คังอิงไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับพ่อแม่ของเ้าของร่างเดิม แต่ก็รู้ว่าเป็ไปไม่ได้ เพราะเ้าของร่างเดิมเป็คนขี้ขลาด และไม่มีความสำคัญในบ้านเลยสักนิด ครอบครัวจะนึกถึงเธอก็ต่อเมื่อ้าเงินเท่านั้น ยามปกติพวกเขาทำราวกับลูกสาวคนนี้ไม่มีตัวตน
คังอิงรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย เธอรู้สึกว่าตระกูลคังต้องเป็ปัญหาใหญ่แน่ๆ ก่อนหน้านี้เธอยังไม่หย่า ต้องทนถูกทั้งครอบครัวของตัวเองและครอบครัวสามีเอารัดเอาเปรียบ ตอนนี้เธอกำจัดตระกูลฟู่ไปได้แล้ว แต่จากสถานการณ์ในปัจจุบัน ดูท่าตระกูลคังคงไม่มีทางปล่อยเธอไปง่ายๆ แน่ๆ
คังอิงครุ่นคิดถึงสถานการณ์ของครอบครัวตัวเองแล้วก็เข้าใจ เธอจึงยิ้ม พลางกล่าวกับคังจวิ้นว่า
“วันนี้พี่ยังไม่กลับบ้านนะ พี่เพิ่งเช่าบ้าน เ้าของบ้านเป็คนใจดี พี่ซื้ออาหารมานิดหน่อย ตอนเที่ยงพี่ว่าจะเลี้ยงอาหารเขา
เธอก็รู้นี่น่า ว่า่นี้การเช่าบ้านมันไม่ง่ายเลย คนเขาเต็มใจจะให้ผู้หญิงที่หย่าร้างแบบพี่เช่าบ้านอยู่ พี่เลยต้องดูแลเขาให้ดีหน่อย ไม่งั้นถ้าพี่ไม่มีบ้านอยู่ คงต้องกลับไปอยู่บ้านพ่อแม่แน่”
ทันทีที่คังจวิ้นได้ยินพี่สาวพูดถึงเื่กลับบ้าน เขาก็ร้อนรนขึ้นมา เขาไม่อยากให้พี่สาวกลับไปอยู่ที่บ้านสักนิด
บ้านของตระกูลคังเป็บ้านเก่าที่ตกทอดกันมา คังซื่อเหลียงพ่อของคังอิงมีพี่น้องทั้งหมดสามคน คังซื่อเหลียงเป็ลูกชายคนรอง หลังจากพ่อแม่เสียชีวิต เขาก็ได้บ้านขนาดสองห้อง ต่อมาครอบครัวของพวกเขาจึงอยู่กันอย่างแออัดในห้องแคบๆ เพียงสองห้องนั้น
แต่ก่อนตอนที่คังอิงยังไม่แต่งงาน เธอและคังจวิ้นต้องอยู่ห้องเดียวกัน ภายในห้องมีเตียงสองหลัง และม่านผ้ากั้นไว้ตรงกลาง ซึ่งพวกเขาก็อยู่ด้วยกันได้อย่างสงบสุข
หลังจากคังอิงแต่งงานออกไปแล้ว ห้องนั้นก็กลายเป็ของคังจวิ้น ต่อมาก็ถูกเปลี่ยนเป็ห้องหอของเขา แม้ว่าที่บ้านจะไม่ค่อยกว้างขวางนัก แต่คนส่วนใหญ่ก็ใช้ชีวิตกันแบบนี้ จึงไม่มีอะไรให้ต้องเปรียบเทียบกัน คังจวิ้นรู้สึกว่าชีวิตเช่นนี้ก็ถือว่าสุขสบายดีแล้ว
แต่ถ้าพี่สาวของเขาหย่าแล้วไม่มีที่อยู่ล่ะก็ คงต้องกลับมาอยู่ที่บ้านเดิมแน่นอน คังจวิ้นที่ร้อนใจจึงเผลอพูดว่า
“แบบนั้นไม่ได้หรอก พี่ก็รู้ว่าผมแต่งงานแล้ว ที่ที่พี่เคยอยู่มันกลายเป็ห้องของผมไปแล้ว พี่ย้ายกลับไปไม่ได้หรอก ถ้าพี่ย้ายกลับไปอยู่ แล้วลูกชายของผมล่ะ จะให้เขาไปอยู่ไหน?”
