ลั่วเสี่ยวซีเดินอย่างหงุดหงิดไปตลอดทาง
การเดินจ้ำๆๆ อย่างระบายอารมณ์แบบนี้ดูแปลกอยู่บ้าง แต่มันช่วยคลายความโกรธในใจได้เป็อย่างดี เธอหยุดเดินก่อนจะถอนหายใจยาว หยาดเหงื่อไหลลงมาเป็สาย
ลั่วเสี่ยวซีหยุดลงตรงหน้าสัญญาณไฟเพื่อรอข้ามถนน เธอหันกลับไปมองซูอี้เฉิงซึ่งเดินเว้นระยะจากเธอไม่ใกล้ไม่ไกล
เมื่อซูอี้เฉิงเดินเข้ามาใกล้เธอจึงถามเขาว่า
“รองเท้าราคาเท่าไร เดี๋ยวฉันจ่ายคืน”
“ไม่ต้อง” ซูอี้เฉิงตอบ “คิดซะว่าเป็การขอบคุณที่เธอเลี้ยงมื้อเที่ยงฉัน”
ลั่วเสี่ยวซีรู้ราคาของรองเท้ายี่ห้อนี่อยู่บ้าง กินข้าวสิบมื้อยังไม่เท่าราคาหนึ่งในสิบของรองเท้าคู่นี้เลย เธอยิ้มก่อนเอ่ย
“นายขาดทุนเยอะนะ”
แต่ซูอี้เฉิงไม่สนใจ เขายืนรอสัญญาณไฟอย่างเงียบๆ
จะว่าไป ครั้งสุดท้ายที่เขายืนรอสัญญาณไฟจราจรแบบนี้คือเมื่อไรกันนะ หลายปีมานี้เขายุ่งอยู่แต่กับงาน ทั้งเื่บริหารบริษัทและการตอบโต้ซูหงเยวี่ยน ทำให้ไม่มีเวลาว่างมาเดินริมถนนรอไฟเขียวแบบนี้
กว่าสิบวินาทีต่อมา สัญญาณไฟก็เปลี่ยนเป็สีเขียว ลั่วเสี่ยวซีก้าวเท้าออกไปทันที แต่หลังก้าวไปได้เพียงก้าวเดียว เธอก็สังเกตเห็นรถมอเตอร์ไซด์ไฟฟ้าที่กำลังเลี้ยวมาจากถนนด้านหลัง ซึ่งตอนนี้ขับตรงมาทางเธออย่างรวดเร็ว
คนขับกดแตรไม่ยั้งอย่างใ ลั่วเสี่ยวซีช็อกไปจนขยับตัวไม่ออก
ทำไงดี? ทำไงดี? เธอจะโดนรถชนแบบนี้ไม่ได้นะ พรุ่งนี้เธอต้องไปถ่ายแบบ!
ซูอี้เฉิงส่งเสียงเรียกเธอ แต่เธอไม่ขยับเขยื้อน เขาวิ่งตรงเข้าไปก่อนจะลากลั่วเสี่ยวซีกลับมาบนทางเท้า วินาทีต่อมารถมอเตอร์ไซด์คันนั้นก็ขับผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ถ้าลั่วเสี่ยวซียังยืนอยู่ที่เดิม มีหวังโดนชนเข้าเต็มๆ
ลั่วเสี่ยวซีเพิ่งเรียกสติกลับคืนมาได้ เธอใจนใจสั่นไปหมด ความหวาดกลัวทำให้เธอชาไปทั้งตัว
ซูอี้เฉิงกลัวว่าเธอจะโดนรถเฉี่ยวเข้า จึงมองอย่างสำรวจ และพบว่าเธอไม่ได้รับาเ็ตรงไหน
เขาพูดต่อว่าด้วยความโมโห “ลั่วเสี่ยวซี เวลาเดินเธอมัวแต่มองอะไรอยู่!”
