บนหน้าผาจงกู่ มีสายลมที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรง คลื่นดาบจำนวนมากกวาดผ่านไปทั่วหน้าผา จนทำให้อากาศบริเวณรอบๆ กลายเป็พายุที่บ้าคลั่งขึ้นมา ตัวดาบที่อัดแน่นไปด้วยลมปราณสร้างคลื่นดาบออกมาอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะบริเวณรอบๆ ของกลองทั้ง 8 ใบ ต่างก็ถูกปกคลุมไปด้วยคลื่นดาบ เสียงฟ้าร้องผสานเสียงลมที่พัดหวีดหวิวดังออกมาอย่างต่อเนื่อง ประหนึ่งเป็บทเพลงที่บรรเลงขึ้นมาด้วยดาบ
หลินเฟิงจำไม่ได้แล้วว่า ตัวเองกวัดแกว่งดาบไปแล้วกี่ครั้ง ม่านดาบสีขาวที่ล้อมรอบตัวเขาคอยป้องกันคลื่นดาบที่กลองจงกู่ทั้ง 8 ใบสะท้อนกลับมาอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ทั่วทั้งร่างของหลินเฟิงเต็มไปด้วยาแน้อยใหญ่ั้แ่หัวจรดเท้า
แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้หลินเฟิงจะลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง เขาตกอยู่ในวังวนของคลื่นดาบที่สะท้อนกลับมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ในหัวของเขามีเพียงแค่ ป้องกัน โจมตี และป้องกัน
ถ้าหากมีใครมาเห็นหลินเฟิงในตอนนี้คงใน่าดู และคิดว่าเด็กคนนี้ไม่รักชีวิตของตัวเองแล้วอย่างนั้นเหรอ? คลื่นดาบที่ย้อนกลับมาโจมตีหลินเฟิงล้วนถูกป้องกันได้ แต่ฝุ่นยังไม่ทันจาง เขาก็ใช้เคล็ดวิชาอัสนีกัมปนาทโจมตีไปที่กลองจงกู่ทันที หลังจากที่กลองจงกู่ถูกโจมตี เพียงเสี้ยววินาทีมันก็สะท้อนการโจมตีกลับมาอีกครั้ง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าวนเวียนแบบนี้ไม่มีที่สิ้นสุด ด้วยเหตุนี้หน้าผาจงกู่จึงเต็มไปด้วยคลื่นดาบ
“ยังไม่มีเสียง” ตอนนี้หลินเฟิงรู้สึกปลอดโปร่งมาก ถึงแม้ว่ามันจะอันตราย แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้ดีว่าตัวเองก้าวหน้าไปมากแค่ไหน ก่อนหน้านี้ที่หลินเฟิงฝึกฝนอัสนีกัมปนาท เขาเคยคิดว่าตัวเองใกล้จะถึงจุดสูงสุดของเคล็ดวิชานี้แล้ว แต่ตอนนี้เขากลับค้นพบว่ามันไม่ใช่เลย คนแข็งแกร่ง ดาบก็ต้องแข็งแกร่งด้วย
ในตอนแรกหลินเฟิงเริ่มใช้พลังเพียงครึ่งเดียวโจมตีไปที่กลองหนึ่งใบ ต่อมาก็ค่อยๆ เพิ่มจำนวนกลองที่โจมตีไปเรื่อยๆ จาก 2 เป็ 3 จนไปถึง 8 ยิ่งหลินเฟิงทนรับแรงโจมตีที่สะท้อนกลับมาได้นานเท่าไร เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น อีกทั้งาแจากการถูกคลื่นดาบโจมตีก็น้อยลงเรื่อยๆ และกระบวนท่าดาบของหลินเฟิงก็ค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น
ไม่นานหลินเฟิงก็เพิ่มพลังในการโจมตี คลื่นดาบที่ออกมาก็รุนแรงกว่าเดิมถึง 6 เท่า และขยับขึ้นมาเป็ 7 เท่า ทุกครั้งที่เขาคิดว่าถึงขีดจำกัดของตัวเองแล้ว แต่เขาก็ค้นพบว่ายังสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดได้อีก ตอนนี้เขาใช้พลังถึง 7 เท่าในการโจมตีกลองจงกู่ทั้ง 8 ใบพร้อมกัน และทนรับพลังโจมตีที่เพิ่มเป็สองเท่า ซึ่งสะท้อนกลับมาถึง 8 สาย ถึงแม้ว่าการโจมตีจะรุนแรง แต่ทว่าเขาก็สามารถยืนหยัดต่อไปได้
