ตำหนักบรรทมของอวี๋เคอไม่ได้ตกแต่งอย่างหรูหรามากเท่าไรนัก ทว่าโทนสีที่ใช้กลับดูแปลกตาอย่างยิ่ง คือใช้สีแดงดำมาตกแต่งได้อย่างประหลาดจนน่าใ โทนสีแดงที่ใช้นั้นมีหลายระดับแตกต่างกันออกไปซึ่งกระจายอยู่ทั่วทั้งห้อง ไม่ว่าจะเป็สีอ่อนหรือเข้มก็สามารถทำให้คนธรรมดาๆ มองแล้วรู้สึกแสบตาได้ เมื่อเดินเข้าไปภายในตำหนักก็จะเจอเตียงหินสีดำมืดเตียงหนึ่ง พื้นผิวดูไม่ค่อยเรียบเท่าไรนัก แต่จากที่ประเมินแล้วคงจะเย็นน่าดู
บริเวณรอบเตียงนั้นมีผ้าม่านสีแดงสดกั้นอยู่ ผมไม่ได้ล้อเล่น มันเป็สีแดงสดซึ่งคล้ายกับสีเืเลยจริงๆ ตอนผมได้เห็นพลันรู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างทันที
หรือเป็เพราะนิสัยที่ชอบฆ่าคนจึงต้องตกแต่งให้ทั้งตำหนักบรรทมมีลักษณะเป็แบบนี้?
ตอนนี้ผมสั่งให้กู้จิ่นเฉิงออกไปแล้ว ถึงค่อยมาเปิดม่านและนั่งลงบนเตียง วางมือัักับเตียงหินที่เย็นเยือก ความหนาวเย็นส่งผ่านฝ่ามือไปจนถึงกระดูก ภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเบลอ ตัวก็เริ่มสั่นขึ้นมาทันที พูดไปก็ช่างน่าหัวเราะ ท่าทางตัวสั่นแบบนี้ดูไม่สมควรที่จะเป็อวี๋เคอซึ่งมีพลังแข็งแกร่งจะสามารถแสดงออกมาได้ แต่ว่าผมทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
อย่างไรเสียภาพเหตุการณ์ที่ผมเพิ่งได้เห็นมาเมื่อสักครู่นี้ หากปรากฏอยู่ตรงหน้าใครก็ตามที่ใช้ชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดซึ่งมีชีวิตที่สุขสบาย ทั้งหมดนั่นก็เพียงพอที่จะทำให้คนที่ได้เห็นรู้สึกขนลุกขนพองได้เช่นกัน
นั่นคือการฆ่า การฆ่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด มีศพคนตายเกลื่อนไปทุกพื้นที่ ผู้คนถูกฆ่าตายเป็จำนวนมาก...
พื้นเพของนิยายเื่นี้เดิมทีควรจะเป็าครั้งใหญ่ระหว่างเซียนและปีศาจ ฝั่งปีศาจซึ่งเป็ฝ่ายตัวร้ายเที่ยวเข่นฆ่ามนุษย์ธรรมดาๆ ที่กำลังบำเพ็ญเพียรเป็เซียน จนในที่สุดผู้บำเพ็ญตนเป็เซียนที่มีพลังแข็งแกร่งต้องยอมสละชีวิตของตนเองขุดแม่น้ำแห่ง์ [1] เพื่อขัดขวางเผ่าปีศาจ ทว่าภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏในหัวผมเมื่อสักครู่นี้กลับแตกต่างไปจากเดิม
ภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏขึ้นในหัวผมเป็ภาพของผู้บำเพ็ญตนเป็เซียนที่งดงามได้สังเกตถึงสติปัญญาและรากฐานของเผ่าปีศาจ จึงเป็ฝ่ายที่ชิงก่อาขึ้นมาก่อน หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็เริ่มเข้าต่อสู้กัน ความขัดแย้งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และทำให้าลุกลามไปทั่วทั้งทวีป สุดท้ายแล้วเมื่อานั้นมีความรุนแรงมากเกินไป จนส่งผลให้มีพลังที่สามารถทำลายล้างโลกได้ ผู้เข้าร่วมาจากทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันกินระยะเวลานานหลายสิบวัน สุดท้ายก็เสียชีวิตทั้งสองฝ่าย
