม่มีใครไปยุ่งกับตัวล็อก สัญญาณเตือนภัยก็จะไม่ดัง” หยางเฉินกล่าวภายใต้สายตาของโม่เชี่ยนนีที่เต็มไปด้วยความใสซื่อและตื่นตระหนกหยางเฉินปลดล็อกจากภายใน จากนั้นเปิดประตูและก้าวเข้าไปประจำที่คนขับ
โม่เชี่ยนนีแทบลมจับกับพฤติกรรม และการกระทำของหยางเฉินที่เกินขอบเขตของศีลธรรมจริยธรรม และข้อกฎหมายที่คนธรรมดาพึงมีความคิดของเขาซับซ้อนเกินกว่าที่ผู้หญิงธรรมดาทั่วไปอย่างเธอจะทำความเข้าใจได้
“ขึ้นมาเร็วๆ” หยางเฉินโบกมือเรียกเธอให้ขึ้นรถและปลดล็อกด้านประตูข้างคนขับให้
เมื่อโม่เชี่ยนนีเข้ามาในรถ หยางเฉินก็ดึงชิ้นส่วนพลาสติกบริเวณใต้พวงมาลัยออกและสอดตัวเองเข้าไปด้านล่าง
หลังจากเตรียมตัวเตรียมใจแล้วโม่เชี่ยนนีก็ไม่ได้ใอะไรมากในตอนนี้ เธอถามด้วยความงงงวยว่า
“นายกำลังทำอะไรเนี่ย เราสามารถสตาร์ทรถด้วยวิธีการนี้ได้ด้วยเหรอ?”
หยางเฉินกลอกตามองเธอและกลับไปดำเนินการเดินสายไฟภายในรถต่อ
“ถ้าไม่มีกุญแจเราก็ต้องใช้วิธีการพิเศษ” ในขณะที่เขาพูดอยู่นั้นแผงควบคุมของรถยนต์ก็สว่างขึ้น จากนั้นเสียงเครื่องก็เริ่มส่งเสียงคำราม
หยางเฉินเมินท่าทางใของโม่เชี่ยนนีไปโดยสิ้นเชิงพร้อมปรับเบาะนั่งให้กระชับพอดี เตรียมขับรถพุ่งออกไป
“ช้าก่อน” ดูเหมือนโม่เชี่ยนนีจะนึกอะไรบางอย่างได้“มีคนจากวิลล่าคอยจับตาดูอยู่ตลอดแม้ว่าตรงนี้จะไม่ไกลจากถนนสาธารณะที่อยู่รอบๆ บริเวณนี้ถ้าเราทะเล่อทะล่าขับออกไปตอนนี้ ไฟหน้ารถจะทำให้เราถูกพวกนั้นสังเกตเห็นเอาได้นะ”
“อย่างน้อยคุณก็ยังฉลาด” หยางเฉินชื่นชมพร้อมกับดีดนิ้วไปที่ปลายจมูกของโม่เชี่ยนนีเป็เหตุให้มันบวมแดงขึ้นมา
“แล้วเราจะไปจากที่นี่ยังไงกันล่ะ?”
“ใครบอกว่าเราต้องใช้ไฟหน้าเพื่อขับรถตอนกลางคืนล่ะ?”
“คุณหมายถึง...”
หยางเฉินไม่สนสายตาของโม่เชี่ยนนีที่มองมาที่เขาเหมือนกับมองคนบ้าหยางเฉินหัวเราะชอบใจและดับไฟหน้ารถ เหมือนขับรถตอนกลางวัน
จากนั้นหยางเฉินตบเปลี่ยนเกียร์และขับรถออกไปจากลานจอดอย่างนุ่มนวลเขาเริ่มต้นขับรถไปตามถนนที่อยู่รอบวิลล่า
เมื่อมองไปยังความมืดที่อยู่ต่อหน้าเธอโม่เชี่ยนนีไม่สามารถมองเห็นแม้กระทั่งระยะทางเพียง 3 เมตรตรงหน้าคิดถึงการที่หยางเฉินตั้งใจขับรถแบบนี้ไปตลอดทางสู่จินเจ๋อวานเธอหวาดกลัวกระทั่งเริ่มคิดหาวิธีะโออกจากรถคันนี้ขึ้นมา
“นายบ้าไปแล้วหรือไง? ถ้านายยังขับรถแบบนี้ พวกเราได้กลายเป็ผีบนูเานี้แน่”
หยางเฉินเหลือบมองเธอภายใต้ความมืดและพูดขึ้นว่า
“ถ้าคุณเชื่อใจผม ก็นั่งเฉยๆและอยู่เงียบๆ แม้ว่าผมจะยอมพาคุณมาด้วย แต่คุณก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งผมทุกอย่างไม่งั้น ผมก็ไม่สามารถรับรองได้ว่าผมจะไม่ทำให้คุณสลบและโยนคุณไว้ที่เบาะหลัง”