แต่น่าเสียดายที่จนถึงตอนนี้ กลองจงกู่ก็ยังไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมา
…
หุบเขาเมฆพายุ ณ ลานประลองเป็ตาย ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่
“มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมผู้าุโถึงมาที่นี่ด้วยตัวเอง” เมื่อฝูงชนเห็นคนกำลังก้าวขึ้นไปบนลานประลองก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา
“นั่นคือศิษย์พี่เฉินซิง เมื่อ 2 เดือนก่อนเขาเป็ศิษย์สายนอกที่แข็งแกร่งที่สุด เพราะว่าเขาสามารถเอาชนะศิษย์สายในด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว และได้เลื่อนขึ้นเป็ศิษย์สายใน แต่ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”
“ฮ่าๆ เฉินซิงนับเป็อะไรได้? นี่เ้าไม่เห็นหรือว่าศิษย์พี่ถูฟูและศิษย์พี่หลิ้งหูก็อยู่ที่นี่ด้วย”
“อะไรนะ! เ้าบอกว่าศิษย์พี่ถูฟูและศิษย์พี่หลิ้งหูก็อยู่ที่นี่?”
ฝูงชนกำลังถกเถียงกัน ถูฟูมีชื่อเสียงในนิกายหยุนไห่มาก เพราะเขาเป็ศิษย์สายในที่แข็งแกร่งที่สุด สำหรับหลิ้งหูเห่อซานนั้นต้องบอกว่าไม่มีใครที่ไม่รู้จักเขา เขาเป็อันดับหนึ่งของศิษย์หลัก อาจพูดได้ว่าเขาเป็ศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของนิกายหยุนไห่ ว่ากันว่าพลังของหลิ้งหูเห่อซานอาจจะแข็งแกร่งกว่าผู้าุโบางคน
ในเมื่อตัวตนที่แข็งแกร่งขนาดนี้มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ แล้วจะไม่ให้พวกเขาแตกตื่นได้อย่างไร?
บนท้องฟ้าที่ห่างไกล ได้มีเสียงกระพือปีกลอยมาตามสายลม ทุกคนต่างเห็นนกั์ตัวหนึ่งกำลังสยายปีกบินมาทางนี้ ท่าทางดูองอาจไม่น้อย
“มาแล้ว” สายตาของเหล่าฝูงชนที่อยู่รอบๆ ลานประลอง ต่างจับจ้องไปยังนกตัวนั้นที่กำลังบินเข้ามา
นกั์ตัวนั้นบินเร็วมาก เพียงพริบตาเดียวก็บินมาถึงหน้าลานประลองแล้ว เหล่าศิษย์ของนิกายหยุนไห่เกิดความโกลาหลขึ้นมา
“โอ้พระเ้า มีคนสองคนอยู่บนนั้น?! แถมยังเป็สาวงามคนหนึ่งอีกด้วย”
ฝูงชนพากันหายใจถี่แรง บนร่างของนกั์ที่ลอยอยู่กลางอากาศ มีหญิงงามคนหนึ่งนั่งอยู่บนนั้น มันเป็ภาพที่น่าตกตะลึงมาก อีกทั้งกลิ่นอายอันทรงพลังที่แพร่กระจายมาจากนกตัวนั้น ก็ทำให้ศิษย์สายนอกทุกคนรู้สึกกดดันอย่างรุนแรง
“ขออภัยที่ทำให้พวกท่านต้องรอนาน” เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นมา ขณะที่นกั์ร่อนลงบนลานประลองเป็ตายด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อ ทุกคนต่างเห็นอย่างชัดเจนว่า นกั์ตัวนั้นก็คือ จิติญญานกเวหา ยามที่ปีกทั้งสองข้างสยายออกก็ทำให้มันดูคล้ายกับนกั์ในตำนาน และเ้าของจิติญญาตนนี้ก็เป็แค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีดวงตาแพรวพราวทรงเสน่ห์
“ยังหนุ่มมาก แค่จิติญญานกั์ก็แข็งแกร่งขนาดนี้ แล้วพลังของเขาจะแข็งแกร่งขนาดไหน?”
