พอพูดจบ เขาพลันโยนร่างของหรูเยี่ยนเข้าไปในอ้อมแขนของเป่ยทงเสวียนราวว่านางเป็เพียงสิ่งของไร้ค่าเท่านั้น ทว่าเป่ยทงเสวียนกลับไม่มีท่าทีว่าจะรับร่างนั้นไว้เลยสักนิด
เขายืนตระหง่านอยู่กับที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงราวเป็เพียงรูปปั้น ปล่อยให้ร่างบางล้มลงไปกองอยู่บนพื้นราวกับมองไม่เห็นเช่นนั้น
“วันนี้เป็งานฉลองพระชนมพรรษาขององค์จักรพรรดิ ไม่เหมาะที่จะให้เืหลั่งในวันนี้”เป่ยทงเสวียนไม่แม้แต่จะมองหรูเยี่ยนเลยด้วยซ้ำ ราวกับนางไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขาอย่างสิ้นเชิงอย่างไรอย่างนั้น
ท่าทางของเขาช่างแลดูหนักแน่นสมจริงนักมันสมจริงมากจนแม้แต่หรูเยี่ยนอดสงสัยไม่ได้ว่า่เวลาเมื่อสิบปีก่อนเป็ความจริงหรือเป็เพียงฝันหวานที่ตนจินตนาการขึ้นเองเท่านั้น
“ไม่เป็ไร! ข้าเคยเป็ทหารในกองทัพเคยออกศึก เคยฆ่าคนไปเป็พันเป็หมื่น เห็นเืจนชินแล้ว ในเมื่อหญิงผู้นี้ทำลายชื่อเสียงของเ้าเช่นนั้นเ้าจงจัดการลงโทษนางเสียเถอะ” องค์จักรพรรดิหรี่ตาลง น้ำเสียงฟังดูล่องลอยทำให้คาดเดาไม่ได้ว่าพระองค์กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
เป่ยทงเสวียนก้มหน้าลงเล็กน้อย หันไปมองหญิงที่ทรุดนั่งอยู่บนพื้นด้วยใบหน้าที่เย็นะเืราวกับน้ำแข็งทันใดนั้น มีเสียงกังวานดังขึ้น กระบี่เล่มหนึ่งปรากฏขึ้นกลางห้วงอากาศตัวกระบี่เรียบเนียน และปลายกระบี่พุ่งตรงไปยังลำคอของหรูเยี่ยนแล้ว
หลงเซี่ยงจวินฉายประกายรังสีบางอย่างขึ้นในแววตาราวกำลังรออะไรบางอย่างอยู่เช่นนั้น
ซือหม่าสวี่เองก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างอดไม่ได้ดวงตาที่เคยหรี่เล็กก็ถูกเบิกขึ้นเล็กน้อย
ซูฉางอันโค้งตัวลง เขาวางมือลงบนด้ามดาบทันที เขาในตอนนี้ดูราวกับลูกศรที่พร้อมพุ่งออกไปจากคันธนูเต็มทีรอเพียงให้เวลามาถึงเท่านั้น
หรูเยี่ยนมองไปที่ชายตรงหน้าด้วยความสิ้นหวัง
เขายังคงหล่อเหลาไม่เปลี่ยนไปเลย เวลาสิบปีที่ผ่านมาไม่ทำให้รูปโฉมของเขาแปรเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย แต่ความเ็าบนใบหน้าของเขา กลับทำให้หรูเยี่ยนรู้สึกราวคนตรงหน้าเป็คนแปลกหน้าที่ตนไม่เคยได้รู้จักมาก่อนราวกับเขาในตอนนี้เป็ดวงิญญาอีกดวงที่อาศัยอยู่ในร่างของชายหนุ่มผู้แสนอบอุ่นเมื่อสิบปีก่อนเช่นนั้น
นางหลับตาลงในที่สุด
ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าการพบหน้าที่นางพนันด้วยเวลานับสิบปีเป็เพียงความฝันลมๆ แล้งๆ เป็เพียงภาพจินตนาการที่ไม่มีอยู่จริง และในตอนนี้ นางต้องชดใช้เกมพนันในครั้งนี้ด้วยสิ่งสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่...ชีวิตของนาง!
สุดท้ายนางก็ไม่ใช่ซุ่ยอวี้ และเขา ก็ไม่ใช่หนานเยวียน
น้ำตาหยดใสไหลลงมาจากดวงตาที่หลับพริ้ม
ติ๋ง!
มันเป็เสียงของหยดน้ำตาที่หยดลงบนพื้นไม้ของตำหนักไท่เหอ
ราวกับเป็สัญญาณคำสั่งบางอย่าง...