หากเป็เ้าของร่างเดิมได้ยินคำพูดที่ไร้เยื่อใยเช่นนี้ คงรู้สึกเหมือนไร้ที่อยู่ไปแล้ว แน่นอนว่าที่เหลือก็คงเหลือแต่ความกังวลและความสิ้นหวัง
แต่ คำพูดของคังจวิ้นในเวลานี้กลับเป็สิ่งที่คังอิงกำลังรอคอยอยู่พอดี เธอพยักหน้า แล้วกล่าวว่า “งั้นพี่ต้องรีบกลับไปทำอาหารเลี้ยงเ้าของบ้านแล้วละ คราวหน้าถ้ามีเวลาว่าง พี่จะกลับไปที่บ้านนะ!”
เมื่อคังจวิ้นได้ยินเช่นนั้น เขาจึงจำใจปล่อยมือจากตะแกรงหลังรถจักรยาน ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “อีกไม่นานเสี่ยวชิงก็จะคลอดลูกแล้ว พี่ไม่คิดจะทำขวัญสักหน่อยเหรอ?”
พอคังอิงได้ฟังก็รู้สึกขนลุกซู่ เธอเคยได้ยินเื่ ‘ผู้หญิงที่ทุ่มเททุกอย่างเพื่อเลี้ยงดูน้องชาย’ [1] มานับครั้งไม่ถ้วนในชาติที่แล้ว คิดไม่ถึงว่าเธอจะต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้เหมือนกัน
หมอนี่ไม่มีความเป็น้องชายสักนิด ดูเหมือนปลิงดูดเืมากกว่า พอเห็นใบหน้าขาวอวบอิ่มของคังจวิ้น คังอิงก็รู้สึกคลื่นไส้อย่างบอกไม่ถูก เธอข่มอารมณ์พูดว่า
“พี่เพิ่งหย่ากับพี่เขยนะ ออกมาตัวเปล่า ไม่ได้เอาเงินออกมาแม้แต่เฟินเดียว ตอนนี้เงินค่าเช่าบ้านพี่ยังต้องไปขอยืมจากเพื่อนร่วมงานเก่าอยู่เลย ไม่งั้นเธอให้พี่ยืมเงินหน่อยได้ไหม จะได้เอาไปใช้หนี้เขา”
พอคังจวิ้นได้ยินเช่นนั้นก็ใทันที “ถ้าไม่มีเงินก็ช่างเถอะ ผมเองก็ไม่มีเงินเหมือนกัน เสี่ยวชิงกำลังจะคลอดแล้ว ค่าผ่าคลอดยังหาไม่ครบเลย จะมีเงินให้พี่ได้ยังไง”
กล่าวจบ คังจวิ้นก็ลูบก้นของตนแล้วรีบจากไปอย่างรวดเร็วราวกับว่ากลัวคังอิงจะยื่นมือออกมาขอเงินเขา
ทว่าหลังจากที่คังจวิ้นเดินไปได้สักพัก เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป ‘พี่สาวบอกว่าหย่ากับสามีแล้ว แล้วจักรยานของเธอมาจากไหนกัน? ดูเหมือนไม่ใช่ของตระกูลฟู่ จักรยานของบ้านตระกูลฟู่เป็แบบเก่าขนาดสิบหกนิ้ว อีกอย่างพี่สาวบอกว่าออกมาตัวเปล่า ทำไมถึงมีเงินไปซื้อกับข้าวมากมายขนาดนั้น’
ยิ่งคังจวิ้นคิดก็ยิ่งรู้สึกไม่ชอบมาพากล เขาหันหลังกลับไปเพื่อจะถามคังอิงอีกรอบ แต่พบว่าคังอิงไม่อยู่แล้ว ตอนนั้นเองคังจวิ้นพลันนึกขึ้นมาได้ว่าเขาลืมถามที่อยู่ปัจจุบันของพี่สาว แล้วเขาจะไปตามหาเธอได้จากที่ไหนกัน
หลังจากกำจัดปัญหาใหญ่นี้ไปได้ คังอิงก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที เธอขึ้นรถจักรยานแล้วปั่น ‘แกร๊กๆ ’ ไปยังชานเมือง