“เดี๋ยวก่อนนะ ข้าเคยได้ยินมาว่าจิติญญาแห่งนักรบของศิษย์หลักอันดับหนึ่งจากนิกายเฮ่าเยว่ ก็คือนกเวหา และจิติญญาตนนั้นก็สามารถบินบนท้องฟ้าได้ ทั้งยังแข็งแกร่งมากอีกด้วย หรือว่าคนคนนี้จะเป็...”
“ไม่ผิด ศิษย์หลักที่ว่าจะต้องเป็คุณชายท่านนี้แน่ๆ ช่างสมคำร่ำลือยิ่งนัก เคล็ดวิชาตัวเบาของเขาก็ล้ำเลิศ แถมยังมีจิติญญาที่สามารถพาคนอื่นบินไปไหนก็ได้” ผู้าุโคนหนึ่งของนิกายกล่าว ที่แท้คนคนนั้นก็คือศิษย์อันดับหนึ่งของนิกายเฮ่าเยว่ ฉู่จ่านเผิง เมื่อไม่นานมานี้นิกายหยุนไห่ได้รับจดหมายที่เขียนโดยฉู่จ่านเผิง ซึ่งเนื้อความในจดหมายได้เขียนว่า เขา้าพบศิษย์ชั้นยอดของนิกายหยุนไห่ และยังเจาะจงด้วยว่า จะต้องมาพบที่ลานประลองเป็ตาย ความหมายของมันก็ชัดเจนดีอยู่แล้ว ว่าชายคนนี้มาขอท้าประลองกับศิษย์ชั้นยอดของนิกายหยุนไห่
ทุกคนเรียกฉู่จ่านเผิงว่า ‘คุณชายต้าเผิง’ เขาเป็คนที่มีชื่อเสียงในอาณาจักรเสวี่ยเยว่มาก ทุกคนต่างรู้จักเขาในฐานะแปดคุณชายแห่งเสวี่ยเยว่ ซึ่งเขาอยู่ในลำดับที่ 6 ฉู่จ่านเผิงแข็งแกร่งมาก พูดได้เลยว่าในนิกายหยุนไห่ ไม่มีใครสามารถเป็คู่ต่อสู้ของเขาได้ แม้แต่หลิ้งหูเห่อซาน ด้วยเหตุนี้นิกายหยุนไห่จึงไม่เต็มใจที่จะให้ศิษย์ชั้นยอดของนิกายออกไปประลองกับฉู่จ่านเผิง แต่ทว่าเมื่อมีคนมาเคาะประตูถึงหน้าบ้านเพื่อท้าทาย ครั้นจะไม่ตอบตกลงก็ไม่ได้ ดังนั้นนิกายหยุนไห่จึงได้แต่พยักหน้ายอมรับ
“ท่านผู้าุโยกยอข้าเกินไปแล้ว ผู้หญิงคนนี้เป็ศิษย์น้องของข้า ชื่อหลินเชียน นางเพิ่งบรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาเมื่อไม่นานมานี้ ที่ข้ามาที่นี่ในครั้งนี้ก็เพราะศิษย์น้องของข้าได้ยินมาว่า ศิษย์ของนิกายหยุนไห่นั้นล้วนแข็งแกร่งและทรงพลัง ดังนั้นนางจึง้ามาที่นี่เพื่อเก็บเกี่ยวความรู้ ข้าหวังว่าท่านผู้าุโจะช่วยให้นางบรรลุจุดประสงค์ และเลือกศิษย์ที่ใกล้เคียงกับระดับการบ่มเพาะของนาง”
ฉู่จ่านเผิงแนะนำสาวงามที่อยู่ข้างเขา ใบหน้าหล่อเหลาคลี่ยิ้มจางๆ ออกมา
ม่อเสียลอบก่นด่าฉู่จ่านเผิงอยู่ในใจ ไอ้เด็กนี่ช่างโอหังยิ่งนัก ถึงขนาดบินข้ามฟ้ามาแบบนี้แสดงว่ามีการเตรียมพร้อมมาเป็อย่างดี แต่เนื่องจากอีกฝ่ายชิงยกยอปอปั้นนิกายหยุนไห่ก่อน ดังนั้นจึงได้แต่ตามน้ำไป