“ก็มองถนนไง” ลั่วเสี่ยวซียักไหล่ “ใครจะไปรู้ว่าจะมีรถขับมาจากด้านหลังเล่า”
เธอมักจะเป็แบบนี้ หาข้ออ้างได้ตลอด แถมยังทำท่าเหมือนตัวเองไม่ได้ทำผิดอะไร
ซูอี้เฉิงไม่อยากทะเลาะกับเธอให้มากความ เขาจูงเธอเดินเข้าทางม้าลายไป
สัญญาณไฟสีเขียวเริ่มกะพริบเพื่อเตือนคนข้ามถนน สิบเก้า...สิบแปด...สิบเจ็ด...
ลั่วเสี่ยวซีจับมือของซูอี้เฉิงพลางคิดว่า ถ้าเธอมีเวทมนตร์ก็คงดี เธอจะทำให้เวลาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากสิบเก้าเป็ยี่สิบ...ยี่สิบเอ็ด...เธอจะเสกให้ทางม้าลายยาวจนไม่มีที่สิ้นสุด แบบนี้ซูอี้เฉิงจะได้ไม่ปล่อยมือจากเธอ
แต่ถึงอย่างไรเธอก็เป็เพียงมนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีมนตร์วิเศษใดๆ ฉะนั้นเมื่อข้ามมาถึงฝั่งตรงข้าม เธอจึงปล่อยมือจากเขา
สิบกว่าปีที่ผ่านมา ซูอี้เฉิงสะบัดมือเธอมานับครั้งไม่ถ้วน เธอเกลียดความรู้สึกนั้นจึงเป็ฝ่ายปล่อยมือจากเขาก่อน มันทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองเป็คนทิ้งเขา ซึ่งช่วยปลอบใจเธอได้บ้าง เธอเป็คนฉลาดใช่ไหมล่ะ
หลังเดินไปอีกสักระยะ ลั่วเสี่ยวซีก็เห็นร้านขายอุปกรณ์ออกกำลังกาย
สองวันมานี้เธอกินเยอะจนรู้สึกผิดต่อตัวเอง ถ้าได้ออกกำลังกายสักนิดคงรู้สึกดีขึ้นแน่ๆ!
ลั่วเสี่ยวซีเดินเข้าไปในร้านอย่างกระตือรือร้น เ้าของร้านรูปร่างแข็งแรงกำยำเดินเข้ามาต้อนรับ
“คนสวย สนใจจะซื้ออุปกรณ์ออกกำลังกายเหรอครับ” เขาพูดพลางมองสำรวจเรือนร่างของลั่วเสี่ยวซี ก่อนจะชูนิ้วโป้งขึ้นมา “ไม่เลวนะครับเนี่ย ชอบไปฟิตเนสเหรอครับ”
“ฉันอยากซื้อเครื่องวิ่งน่ะค่ะ” ลั่วเสี่ยวซีหลีกเลี่ยงการเข้าหาของชายหนุ่มตรงหน้าด้วยการชี้แจงจุดประสงค์ของตน
“เชิญทางนี้เลยครับ” เ้าของร้านนำทางลั่วเสี่ยวซีไปยังโซนเครื่องวิ่งที่อยู่มุมห้อง ก่อนจะให้คำแนะนำอย่างละเอียด และจบประโยคด้วยคำว่า “ถ้าเลือกได้แล้วบอกผมนะครับ เดี๋ยวลดให้พิเศษเลย สามสิบเปอร์เช็นต์”
“่นี้ที่ร้านจัดโปรโมชั่นเหรอคะ” ลั่วเสี่ยวซีถามอย่างสนใจ
เ้าของร้านส่ายหน้า “เปล่าเหรอครับ แต่เห็นสาวสวยที่รักการออกกำลังกายแบบคุณแล้ว ผมยินดีลดให้เป็กรณีพิเศษน่ะครับ”
คำพูดหวานเลี่ยนแบบนี้เธอเจอมาเยอะแล้ว เธอยิ้มเล็กน้อยก่อนจะชี้ไปยังเครื่องวิ่งเครื่องหนึ่ง
“เครื่องนี้ค่ะ จ่ายบัตรนะคะ”
“ได้เลยครับ” เ้าของร้านพาเธอไปยังแคชเชียร์ “เดี๋ยวอีกสักครู่ผมจะนำมันไปส่งที่บ้านของคุณด้วยตัวเอง รบกวนเขียนที่อยู่กับเบอร์โทรศัพท์ให้หน่อยครับ ผมจะได้ติดต่อพนักงานส่งของเลย”
ถ้าเมื่อกี้ยังชัดเจนไม่พอ คำพูดนี้ของเขาก็คงชัดเจนแล้วว่าเขา้าอะไร
ขณะที่ลั่วเสี่ยวซีกำลังลังเลว่าจะเขียนข้อมูลของตัวเองลงไปดีหรือไม่ ซูอี้เฉิงก็ปรากฏตัวขึ้น เขาหยิบใบส่งของจากมือเ้าของร้านก่อนจะกรอกข้อมูลลงไป
“...” ลั่วเสี่ยวซีนิ่งอึ้งไป
เขียนไปเขียนมา จู่ๆ ซูอี้เฉิงก็ชะงัก เขาหันมามองลั่วเสี่ยวซี
“บ้านของเราอยู่ตึกที่เท่าไรนะ”
บะ บ้านของเรา? บ้านของเราอะไรกัน!