จักรยานคันนี้ไม่มีใครใช้มานานแล้ว พอขึ้นไปปั่นก็เลยรู้สึกฝืดๆ โซ่ก็หลวม ปั่นก็ลำบากมาก คังอิงคิดว่าพอถึงบ้านแล้ว จะต้องจัดการให้เรียบร้อยสักหน่อย ใส่น้ำมันหล่อลื่นกับดึงโซ่ให้แน่นขึ้นอีกนิด
งานเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ ไม่อาจทำให้คังอิงผู้เชี่ยวชาญการประดิษฐ์ต่างๆ ลำบากใจแต่อย่างใด หากทำไม่เป็ก็สามารถเรียนรู้ได้ อีกอย่างเมื่อก่อนเธอก็เคยทำงานในโรงงานผลิตโทรศัพท์มือถือ ส่วนประกอบในโทรศัพท์มือถือพวกนั้นละเอียดอ่อนมาก แต่เธอยังสามารถถอดประกอบได้ แล้วนี่แค่จักรยานเท่านั้น ไม่ทำให้เธอต้องลำบากใจอะไรสักนิด ถึงเธอจะเป็ผู้หญิง แต่ความสามารถในการลงมือทำก็ใช่ว่าจะด้อยกว่าผู้ชาย
คังอิงครุ่นคิดถึงเื่ที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านเล็กๆ หลังนั้นอีกอย่างน้อยครึ่งปีตลอดทาง เธอคิดว่าในอนาคตคงต้องตั้งชื่อให้ที่แห่งนี้เสียหน่อย ใช่ เอาชื่อ ‘บ้านสันโดษแสนสงบ’ แล้วกัน ชื่อนี้ดีไม่น้อย เหมือนได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเพียงลำพัง
ในฐานะที่เป็นักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ คังอิงไม่ได้มีความรู้ทางวัฒนธรรมอะไรมากมาย เธอเป็คนมีเหตุผล ตรงไปตรงมา ใจเย็นและรอบคอบ ดังนั้นชื่อที่ตั้งจึงดูซื่อตรงตามความเป็จริง เธอคิดว่าชื่อนี้ไม่ได้มีบทกวีหรือความหมายเชิงศิลปะแต่อย่างใด แต่หลังจากมีชื่อแล้วก็รู้สึกผูกพันกับบ้านหลังเล็กนั่นมากขึ้น ราวกับเป็บ้านของเธอจริงๆ
พอมาถึงบ้านสันโดษแสนสงบ คังอิงก็ลงจากรถจักรยาน แต่กลับได้ยินเสียงดัง ‘โครมคราม’ ดังมาจากลานบ้าน คังอิงสะดุ้งใ เธอคิดว่ามีหัวขโมยแอบเข้าไปข้างในหรือเปล่า
เธอหันไปมองรอบๆ ก็เห็นควันไฟลอยออกมาจากบ้านของเพื่อนบ้าน แสดงว่าพวกเขากำลังทำอาหารกันอยู่ พอคิดว่าละแวกนี้ค่อนข้างมีชีวิตชีวา และมีผู้คนอาศัยอยู่จำนวนมาก คังอิงจึงไม่รู้สึกกลัวอีกต่อไป
เธอหยิบฟืนท่อนหนึ่งที่มีขนาดเท่าแขนของเธอออกมาจากกองฟืนข้างกำแพง ถือไว้ในมือ จากนั้นก็เปิดประตูบ้านอย่างระมัดระวัง ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปดูด้านใน
พอเธอเห็นภาพตรงหน้าก็พลันรู้สึกเบาใจลง ถ้าคนที่สร้างเื่วุ่นวายอยู่ที่ลานบ้านไม่ใช่สือเจียงหย่วน แล้วจะเป็ใครกัน?
