ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ หน้าต่างของรถม้าพลันถูกเลิกขึ้น ปรากฏให้เห็นใบหน้าเล็กเรียวสะสวยและดวงตาสว่างไสวซุกซนคู่หนึ่งกำลังมองสถานการณ์นอกหน้าต่าง เมื่อปริปากเอ่ยขึ้นก็เป็น้ำเสียงอ่อนหวานไพเราะเสนาะหู “พี่สาม ข้าโตมาจนป่านนี้แล้วเพิ่งจะเดินทางออกจากเมืองเทียนเซียงเป็ครั้งแรก โลกภายนอกช่างน่าสนใจเหลือเกินเ้าค่ะ แสงตะวันยิ่งงดงาม อากาศยิ่งสดชื่น กระทั่งเสียงนกร้องก็ยิ่งไพเราะจับใจ...ฮิๆ ดีจริง!”
“ไน่ไน่ เ้าจะพูดเกินไปแล้วกระมัง คนอื่นคิดกันสมองแทบแตกเพื่อจะไปเมืองเทียนเซียงและยังไม่แน่ว่าจะไปได้สำเร็จ เ้ากลับดีนัก ตัวเองอยู่บนความโชคดีแต่กลับไม่รู้ว่าตนเองโชคดี!” เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นภายในรถม้า ในน้ำเสียงก้องกังวานของชายหนุ่มยังปนเปไปด้วยความเอ็นดูเปี่ยมล้น “ครั้งนี้พวกเราไปศึกษาที่สำนักศึกษาเทียนหง ก่อนออกเดินทาง ท่านพ่อท่านแม่กำชับข้าแล้วกำชับข้าอีก เ้าจะอยู่ห่างจากพี่สามไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว ไม่ว่าเื่ใดล้วนต้องฟังพี่สามทั้งสิ้น จดจำไว้แล้วหรือไม่?”
แม่นางน้อยที่ถูกเรียกขานว่า “ไน่ไน่” ทำปากยู่ไม่พอใจ “ไอหยา พี่สาม ท่านพูดมาแปดร้อยรอบแล้วนะเ้าคะ หูของข้าแทบจะหนวกอยู่แล้ว! ท่านก็แค่อายุมากกว่าข้าเพียงปีเดียว เหตุใดจึงเหมือนคนชราเยี่ยงนี้ วันทั้งวันเอาแต่บ่นกระปอดกระแปด พูดพอหรือยังเ้าคะ? ท่านห้ามข้าอยู่ห่างท่านแม้แต่ก้าวเดียว เช่นนั้นหากข้า้าไปห้องเวจ อาบน้ำ เข้านอน ท่านก็จะติดตามข้าเช่นนั้นหรือ ท่านอับอายหรือไม่?”
“เ้าเด็กคนนี้! พูดจาเลอะเลือนอันใดกัน” น้ำเสียงของชายหนุ่มปนเปไปด้วยโทสะและความจนปัญญา ไม่นานนักก็ถูกเสียงตื่นตะลึงของแม่นางน้อยดึงดูดความสนใจ
“โอ้โห เป็คู่รักที่สวยงามมากๆ คู่หนึ่ง!”
ใบหน้าคมสันของชายหนุ่มยื่นออกไปนอกหน้าต่างรถม้าอย่างรวดเร็ว คิ้วตากระบี่ คมสันงดงาม ทว่ากลับดูเป็ผู้ใหญ่เกินวัยของเขาในขณะนี้ ได้ยินคำพูดของน้องสาว เขาแนบใบหน้ากับริมหน้าต่างเพื่อมองลอดออกไป ทันทีที่มองออกไป เขาถึงกับตื่นตะลึงอยู่ที่นั่น!