ลั่วเสี่ยวซีคิดอย่างสับสนอยู่สักพักก่อนตอบ
“ตึกหนึ่ง”
“อืม” ซูอี้เฉิงตอบรับก่อนจะยื่นเอกสารให้เ้าของร้าน “จะไปส่งที่บ้านของพวกเรากี่โมงครับ”
ความมั่นใจเมื่อครู่ของชายร่างกำยำตรงหน้าถึงกับสูญสิ้น เขามองที่อยู่ก่อนตอบว่า
“ใกล้ขนาดนี้ ภายในหนึ่งชั่วโมงก็คงถึง”
“ขอบคุณ”
ซูอี้เฉิงรับใบเสร็จกับใบส่งสินค้ามา ก่อนจะจูงมือลั่วเสี่ยวซีเดินออกจากร้านไป
ลั่วเสี่ยวซีรู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน เธอปล่อยให้ซูอี้เฉิงจูงมือเดินไปเรื่อยๆ อยู่นานกว่าจะได้สติ
“ซูอี้เฉิง เมื่อกี้นายหมายความว่าไง”
ซูอี้เฉิงไม่ตอบ แถมยังมองลั่วเสี่ยวซีด้วยสายตาเย็นเยียบ
“เธอช่วยใช้สมองหน่อยได้ไหม ผู้ชายคนเมื่อกี้คิดจะทำอะไรเธอไม่รู้หรือไง!?”
“เขาก็อยากไปหาฉันที่บ้านมีอะไรกับฉันน่ะสิ ฉันรู้” ลั่วเสี่ยวซีเคยเจอผู้ชายพวกนี้มาเยอะแล้วมีหรือจะไม่เข้าใจ “แต่นายมีสิทธิ์อะไรมายุ่งเื่ของฉัน”
ซูอี้เฉิงโมโห “ถ้าฉันไม่ยุ่ง เธอคงเขียนเบอร์โทรลงไปแล้วใช่ไหม”
แน่นอนว่าไม่ เธอคงเขียนเบอร์ประชาสัมพันธ์ที่ชั้นล่างลงไป พรุ่งนี้เธอจะได้เข้าวงการนางแบบเต็มตัวแล้ว เบอร์มือถือของเธอต้องเป็ความลับถึงจะถูก!
แต่เธอไม่คิดจะบอกความจริงกับซูอี้เฉิงหรอก
“ถ้าใช่แล้วจะทำไม” เธอเชิดหน้าก่อนตอบซูอี้เฉิง “นายไม่ให้โอกาสฉันไม่พอ ยังจะมาขวางไม่ให้ฉันให้โอกาสคนอื่นอีกงั้นเหรอ?”
โอกาสที่เธอจะให้กับคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกคืออะไร?
ซูอี้เฉิงกัดฟันกรอด ก่อนจะพูดชื่อเธออย่างโมโห
“ลั่วเสี่ยวซี!”
ลั่วเสี่ยวซีเลิกคิ้วอย่างเท่ๆ “ทำไม?”