เพราะวินาทีที่เสียงนั้นดังขึ้น...
กระบี่คมกริบของเป่ยทงเสวียนเริ่มเคลื่อนไหว ทันทีที่สิ้นเสียงมันกลายเป็ลำแสงคมกริบ แล้วพุ่งตรงเข้าหาหรูเยี่ยนในพริบตา ทว่าในขณะเดียวกันลำแสงแห่งคมดาบกระแสหนึ่งได้ปะทุขึ้นในจุดที่ห่างออกไปประมาณสิบจั้ง แล้วพุ่งตรงเข้ามาพร้อมกับกระแสสายฟ้าสีม่วงและเพลิงศักดิ์สิทธิ์อันทรงพลัง
ติ๊ง!
เสียงหนึ่งดังกึกก้องไปทั่วตำหนัก
ลำแสงแห่งดาบและลำแสงแห่งคมกระบี่ปะทะเข้าด้วยกันอย่างจัง
ร่างที่ไม่ได้สูงใหญ่มากนักปรากฏขึ้นในพริบตาร่างนั้นยื่นมือเข้ามาดึงเสื้อผ้าบนร่างของหรูเยี่ยนเอาไว้แล้วยืมแรงปะทะส่งตัวเองพุ่งถอยกลับออกไปหลายจั้งในเสี้ยววินาที
ผู้คนภายในตำหนักได้สติกลับมาอีกครั้งในที่สุด และพวกเขาก็เห็นว่าที่เบื้องหน้ามีชายหนุ่มคนหนึ่งถือดาบเอาไว้ด้วยมือขวาและประคองหรูเยี่ยนที่มีท่าทีราวกำลังจะหมดสติลงเอาไว้ด้วยมือซ้าย ยืนตระหง่านอยู่กลางตำหนักด้วยใบหน้าเย็นะเื
“ฉางอัน!”
“คุณชายซู!”
“สหายซู!”
เสียงอุทานหลายสายดังขึ้นในเสี้ยววินาที บ้างเป็เสียงที่ดังมาจากตำหนักชั้นนอกบ้างเป็เสียงที่ดังขึ้นที่ตำหนักชั้นใน ทว่าสิ่งหนึ่งที่มีเหมือนกันคือเสียงเ่าั้ ล้วนแฝงไปด้วยความเป็ห่วงเป็ใยและตกตะลึงอย่างยิ่งยวดด้วยกันทั้งสิ้น
“คุณชายซูช่างใจกล้ายิ่งนักลำพังแค่กล้าอาละวาดในหอหมู่ตัน ข้าน้อยเห็นว่ากล้าหาญมากแล้วแต่คิดไม่ถึงเลยว่าท่านจะกล้าลงไม้ลงมือในงานเฉลิมพระชนมพรรษาขององค์จักรพรรดิเช่นนี้ก่อนหน้านี้ ข้าคงประเมินท่านต่ำไปสินะ” หลงเซี่ยงจวินกระพือพัดในมือพลางพูดขึ้นน้ำเสียงของเขาราบเรียบเหลือเกิน ไม่มีทั้งความโกรธและยินดี มีเพียงความกลั่นแกล้งราวกับเหตุการณ์ตรงหน้าเป็เื่บันเทิงใจอย่างไรอย่างนั้น
“บังอาจ!เ้าคิดว่าตำหนักไท่เหอเป็ที่ไหนกัน! ทหาร จับเ้าเด็กไม่รู้ที่ต่ำที่สูงคนนี้เอาไว้เดี๋ยวนี้!”ชายในชุดเกราะคนหนึ่งลุกจากที่นั่งของตัวเองอย่างเกรี้ยวกราด แล้วส่งเสียงตวาดขึ้นเมื่อสิ้นเสียง องครักษ์ที่เฝ้าคุ้มกันอยู่รอบตำหนักก็พากันกรูเข้ามาราวกับสายน้ำหลากแล้วจ้องไปที่ซูฉางอันอย่างดุดัน
ซูฉางอันมีสีหน้าเย็นะเืขึ้นในพริบตา มือขวาที่จับดาบอยู่ก็เริ่มสั่นเทาขึ้นอย่างไม่อาจหักห้ามหาใช่เพราะเขารู้สึกหวาดกลัวไม่ แต่กระบี่ของเป่ยทงเสวียนเมื่อครู่ ดูเผินๆอาจคล้ายเป็การเหวี่ยงฟันแสนธรรมดาเท่านั้น ทว่าความจริงมันทรงพลังมากมหาศาลเลยทีเดียว
และแม้เขาจะรับกระบี่นั้นเอาไว้ได้ แต่แรงกระแทกจากมันทำให้เขาได้รับาเ็จนแขนขวาของเขาชาไปหมดแล้ว
เขาวางหรูเยี่ยนที่กำลังประคองด้วยมือซ้ายลงอย่างแ่เบาจากนั้นก็ยกมือซ้ายขึ้นไปจับที่ด้ามดาบอีกแรงจึงสามารถหยุดไม่ให้ตัวดาบสั่นไหวได้ในที่สุด