บนถนนที่มีเงาร่มของต้นไม้และใบไม้ทับซ้อนกันนั้น หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา
สตรีเรือนร่างสูงโปร่ง อาภรณ์สีขาวนั้นขาวยิ่งกว่าหิมะ เส้นผมดำขลับนั้นราวกับเมฆา ณ ขอบฟ้า และเหมือนผ้าแพรเนื้อดีที่แผ่สยายอยู่กลางหลังเคลื่อนไหวเล็กน้อยตามจังหวะการก้าวเดิน นางเดินอยู่ในป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม ทว่าบุคลิกอันโดดเด่นสง่างามของนางกลับทำให้ป่าไม้ที่ดูจืดชืดนั้นกลายเป็ทัศนียภาพที่งดงาม ลำพังเพียงแค่เงาร่างด้านหลังก็ทำให้คนมองจนเหม่อลอย
ที่ทำให้คนรู้สึกทอดถอนใจยิ่งกว่าคือบุรุษที่เดินอยู่ข้างกายนาง เขามีรูปร่างสูงชะลูด สูงกว่านางราวๆ หนึ่งศีรษะทว่ากลับมีเส้นผมสีเงินสวมอาภรณ์สีขาว เส้นผมของเขาราวกับทางช้างเผือกที่พาดผ่านบนท้องฟ้ายามราตรี มันถูกปล่อยสยายลงมาเต็มแผ่นหลังถึงเอว ราวกับแสงสว่างทั้งหมดของใต้หล้านี้ล้วนรวมอยู่บนร่างของเขาเพียงคนเดียว เขาเป็เช่นดวงดาวที่เปล่งประกายเพียงดวงเดียวท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดมิด ทั่วทั้งร่างของเขารายล้อมด้วยประกายที่ทำให้คนมิอาจมองผ่าน!
หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีนี้เดินเคียงคู่กันมาราวกับเป็เทพเซียนมาจุติ ให้ความรู้สึกสูงส่งกระทั่งแสงแดดเหนือศีรษะยังหม่นแสงลง!
“งดงามเหลือเกิน! พี่สาวคนนั้นมีบุคลิกสง่างามยิ่ง พี่ชายคนนั้นมีลักษณะพิเศษ พวกเขาสองคนเดินด้วยกัน เหมือนภาพวาดภาพหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น สวยงามจริงๆ!” ในแววตาของแม่นางน้อยเต็มไปด้วยความคลั่งไคล้ ก่อนจะทอดถอนใจว่า “เมื่อก่อนข้าคิดมาโดยตลอดว่าพี่สามเป็บุรุษที่หล่อเหลาที่สุดของใต้หล้านี้ แต่วันนี้ดูแล้วข้าจึงรู้ว่าอะไรที่เรียกว่า กบในกะลา!”
มุมปากของชายหนุ่มกระตุก “พี่สามของเ้า ข้ายืนอยู่เบื้องหน้าเ้า...”
แม่นางน้อยไม่ได้ใส่ใจความรู้สึกของเขายังคงพูดต่อไปอีกว่า “พี่สาม ท่านรู้สึกหรือไม่ว่าพี่ชายท่านนั้นเหมือนคนผู้หนึ่งอย่างยิ่ง?”
เมื่อแม่นางน้อยทักขึ้น ดวงตาของชายหนุ่มจึงทอประกายเจิดจ้า “เซียนหมากผมเงิน?”
“ถูกต้อง! ได้ยินพวกเขาพูดกันว่า ซือคงเซิ่งเจี๋ย เซียนหมากล้อมผมเงินมีเส้นผมเป็สีเงินทั้งศีรษะ มักจะชอบสวมอาภรณ์สีขาว บนใบหน้าสวมหน้ากากสีเงิน!” แม่นางน้อยยังคงพูดเจื้อยแจ้วต่อไปอีกว่า “พี่สาม เซียนหมากผมเงินมิใช่บุคคลในดวงใจของท่านหรือ? จะใช่เขาหรือไม่?”