“เฉินซิง เ้าขึ้นไปแลกเปลี่ยนวรยุทธ์กับหลินเชียนซะ” เฉินซิง บรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาเมื่อสองเดือนที่แล้ว ก่อนที่เขาจะล้มคู่ต่อสู้ที่เป็ศิษย์สายในได้ ตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของเขาอยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 1 ถ้าเฉินซิงไม่สามารถเอาชนะหลินเชียนได้ คงไม่มีศิษย์ที่อยู่ในขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 1 คนไหนในนิกายสามารถเอาชนะนางได้
“ขอรับท่านาุโ” เฉินซิงพยักหน้า จากนั้นเขาก็เดินไปยังตรงกลางของลานประลอง ขณะที่หลินเชียนเดินขึ้นมาบนลานประลองในทิศตรงกันข้ามกับเขา
“ศิษย์น้อง ข้าจะลงมือแล้วนะ” เฉินซิงกล่าวขณะที่ปลดปล่อยจิติญญาของเขาออกมา ทันใดนั้นก็มีชั้นหินปกคลุมไปทั่วร่างของเขา ทำให้เขาดูคล้ายกับมนุษย์หินขนาดใหญ่
“นี่คือจิติญญาแห่งศิลาของศิษย์พี่เฉินซิง ไม่เพียงแต่มีความสามารถในการป้องกันที่ยอดเยี่ยม กระทั่งการโจมตีของเขาก็ยังทรงพลังมาก ศิษย์พี่เฉินซิงสามารถเอาชนะได้อย่างแน่นอน” เมื่อทุกคนเห็นเฉินซิงเรียกใช้จิติญญาแห่งศิลา ฉับพลันความเชื่อมั่นก็เพิ่มพูนขึ้นมา
ถึงแม้ว่าร่างของเฉินซิงจะถูกปกคลุมไปด้วยก้อนหินขนาดใหญ่เป็จำนวนมาก แต่ความเร็วของเขาก็ไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย เพียงพริบตาเดียวเขาก็ทะยานมาที่ด้านหน้าของหลินเชียน ก่อนจะปล่อยหมัดที่อัดแน่นไม่ด้วยก้อนหินั์ไปยังร่างอันบอบบางของหลินเชียน ฉากดังกล่าวทำให้หลายๆ คนอดไม่ได้ที่จะเป็ห่วงหลินเชียนขึ้นมา
“น้ำแข็ง” หลินเชียนพูดออกมาเบาๆ อากาศที่หนาวเย็นก็แพร่กระจายออกมาจากร่างของนาง ทันใดนั้นหมัดของเฉินซิงถูกแช่แข็งเอาไว้ ทำให้เฉินซิงรู้สึกว่าหมัดของเขาเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ จนดูเงอะงะ
ตอนนี้เองมือของหลินเชียนก็คว้ากำปั้นของเฉินซิงไว้ จากนั้นน้ำแข็งก็แผ่ปกคลุมไปทั่วแขนของเฉินซิง เพียงชั่วพริบตาก็ทำให้มือหินกลายเป็น้ำแข็งอีกครั้ง แม้แต่ร่างกายของเฉินซิงก็ถูกแช่แข็งไปด้วย