ซูอี้เฉิงเดือดถึงขีดสุด เขาจับลั่วเสี่ยวซีดันชิดกับต้นไม้
พวกเขาเดินมาถึงบริเวณสวนของอพาร์ทเมนท์แล้ว ตอนนี้ที่นี่ไม่มีใครอื่น มีเพียงแสงไฟริมทางหลากสีที่ส่องขึ้นมาจากบนพื้น บรรยากาศมืดมิดดูเป็ใจ
ลั่วเสี่ยวซีก่นด่าละครน้ำเน่าตามทีวีในใจอีกครั้ง ดันชิดผนังกดลงเตียงอะไรนั่นเวลาถ่ายทำออกมาดูสวยชวนฝัน แต่เธอกลับโดนดันชิด...ต้นไม้เนี่ยนะ นี่มันเื่อะไรกัน?
บ้าชะมัด ไม่เห็นโรแมนติกสักนิด!
คิดได้ดังนั้นลั่วเสี่ยวซีจึงผลักซูอี้เฉิง แต่เมื่อเธอแตะตัวเขา ซูอี้เฉิงก็ก้มลงมาปิดปากเธอในทันที
ลั่วเสี่ยวซีรู้สึกเหมือนโดนไฟช็อต เธอขยับตัวไปไหนไม่ได้ไปชั่วขณะ
ครั้งที่สองแล้ว นี่เป็ครั้งที่สองที่เขาจูบเธอก่อน
ครั้งที่แล้วคือเมื่อตอนงานเลี้ยงครบรอบของเครือลู่ จู่ๆ เขาก็จูบเธอ เธอเลยตบหน้าเขาไปหนึ่งฉาด
ครั้งนี้เขาไม่ได้ดูไร้เหตุผลแบบคราวก่อน แถมเธอก็มีสติดีทุกอย่าง เธอนึกไปถึงคำพูดทีู่เี่อันพูดไว้ว่า ซูอี้เฉิงรู้สึกอะไรกับเธอ
ความยินดีเข้ามาในจิตใจ ลั่วเสี่ยวซียกมือจับเสื้อของซูอี้เฉิงไว้
ซูอี้เฉิงไม่ได้จูบอย่างบ้าคลั่งป่าเถื่อนเหมือนคราวก่อน เขากอดเธอพลางพรมจูบแ่เบาราวกับรักเธอมากอย่างไรอย่างนั้น
ลั่วเสี่ยวซีรอคอยจูบนี้ของเขามาหลายปี รอจนเธอต้องเข้าไปจูบเขาก่อน
เดิมทีเธอนึกว่าวันนี้คงมาไม่ถึง เธอนึกว่าคำพูดติดปากของเธอที่ว่า ‘สักวันซูอี้เฉิงจะกลายมาเป็แฟนฉัน’ จะเป็ได้แค่คำพูดตลอดไป เธอคงต้องตามตื๊อเขาไปตลอดชีวิต
แต่ตอนนี้เขากำลังจูบเธอ!
ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงจนได้!
ลั่วเสี่ยวซีลองจูบตอบ การจูบที่อ่อนหัดทำให้เธอเผลอกัดริมฝีปากของเขา บ้างก็เกือบกัดโดนลิ้นของเขา
แต่น่าแปลกที่ซูอี้เฉิงไม่โกรธสักนิด ั้แ่เธอรู้จักเขามา เขาไม่เคยเป็คนว่าง่ายขนาดนี้นี่
การที่เธออ่อนหัดแบบนี้มันแสดงให้เห็นว่าเธอไม่ได้จูบกับใครมามากมายขนาดนั้น ซูอี้เฉิงคิดอย่างดีใจ แล้วทำไมเขาต้องโกรธด้วยล่ะ?