ชายหนุ่มตกตะลึง หลังจากตริตรองดูแล้วจึงส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว “เป็ไปไม่ได้! เซียนหมากผมเงินเป็องค์ชายแห่งแคว้นหนานเยียน หากเขาออกมาย่อมต้องมีขบวนล้อมหน้าล้อมหลัง เหตุใดจึงมาเดินเท้าอยู่ในป่าเช่นนี้เล่า”
“แต่เหมือนจริงๆ เ้าค่ะ!” แม่นางน้อยเอียงคอพูดต่อ “ได้ยินพวกเขาบอกว่า แม่นางเฟิงที่เป็ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของชุมนุมหมากล้อมผู้เอาชนะเซียนหมากผมเงินก็ชอบสวมอาภรณ์สีขาวเช่นกัน บุคลิกโดดเด่นเหนือคนทั่วไป เหมือนพี่สาวคนนี้มากๆ เ้าค่ะ! พี่สาม แม่นางเฟิงมิใช่บุคคลในดวงใจของท่านหรือเ้าคะ ท่านคิดว่าจะเป็พวกเขาทั้งสองคนหรือไม่?”
เฟิ่งเฉี่ยนและซือคงเซิ่งเจี๋ยเดินอยู่ข้างหน้า ย่อมได้ยินบทสนทนาทั้งหมดของคนทั้งสอง เฟิ่งเฉี่ยนยิ้มขื่น คงเป็ไปไม่ได้กระมัง ถูกจดจำได้ง่ายดายเช่นนี้เลยหรือ? ซ้ำยังเรียกขานนางว่ายอดฝีมืออันดับหนึ่งของชุมนุมหมากล้อม มีคนเก่งกาจเช่นซือคงเซิ่งเจี๋ยอยู่ข้างหน้า นางไม่กล้ารับหรอก!
ต่อมาได้ยินเสียงชายหนุ่มเอ่ยขึ้นว่า “เป็ไปไม่ได้! ทุกคนต่างรู้ดีกว่า เซียนหมากผมเงินไม่เข้าใกล้อิสตรี เขาสนใจแต่หมากล้อมเท่านั้น เขาไม่สนใจสตรีแม้แต่นิดเดียว! ดังนั้น พวกเขาไม่มีทางเป็เซียนหมากผมเงินและแม่นางเฟิงเด็ดขาด! อีกประการหนึ่ง พวกเขาเป็คู่ต่อสู้กัน ไฉนจึงมาเดินเคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยกันได้ พวกเขาจะต้องเป็ผู้ชื่นชอบในหมากล้อม เพราะชื่นชมเซียนหมากผมเงินและแม่นางเฟิง ดังนั้นจึงเลียนแบบเป็พวกเขา!”
รถม้าวิ่งแซงหน้าเฟิ่งเฉี่ยนและซือคงเซิ่งเจี๋ย คนในรถม้าเห็นใบหน้าของซือคงเซิ่งเจี๋ยที่อยู่ใต้หน้ากากสีเงิน ชายหนุ่มจึงพูดอย่างมั่นใจกว่าเดิมว่า “ดูเถิด ข้าไม่ได้พูดผิดกระมัง? พวกเขาไม่เพียงแต่เลียนแบบเท่านั้น กระทั่งหน้ากากก็ยังเลียนแบบได้เหมือนกันไม่มีผิด!”
“ฟังพี่สามพูดเช่นนี้ ดูเหมือนจะเป็เช่นนั้นจริงๆ” แม่นางน้อยถอนใจเสียดายแล้วพูดขึ้นมาอย่างกระตือรือร้นอีกว่า “ในเมื่อพวกเขาต่างก็เป็ผู้ชื่นชมในหมากล้อมเช่นกัน และต่างชื่นชมเซียนหมากผมเงินและแม่นางเฟิงเช่นเดียวกับพี่สาม ไม่สู้พวกเราเชิญพวกเขาขึ้นมาบนรถม้าร่วมเดินทางไปพร้อมกัน เป็อย่างไรเ้าคะ?”