“จิติญญาน้ำแข็งช่างทรงพลังยิ่งนัก” ม่อเสียพึมพำอยู่ในใจ ทุกคนล้วนเกิดมาพร้อมกับจิติญญาแห่งนักรบ ถึงแม้ว่าจะมีจิติญญาแบบเดียวกัน แต่ถ้าหากถูกใช้โดยคนละคน พลังอำนาจที่ออกมาก็จะไม่เหมือนกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกี่ยวโยงกับเคล็ดวิชาที่ฝึกฝน ความแข็งแกร่งและพร์ของผู้ฝึก
แต่ม่อเสียก็ไม่ได้กังวลเกี่ยวกับตัวเฉินซิงเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่เฉินซิงใช้จิติญญาแห่งศิลา พลังป้องกันของเขาก็แข็งแกร่งขึ้น
“เพลิง” หลินเชียนพูดออกมาอีกครั้ง ทันใดนั้นเปลวเพลิงก็ลุกลามไปทั่วร่างของเฉินซิง เฉินซิงถูกแช่แข็งแล้วต้องมาโดนไฟเผาไปพร้อมๆ กัน ไม่ว่าพลังป้องกันจะดีแค่ไหนก็ไม่รอด ฉับพลันก้อนหินก็แตกร้าวขึ้นมา เฉินซิงร้องโหยหวนด้วยความเ็ป ก่อนที่ทุกคนจะเห็นร่างของเขากระเด็นออกไป
“น้ำแข็ง เพลิง” แววตาของม่อเสียเปล่งประกายแหลมคมขึ้นมา หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้น จิติญญาต้นกำเนิด นี่ต้องเป็จิติญญาต้นกำเนิดแน่ๆ
“ศิษย์น้องหลินเชียนแข็งแกร่งยิ่งนัก ข้าแพ้แล้ว” เฉินซิงก้มหัว จากนั้นเขาก็ถอยกลับไปอยู่ด้านหลังของม่อเสีย เหล่าฝูงชนก็โกลาหลขึ้นมา เขาแพ้ เขาพ่ายแพ้จริงๆ หรือนี่
นิกายหยุนไห่ได้เลือกศิษย์ที่ยอดเยี่ยมออกไปต่อสู้ แต่เขากลับพ่ายแพ้ไม่เป็ท่า ทุกคนรู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา
ฉู่จ่านเผิงยังคงยิ้มและกวาดสายตามองคนอื่นๆ ก่อนจะกล่าวว่า “หึๆ ศิษย์ที่นิกายหยุนไห่สุ่มเลือกมา มีความแข็งแกร่งแค่นี้? อ่า ช่าง... ธรรมดายิ่งนัก แต่ก็ไม่แปลกอะไร ศิษย์น้องของข้าคนนี้ แม้แต่ศิษย์ในนิกายเฮ่าเยว่ที่อยู่ในขอบเขตเดียวกัน ก็ยังหาคนชนะนางได้ยากเลย”
“ข้ามาที่นี่เดิมทีก็มีเจตนาที่อยากจะมาแลกเปลี่ยนวรยุทธ์กับศิษย์ชั้นยอดของนิกายหยุนไห่ แต่ยังมีอีกเื่ที่ข้าอยากจะขอให้ท่านผู้าุโช่วย ดังนั้นเื่แลกเปลี่ยนวรยุทธ์สามารถรอได้”
“เื่อะไร?” ม่อเสียถามด้วยสีหน้าแข็งทื่อ