จู่ๆ ตัวเองก็เข้าไปจูบลั่วเสี่ยวซี เื่นี้ซูอี้เฉิงก็ใไม่น้อย แต่ไหนๆ ก็จูบแล้ว ถ้าเขาผลักเธอออกคงดูไม่เป็สุภาพบุรุษเท่าไร อีกอย่าง ใจเขาก็ไม่อยากปล่อยเธอไป
ว่าแล้วซูอี้เฉิงก็เริ่มจูบอย่างหนักหน่วงจนริมฝีปากของลั่วเสี่ยวซีเริ่มเจ็บขึ้นมา เขายังรัดเธอไว้แน่นจนเธอแทบขยับตัวไม่ได้
“อื้อ ซูอี้เฉิง...” เธอร้องประท้วง “เจ็บ”
ซูอี้เฉิงผ่อนแรงก่อนจะจูบเธอช้าๆ ราวกับไม่อยากจากไปไหน และปล่อยตัวเธอในที่สุด
ลั่วเสี่ยวซีผู้กล้าเผชิญหน้ากับการจีบทุกรูปแบบของชายหนุ่ม เวลานี้กลับหน้าแดงก่ำอย่างหาได้ยาก นี่เป็ครั้งแรกที่เธอโดน ‘รังแก’ ทว่ากลับไม่กล้าสู้หน้าคนคนนั้น
สิงโตสาวผู้เก่งกล้ากลับกลายเป็กระต่ายน้อยสีขาวในพริบตา
“เสี่ยวซี” ซูอี้เฉิงประคองหน้าเธอให้หันมามองเขา
“ถ้าเธอเชื่อฟังฉันมากกว่านี้ เื่ของพวกเรา...ไม่ใช่ว่าจะเป็ไปไม่ได้”
เวลาเขาถูกใจใคร เขามักจะลงมือคว้ามาในทันที มีเพียงลั่วเสี่ยวซีที่เขาลังเลใจมานาน
แต่จากนิสัยของเธอ หากเขายังลังเลไปมากกว่านี้ ข้างกายเธอคงมี “เพื่อนชายคนสนิท” โผล่ออกมาไม่หยุดหย่อน เมื่อก่อนเวลาเห็นเธอคุยเล่นกับผู้ชายพวกนั้นเขาก็แค่เบือนสายหนี ตอนนี้เขารู้แล้วว่า ที่จริงเขาไม่ได้รำคาญ แต่กำลังอิจฉาอยู่ต่างหาก
ตอนที่เ้าของร้านบอกให้เธอเขียนที่อยู่กับเบอร์โทรทิ้งไว้ บอกว่าวันนี้จะไปส่งของถึงที่บ้าน การกระทำที่ชัดเจนขนาดนั้น เธอกลับยิ้มออกมาได้ วินาทีนั้นเขาอยากจะพุ่งเข้าไปต่อยผู้ชายคนนั้นสักหมัด
เขาไม่ใช่คนมีวิชาติดตัวอะไร เขาคิดมาโดยตลอดว่าการใช้ความรุนแรงไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น ถึงมันจะเป็วิธีระบายความโกรธที่ดีที่สุดก็ตาม แต่ตอนนั้นในใจเขากลายเป็คนป่าเถื่อนขึ้นมาจริงๆ
เขาเพิ่งรู้สึกถึงความอิจฉาที่ทำให้เขาแทบคลั่งเป็ครั้งแรก
ในเมื่อเขาไม่อยากให้ข้างกายลั่วเสี่ยวซีมีผู้ชายโผล่มาอีก วิธีที่ง่ายและได้ผลที่สุดคือการเอาเธอมาอยู่ข้างกายซะ เขาเลยบอกเธอว่าเื่ของเราเป็ไปได้
แต่ทำไมเขาไม่สารภาพรักกับเธอไปล่ะ?
เขามีแฟนมาแล้วหลายคน แต่เขาไม่เคยพูดกับผู้หญิงคนไหนเลยว่าเขาชอบเธอ ไม่ต้องพูดถึงคำพูดที่ลึกซึ้งไปกว่านั้น
เขามักจะถามผู้หญิงเ่าั้ว่า จะยอมเป็แฟนกับเขาไหม?
แฟนสาวที่มีไว้ไปดูหนังกินข้าวด้วยกัน แฟนที่ไม่พูดถึงเื่ลูกหรือเื่อนาคต ด้วยเหตุนี้เขาจึงมักจะพาพวกเธอไปที่โรงแรม ไม่ใช่ที่บ้าน
แล้วทำไมวันนี้เขาถึงบอกลั่วเสี่ยวซีไปแบบนั้นกันนะ เขาบอกเธอว่าระหว่างเรามีความเป็ไปได้
หรือว่า สำหรับเขาแล้วเธอแตกต่างจากผู้หญิงคนอื่นๆ ที่ผ่านมา?