คังอิงไม่คิดว่าสือเจียงหย่วนจะกลับมาเร็วขนาดนี้ แม้เขาจะเป็คนเปิดประตูแล้วเดินเข้ามาเอง แต่คังอิงก็ยังรู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก จะบอกว่ารู้สึกไม่สบายใจก็ไม่เชิง
เธอจึงทำได้แค่เตือนตัวเองอยู่ในใจว่าต้องไปเอากุญแจสำรองคืนจากสือเจียงหย่วน ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่อาจเดินไปเดินมาโดยไม่ใส่ชุดชั้นในในบ้านอย่างสบายใจได้อีก
ผู้หญิงทำงานมักมีนิสัยอย่างหนึ่งก็คือ พอกลับถึงบ้านก็จะรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดทำงานออก แล้วสวมชุดอยู่บ้านที่สบายๆ ไม่ว่าจะเดิน นั่ง นอน ก็รู้สึกผ่อนคลาย
ก่อนหน้านี้คังอิงเคยเห็นการ์ตูนเื่หนึ่งที่วาดถึงตอนที่ผู้หญิงผ่อนคลายมากที่สุด มันเป็ภาพเมื่อตอนที่พวกเธอกลับบ้านหลังเลิกงาน แล้วถอดชุดชั้นในออก ราวกับโยนภาระหนักอึ้งทั้งวันที่แบกเอาไว้ทิ้งไป ร่างกายและจิติญญาของพวกเธอจะได้รับการผ่อนคลายอย่างแท้จริง ซึ่งมันก็เป็แบบนั้นในชีวิตจริงๆ ด้วย
สือเจียงหย่วนกำลังทำอะไรสักอย่างที่เสียงดังวุ่นวายมาก ที่แท้เขากำลังต่อกรงที่ดูเหมือนเป็กล่องไม้สี่เหลี่ยม
สือเจียงหย่วนเงยหน้าขึ้นก็เห็นคังอิงกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมกับถือไม้ท่อนหนึ่งเอาไว้ สือเจียงหย่วนใจนสะดุ้งอย่างช่วยไม่ได้ เขาถามขึ้นว่า
“คุณจะทำอะไรน่ะ?”
คังอิงยังคงมีท่าทีระแวดระวังอยู่ แต่หลังจากได้ยินสือเจียงหย่วนถาม เธอก็ผ่อนคลายลงพลางบอกว่า “ฉันคิดว่ามีขโมยแอบเข้ามาในบ้าน”
สือเจียงหย่วนยิ้มบอกว่า “คุณไม่ต้องใขนาดนั้นก็ได้ แถวนี้ไม่ได้อันตรายอย่างที่คุณคิดหรอก ป้าของผมอาศัยอยู่ที่นี่มาหลายสิบปีแล้ว ยังไม่เคยเจอขโมยเลยสักครั้ง แต่ในเมื่อคุณกลัวมากขนาดนี้ งั้นผมก็ให้มันอยู่เป็เพื่อนคุณก็แล้วกัน”
ขณะที่สือเจียงหย่วนพูด เขาก็อุ้มเ้าตัวเล็กที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ตัวหนึ่งขึ้นมาจากพื้นข้างๆ ตัว แล้วยัดใส่มือของคังอิง
เชิงอรรถ
[1] ผู้หญิงที่ได้รับผลกระทบจากค่านิยมของครอบครัว แล้วต้องคอยให้ความช่วยเหลือน้องชายอย่างไม่มีข้อแม้ จนเสียโอกาสของตัวเอง เป็คุณสมบัติของผู้หญิงที่คนไม่อยากได้เป็ลูกสะใภ้ เพราะหากแต่งไปแล้วจะมีโอกาสเกิดปัญหาครอบครัวได้ง่าย เพราะต้องคอยช่วยเหลือครอบครัวฝ่ายภรรยาไม่มีที่สิ้นสุด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้