วินาทีที่หลงเซี่ยงจวินลากตัวหรูเยี่ยนไปกลางตำหนักเซี่ยโหวฟ่งอวี้รับรู้ว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นแน่ นางมองไปยังเซี่ยโหวเซวียนกำลังนั่งในท่าทีผ่อนคลายอยู่ข้างตนก่อนจะรู้สึกบีบแน่นที่หัวใจ นางรู้ได้ทันทีว่านี่เป็แผนของพี่ชายแท้ๆ ของตัวเองสัญชาตญาณสั่งให้นางเงยหน้าขึ้นไปมององค์จักรพรรดิ ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์สูงอีกครั้งตอนนี้พระองค์กำลังหรี่ตาลงปล่อยให้องครักษ์ล้อมซูฉางอันเอาไว้โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้งเลยสักนิดซึ่งนั่นทำให้นางทวีความกังวลขึ้นกว่าเดิม ขณะลุกขึ้น แล้วเข้าไปพูดช่วยซูฉางอัน มือหนึ่งก็ยื่นเข้ามากดให้นางกลับไปนั่งที่เดิมเสียก่อน
“พี่ห้า! ท่าน...” เซี่ยโหวฟ่งอวี้หันไปมองชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ยังคงปรากฏประกายรอยยิ้มอบอุ่นและเป็มิตรไม่เปลี่ยนไปพลันความโกรธก็ะเิขึ้น นางเหลืออดเต็มที แทบจะะโออกไปอยู่แล้ว
“เป็อะไรไป? เป็ห่วงเขารึ?” เซี่ยโหวเซวียนเลิกคิ้ว แล้วยกแก้วสุราขึ้นมาจิบเบาๆ“แต่เื่หลอกใช้เ้าหนุ่มนั่น เ้าเป็คนเสนอขึ้นมาเองไม่ใช่รึ”
เมื่อได้ฟังดังนั้น ความโกรธบนใบหน้าก็ทุเลาเบาบางลงกะทันหันนางเอาแต่ก้มหน้าลงต่ำ และนิ่งเงียบลง
“ไหนๆก็จะหลอกใช้ทั้งทีแล้วนี่”เซี่ยโหวเซวียนวางแก้วในมือลงดวงตาที่เคยเปล่งประกายสว่างไสวของเขาก็เริ่มประกายรังสีที่อำมหิตและโหดร้ายราวกับพญาปีศาจออกมา“ในเมื่อจะหลอกใช้ทั้งที ก็คั้นคุณค่าทั้งหมดที่เขามีออกมาใช้ให้หมดเสีย!”
เซี่ยโหวฟ่งอวี้เงยหน้าที่เคยก้มลงต่ำขึ้นมากะทันหัน นางมองไปยังพี่ชายที่ยังคงรูปงามไม่เปลี่ยนไปคนนั้นคนที่รักและเอ็นดูนางมาั้แ่เด็ก เซี่ยโหวเซวียนที่เคยอ่อนโยนกับทุกคน ทันใดนั้นนางกลับรู้สึกว่าคนตรงหน้าแลดูแปลกตาเหลือเกินราวกับว่าเขากลายเป็คนแปลกหน้าไปแล้วเช่นนั้น มันทำให้นางเริ่มไม่แน่ใจว่าการช่วยผู้ชายคนนี้เป็เื่ที่ถูกหรือผิดกันแน่
“พวกเราไม่มีทางให้ถอยกลับไปได้อีกแล้ว”เซี่ยโหวเซวียนมองมายังเซี่ยโหวฟ่งอวี้ ดวงตาของเขาบัดนี้กลับแลดูเข้มงวดและจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน“ั้แ่พี่สามตายไป ั้แ่วันนั้น เราก็ไม่มีทางให้ถอยกลับไปได้อีกแล้ว!”
เขาพูดเช่นนั้น ก่อนจะครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงส่งประกายรอยยิ้มอบอุ่นขึ้นมาอีกครั้ง“วางใจเถอะ ไม่มีใครทำอะไรเขาได้หรอกเขามีนักรบแห่งดาราจักรอย่างนภาหมองกับอวี้เหิงคอยช่วยอยู่ถึงสองคนในแผ่นดินต้าเว่ยแห่งนี้ ใครที่ไหนจะกล้าแตะต้องเขา?”