ถังเจิ้นอวี่ขมวดคิ้วลังเลใจเล็กน้อย ก่อนออกเดินทางบิดามารดากำชับแล้วกำชับอีกว่า เมื่อออกจากเรือนมาอยู่ข้างนอกจะต้องระมัดระวังให้มาก อีกทั้งการออกมาครั้งนี้ได้พาน้องสาวมาด้วย น้องสาวออกจากเมืองเทียนเซียงเป็ครั้งแรก ย่อมไร้ประสบการณ์ในยุทธภพ นางย่อมไม่รู้สึกว่าต้องป้องกันตัวจากคนแปลกหน้า เื่นี้ทำให้เขาเป็กังวลอย่างยิ่ง ดังนั้น เขาไม่กล้าเสี่ยง
ต่อมา ยังไม่ทันได้รอให้เขาลังเลใจหรือตัดสินใจ หูพลันได้ยินเสียงน้องสาวเอ่ยเชื้อเชิญอย่างเป็กันเองดังขึ้น “พี่สาว ป่าแห่งนี้ใหญ่มาก หากเดินเท้าอย่างน้อยยังต้องเดินอีกหนึ่งชั่วยาม ไม่สู้ขึ้นรถม้าของพวกเรา พวกเราพาพวกท่านไปด้วยกัน”
ถังเจิ้นอวี่หางตากระตุกคิดจะห้ามปรามน้องสาวทว่ามิทันการเสียแล้ว สายตาระแวดระวังของเขามองไปยังคนสองคนที่อยู่นอกรถม้า ทว่ากลับเห็นสตรีในอาภรณ์สีขาวกลอกดวงตามองมาทางพวกเขาปราดหนึ่ง และเป็เพียงแค่การปรายตามองเท่านั้นกลับทำให้เขาตะลึงงันและหน้าแดงเรื่อ
หากพูดตามที่น้องสาวเคยพูด เมื่อก่อนเขาเคยเข้าใจมาโดยตลอดว่าน้องสาวจึงจะเป็สตรีที่มีรูปโฉมงามที่สุดในใต้หล้า แต่วันนี้เมื่อได้เห็นเฟิ่งเฉี่ยน เขาเพิ่งจะรู้ว่าอะไรเรียกว่า กบในกะลา
ทว่าสตรีนางนี้น่าจะมีอายุมากกว่าเขาห้าหกปี เขาจึงรีบเก็บงำความคิดที่ชักจะเลยเถิดของตน ได้ยินสตรีในอาภรณ์สีขาวกล่าวว่า “ขอบคุณความปรารถนาดีของแม่นาง แต่พวกเราไม่ได้รู้จักมักจี่กันมาก่อน หากขึ้นไปนั่งบนรถม้าของแม่นางเกรงว่าจะไม่เหมาะสม!”
คนที่อยู่ด้านหลังรถม้าได้ยินคำพูดของนางแทบจะลมจับ คิดจะพุ่งเข้าไปบีบคอนาง ให้นางมีสติสักหน่อย ไฉนจึงพลาดโอกาสที่หาได้ยากเช่นนี้
นั่นน่ะเป็คนของสกุลถังแห่งเมืองเทียนเซียงเชียว! เศรษฐีผู้มั่งคั่งอันดับต้นๆ ของเป่ยเยียน แทบจะเรียกได้ว่าเป็ครอบครัวที่ร่ำรวยของแคว้นก็ว่าได้!
มีคนมากมายเท่าใดที่คิดจนหัวแทบะเิออกเป็เสี่ยงๆ เพื่อจะได้คบค้าสมาคมกับพวกเขา
เ้าๆๆ...เ้าไม่เพียงแต่ไม่คว้าโอกาส เ้ายังปฏิเสธ?
์ช่างไม่เปิดตาโดยแท้!
คำตอบของเฟิ่งเฉี่ยนทำให้ถังเจิ้นอวี่ตะลึงงันด้วยความประหลาดใจน้อยๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้