เมื่อเขาพูดจบโม่เชี่ยนนีก็ตอบสนองโดยการหุบปากในทันที เธอบ่นพึมพำกับตัวเองอย่างไม่เต็มใจแต่ยังคงกระชับรัดเข็มขัดและอยู่เงียบๆ อย่างเชื่อฟัง
รถยนต์เล็กซัสสีดำ ไม่มีแสงไฟสักดวงเหมือนกับดวงิญญาที่ล่องลอยอยู่ท่ามกลางความมืดกำลังวิ่งข้ามผ่านเส้นทางอันมืดมิดบนูเา โดยที่ความเร็วของรถยังคงที่ไม่มีตกเลยสักนิด
โชคดีที่มีรถเพียงไม่กี่คันที่ใช้เส้นทางบนูเานี้ดังนั้นแม้ว่าจะไม่ได้เปิดไฟหน้ารถความเร็วในการขับขี่ก็ไม่ได้เป็สาเหตุของอุบัติเหตุใดๆบางครั้งก็มีรถในพื้นที่ขับผ่านมา และคนขับก็เพียงคิดว่าพวกเขาเห็นบางสิ่งเท่านั้น
โม่เชี่ยนนีค่อยๆตระหนักได้ว่าความกังวลของเธอในตอนแรกนั้นออกจะไร้สาระเพราะหยางเฉินไม่มีปัญหาอะไรเลยในการขับรถยนต์สีดำบนถนนโดยปราศจากแสงไฟทำเหมือนกับเป็การขับรถตอนกลางวัน
ในขณะที่เธอสามารถสงบใจลงไปได้มากแล้วโม่เชี่ยนนีจึงกล้าถามคำถามอื่นๆ ต่อไป
“นี่ หยางเฉินนายรู้ทางไปจินเจ๋อวาน ใช่มั้ย?”
“ใช่”
“ทำไมนายถึงรู้ได้ล่ะนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่นายมาฮ่องกงอย่างนั้นหรือ?”
“จำไว้นะเมื่อใดก็ตามที่คุณฟังสิ่งที่ผมพูด หากพูด 10 ประโยค ก็มี 11ประโยคที่ผมโกหกล่ะ”
“มันก็แค่ 10 ประโยคมันจะกลายเป็คำโกหก 11 ประโยคได้ไงล่ะ? ถ้านายไม่้าบอกฉัน ก็ลืมมันไปซะ” โม่เชี่ยนนีพูดออกมาด้วยท่าทางหดหู่
“เมื่อคุณเริ่มต้นนับเลขจาก 0ถึง 10 มันจะนับได้ 11 จำนวนนี่คุณไม่รู้กระทั่งคณิตพื้นฐานอย่างงั้นืหรอ”
ขณะที่ทั้ง 2 คนต่อปากต่อคำอยู่นั้นรถก็เคลื่อนที่ลงจากเขาเรียบร้อย หยางเฉินกลับมาเปิดไฟตามปกติเพราะมันไม่น่าสงสัยแล้วเมื่อมีแสงไฟบริเวณนี้
รถของพวกเขามุ่งสู่ถนนขนาดเล็กเพื่อไปจินเจ๋อวานหยางเฉินเผยรอยยิ้มและพูดขึ้นว่า
“ดูเหมือนพวกเราจะมาทันคนที่อยู่ตรงหน้าน่าจะเป็หลี่มู่หัว”
ความหวาดกลัวระคนกระวนกระวายใน่แรกของโม่เชี่ยนนีขณะนี้เปลี่ยนเป็ความตื่นเต้นและสนุกสนาน การสะกดรอยตามใครบางคนแบบนี้ทำให้เธอมีความรู้สึกแตกต่างจากยามปกติอย่างสิ้นเชิงแต่เมื่อพวกเขาไปถึงจินเจ๋อวาน เธอก็เริ่มเป็กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของพวกเขาและอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า
“เราจะเข้าไปอย่างเปิดเผยยังไงล่ะเข้าไปพร้อมกับหลี่มู่หัวเหรอ?”
“ยัยทึ่ม ถ้าผม้าไปพร้อมกับหลี่มู่หัวเพื่อส่งมอบเงินแล้วเราจะปิดไฟและแอบสะกดรอยตามแทนที่จะให้พวกเขาสังเกตเห็นเราทำไมล่ะ?”
โม่เชี่ยนนีถูกเรียกว่า ''ยัยทึ่ม'' อีกครั้งแต่เธอก็ไม่ได้แสดงอาการขุ่นเคืองใดๆ เธอแค่รู้สึกว่าพวกเขาทั้งคู่ใกล้ชิดกันมากขึ้น เธอแย้มยิ้มอย่างอ่อนหวาน จากนั้นก็ไม่ปริปากพูดอะไรอีก