เซี่ยโหวฟ่งอวี้พยักหน้าน้อยๆ นางรู้สึกวางใจขึ้นแล้วทว่าความกังวลที่หนักอึ้งมากยิ่งกว่ากลับเริ่มเกาะกินหัวใจอีกครั้ง นางมองไปยังกู่เซี่ยนจวินที่กำลังก้มหน้าก้มตาดื่มอย่างไม่สนใครอยู่อีกมุมของตำหนัก เป็จังหวะเดียวกับที่กู่เซี่ยนจวินเองก็หันกลับมามองนางเช่นกันราวกับทั้งสองมีกระแสจิตส่งถึงกันได้เช่นนั้น เมื่อสตรีทั้งสองมองสบตากัน จู่ๆความหนักอึ้งก็ปะทุขึ้นที่กลางใจทั้งสองอย่างพร้อมเพรียง
บรรยากาศภายในตำหนักเริ่มอึดอัดมากขึ้นเรื่อยๆ
องครักษ์เ่าั้ชักดาบที่ส่องแสงประกายคมกริบออกมาจากฝักคนแล้วคนเล่า
พวกเขาจ้องมองไปยังซูฉางอันที่ยืนตระหง่านอยู่กลางตำหนักราวเป็ฝูงหมาป่าจอมกระหายกำลังมองไปยังลูกแกะตัวน้อย
“คุณชายซู ส่งผู้หญิงคนนั้นมาเถอะบางทีฝ่าาอาจเห็นแก่ท่านอวี้เหิง ยอมเมตตาไว้ชีวิตท่านก็ได้” ซือหม่าสวี่บอกเช่นนั้น
ซูฉางอันชะงักไปเล็กน้อย พลันปราณดาราภายในร่างกายก็เริ่มขับเคลื่อนขึ้น
“ทำไมพวกเ้าถึงอยากจะฆ่านางเล่า?” เขาถามแบบนั้น
“นางทำผิด ย่อมต้องถูกปะา” ซือหม่าสวี่ตอบกลับมา
“นางทำผิดประการใด?”
“เป็คนต่ำทราม แต่กลับมาที่ตำหนักไท่เหอ ถือเป็การิ่ต่อฝ่าานี่เป็โทษประการแรก”
“พูดจาเหลวไหล ทำลายชื่อเสียงของเทพนักรบแห่งแผ่นดินนี่เป็โทษประการที่สอง!”
“ในเมื่อทำผิดสองประการนี้ นางย่อมมีจุดจบเพียงอย่างเดียวคือต้องถูกปะาเท่านั้น” ซือหม่าสวี่พูดอย่างใจเย็นและสิ่งที่เขาพูดมาก็ล้วนมีเหตุผล จนไม่อาจหาข้อติได้เลย
“แบบนี้ไม่ถูก” ซูฉางอันส่ายหน้า
“แม้พี่หรูเยี่ยนจะเป็หญิงโคมเขียวแต่เงินที่นางได้รับมาเป็เงินบริสุทธิ์ ไม่ได้ฆ่าหรือปล้นใครมาจะเรียกนางว่าคนต่ำทรามได้อย่างไร”
“ส่วนเื่ที่บอกว่านางทำลายชื่อเสียงของเทพนักรบแห่งแผ่นดินพวกท่านฟังความข้างเดียวเช่นนี้ แล้วจะตัดสินได้อย่างไรว่าใครถูกใครผิดกันแน่?” เสียงของซูฉางอันดังขึ้นเรื่อยๆเมื่อพูดมาจนถึงตอนสุดท้าย เขาก็แทบจะคำรามออกมาเลยทีเดียว พร้อมกันนั้นดาบของเขายังถูกชี้ไปที่เป่ยทงเสวียนซึ่งยืนนิ่งด้วยสีหน้าเย็นะเืด้วยเช่นกัน
“น่าขันนัก หรือพวกเราต้องไปเชื่อคำพูดของโสเภณีแทนที่จะเป็แม่ทัพเป่ย?” ครั้งนี้ไม่ใช่ซือหม่าสวี่แต่เป็ขุนนางสายบุ๋นที่อยู่รอบด้านต่างหาก
ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าองค์จักรพรรดิ ้าเช่นไรตอนนี้แม่ทัพเป่ยกำลังก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งอำนาจที่มั่นคง ในอนาคตเขาต้องได้เป็ใหญ่ในซีเหลียงอย่างแน่นอนเหตุนี้ พวกเขาย่อมยินดีจะพูดเข้าข้างเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับเป่ยทงเสวียนอยู่แล้ว
ซูฉางอันขมวดคิ้วมุ่น เขากวาดตามองไปรอบด้านมองดูขุนนางและชนชั้นสูงที่ลุกขึ้นมายืนด่าตน เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนเหล่านี้ถึงพูดแบบนั้นออกมาได้เขาคิดว่านั่นเป็สิ่งที่ไม่สมเหตุสมผล ไม่ถูกต้องเอาเสียเลย
ดังนั้น เขาจึงพูดขึ้นดังนี้“หากเป็เพราะเขาเป็เทพนักรบแห่งแผ่นดิน ส่วนพี่หรูเยี่ยนเป็เพียงหญิงสามัญชนพวกเ้าจึงเชื่อคำเขา เช่นนั้นหากข้าที่เป็ปั๋วเจว๋แห่งแผ่นดินต้าเว่ยบอกว่าทุกท่านทำความผิดที่มีโทษปะาเอาไว้เล่าทุกท่านจะยอมไปตายเพราะคำพูดของข้าหรือไม่?”