“บุตรชายอารองของศิษย์น้องข้าที่ชื่อว่า หลินเฟิง ไร้ซึ่งสัมมาคารวะต่อผู้าุโ เขากล่าววาจาดูถูกบิดาของศิษย์น้องข้า มิหนำซ้ำยังทำร้ายลูกพี่ลูกน้องของตัวเองอย่างเหี้ยมโหด เขาเป็ศิษย์สายนอกของนิกายหยุนไห่ ข้าหวังว่าท่านผู้าุโจะส่งตัวเขามาให้ข้า ข้าไม่อยากให้นิกายหยุนไห่ต้องมาแปดเปื้อนเพราะศิษย์คนนี้”
เมื่อได้ฟังประโยคนี้ ม่อเสียก็เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างทันที นี่คือจุดประสงค์ที่แท้จริงของฉู่จ่านเผิง ฉู่จ่านเผิงรู้ว่าถ้าเขาบอกออกมาตรงๆ ว่า้าตัวศิษย์ของนิกายหยุนไห่ แน่นอนว่าจะต้องถูกปฏิเสธแน่ๆ และยังทำให้นิกายหยุนไห่เสียหน้าอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามฉู่จ่านเผิงฉลาดมาก เขาให้หลินเชียนมอบความพ่ายแพ้ให้กับศิษย์ที่โดดเด่นของนิกายหยุนไห่ แล้วค่อยพูดเื่นี้ออกมา
ถ้าหากม่อเสียไม่ยอมรับข้อเรียกร้องของฉู่จ่านเผิง เกรงว่าฉู่จ่านเผิงอาจจะไม่พูดดีเช่นนี้อีก
“ดูเหมือนว่าหลินเชียนจะมีความสำคัญต่อเขามาก ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มาที่นิกายหยุนไห่ด้วยเื่เล็กๆ แค่นี้ จิติญญาเพลิงน้ำแข็ง ความจริงแล้วมันก็ไม่เลวเหมือนกัน ช่างเถอะ อย่างไรเสียก็แค่ศิษย์สายนอกคนหนึ่ง นำตัวมาให้พวกเขาจัดการซะ จะได้รีบๆ กลับกันไป” ม่อเสียได้ตัดสินใจแล้ว และสั่งคนข้างๆ ว่า “ไปพาตัวหลินเฟิงมา”
เมื่อฉู่จ่านเผิงได้ยินที่ม่อเสียพูดก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจ ในขณะที่ดวงตาของหลินเชียนเปล่งประกายวาววับด้วยจิตสังหาร
หลินเฟิงยังไม่รู้ว่าที่หุบเขาเมฆพายุได้เกิดเื่แบบนี้ขึ้น
ตอนนี้เขาถูกคลื่นดาบจำนวนนับไม่ถ้วนล้อมรอบร่าง และคลื่นดาบเ่าั้ก็ทรงพลังมากพอที่จะสังหารเขาได้ทุกเมื่อ จิติญญาแห่งความมืดถูกปล่อยออกมา เพื่อทำให้ประสาทััทั้งห้าเฉียบคมขึ้น เคล็ดวิชาอัสนีกัมปนาทของหลินเฟิงได้รุดหน้าไปถึงจุดที่ไม่มีใครกล้าจินตนาการ ม่านดาบได้กลายเป็โล่แสง คอยปกป้องหลินเฟิงจากคลื่นดาบที่สะท้อนกลับมา เสียงฟ้าร้องผสานเสียงคลื่นดาบแหวกว่ายอยู่ในอากาศดังกระหึ่มออกมาอย่างต่อเนื่อง ฟังดูน่าหวาดกลัวยิ่ง
หลินเฟิงในตอนนี้ดูเหมือนคนไม่รักชีวิตของตัวเอง เขาโจมตีไปที่กลองจงกู่อย่างต่อเนื่องด้วยพลังทั้งหมด!!!