เกิดเสียงฮือฮาขึ้นมาทันที
“เ้าเด็กด้อยปัญญาเอ๊ย!”
“ผยองเกินไปแล้ว!”
เสียงก่นด่าดังให้ได้ยินอย่างไม่ขาดสาย
“พอได้แล้ว!”เสียงตวาดของใครบางคนดังขึ้น ทันใดนั้น เหล่าขุนนางและชนชั้นสูงที่เคยโมโหฟึดฟัดต่างเงียบเสียงลงทันตา
องค์จักรพรรดิลุกยืน แล้วโบกมือไปในอากาศ“พวกเ้าออกไปเถอะ”
เมื่อสิ้นเสียง องครักษ์ทั้งหลายต่างเก็บดาบยาวกลับเข้าไปในฝักแล้วขานรับเสียงดัง จากนั้นจึงพากันถอยกลับออกไปราวกับสายน้ำลดในเวลาต่อมา
“สิ่งที่แม่ทัพเป่ยบอกมา ข้าย่อมเชื่ออยู่แล้ว แต่ซูปั๋วเจว๋เป็ถึงศิษย์หลานของท่านอวี้เหิงคาดว่าคงไม่พูดจาเหลวไหลเช่นกัน ข้าว่าเอาอย่างนี้ดีกว่าในเมื่อพวกเ้าพูดไม่ตรงกัน เช่นนั้นพวกเ้าก็ไปปรึกษาและสรุปเื่นี้กันเองเถอะอย่าผิดใจกันเพราะหญิงโคมเขียวเพียงคนเดียวเลย”
องค์จักรพรรดิหรี่ตาลงพลางกล่าวขึ้น
“เสด็จพ่อ ลูกมีสิ่งหนึ่งไม่รู้ว่าควรจะพูดออกมาหรือไม่”และในตอนนั้นเองที่หนุ่มรูปงามผู้หนึ่งเดินมาที่กลางตำหนัก แล้วประสานมือเป็เชิงคารวะพลางพูดกับคนบนบัลลังก์สูง
“เอ๋? พูดมาได้เลย”
“ในงานฉลองพระชนมพรรษาของเสด็จพ่อพวกลูกจะเลือกคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถมาประลองเพื่อสร้างความบันเทิงในงานเป็ประจำทุกปีปีนี้ก็เช่นกัน แต่จะว่าไปแล้วเื่นี้ก็บังเอิญยิ่งนักเพราะคุณชายซูเป็หนึ่งในคนที่ลูกเลือกสรรมาส่วนแม่ทัพเป่ยก็เป็คนที่เสด็จพี่เชิญมาเช่นกัน”
“ตอนนี้คุณชายซูกับแม่ทัพเป่ยพูดยืนยันไม่เหมือนกันหากเสด็จพ่อให้พวกเขาไปตกลงกันเองเกรงว่าทั้งสองท่านก็คงจะหาบทสรุปของเื่ไม่ได้อยู่ดีแถมยังจะทำให้ทั้งสองผิดใจกันมากขึ้นไปอีก”
“ลูกบังอาจ ขอให้ลูกได้เป็ตัวแทนของคุณชายซูและให้พี่ใหญ่เป็ตัวแทนของแม่ทัพเป่ยเถิด ในการประลองครั้งนี้ หากฝ่ายใดชนะฝ่ายนั้นมีสิทธิ์ตัดสินเื่ความเป็ตายของหญิงผู้นี้ เป็อย่างไรขอรับ?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้