ส่วนบริเวณที่พวกเขาใช้เป็สนามรบต่อสู้กันนั้นเกิดการพังทลายลงมาอย่างรุนแรง หุบเขาที่มีความยาวไม่น้อยกว่าหนึ่งแสนลี้ [2] ขยายออกสู่ใจกลางทวีป รวมถึงฝนที่ตกหนักหลังจากนั้นเป็เวลาถึงสามปี มีส่วนทำให้แม่น้ำแห่ง์มีความยาวถึงหนึ่งแสนลี้ในปัจจุบัน
ใบหน้าของคนทั้งสองที่ต่อสู้กันอยู่นั้นช่างเลือนราง คนหนึ่งสวมชุดสีแดงราวกับไฟ ส่วนอีกคนหนึ่งสวมชุดคลุมสีขาวราวกับนักล่า
เมื่อมาลองคิดดูแล้วมันคงเป็การดำรงอยู่ของพลังอันยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครเทียบได้ เพียงแต่ว่าผมกลับไม่มีภาพความทรงจำถึงสองคนนี้เท่าไรนัก ตอนแรกที่ผมเริ่มเขียนนิยายนั้น เหตุการณ์ใน่เวลานี้ก็แค่ถูกผมใช้เป็การแนะนำภูมิหลังเท่านั้น ไม่ได้เจาะลึกลงรายละเอียดมากนัก ฉะนั้นพวกเขาเป็ใครกันแน่? มีความเกี่ยวข้องอย่างไรผมก็ไม่รู้
การที่ไม่รู้อะไรเลยนั้นมันทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัดเป็อย่างยิ่ง ผมรู้สึกไม่ดีเล็กน้อย ดูเหมือนว่าจำเป็จะต้องตรวจสอบเื่ราวสักหน่อยแล้ว จึงก้มศีรษะลงมองไปยังเตียงหินสีดำมืดที่แผ่ไอเย็นออกมาซึ่งอยู่ใต้ก้นที่ผมกำลังนั่งอยู่ กระตุ้นดวงจิตให้อยากเข้าไปสำรวจด้านใน
ดวงจิตไร้ซึ่งรูปร่างปกคลุมลงบนเตียงหินแล้วทะลุเข้าไปด้านในอย่างช้าๆ ความหนาแน่นของพื้นผิวเตียงหินนั้นไม่สูงมากเท่าไรนัก ดวงจิตของผมเลื่อนผ่านตามซอกและช่องว่างทั้งหมด ตรวจสอบด้วยความระมัดระวัง
เมื่อดวงจิตเข้าไปลึกมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจที่ได้พบจารึกซึ่งดูซับซ้อนและมีรายละเอียดมากเหล่านี้อยู่ภายในช่องว่างและตามซอกเล็กๆ ส่วนที่เขียนไว้นั้นมีความหมายว่าอย่างไร ผมไม่เข้าใจเลย...
บางทีหากเปลี่ยนเป็อวี๋เคอตัวจริงอาจจะเข้าใจก็ได้ ทว่าตอนนี้ผมไม่มีความทรงจำของอวี๋เคอเลยแม้แต่น้อย การใช้ดวงจิตยังคงต้องอาศัยสัญชาตญาณของร่างนี้ประคองเอาไว้ ผมยังถือว่าเป็มือใหม่ของโลกแห่งผู้บำเพ็ญตนอย่างแท้จริง
เพียงแต่ว่าในฐานะนักเขียนที่เชี่ยวชาญในด้านการคิดเชื่อมโยงแล้ว ผมรู้ว่าเตียงหินสีดำนี้จะต้องเก็บซ่อนความลับเกี่ยวกับตัวตนของอวี๋เคอเอาไว้อย่างแน่นอน สุดยอดจอมวายร้ายที่ยากจะสั่นคลอนการดำรงอยู่ในโลกแห่งผู้บำเพ็ญตนนี้จะต้องไม่ใช่อะไรเรียบง่ายตามที่ผมเขียนเอาไว้แน่
โลกใบนี้แท้จริงแล้วเป็อย่างไรกันแน่ ผมคงจะต้องค่อยๆ สำรวจและค้นหาไปทีละน้อย ช่างน่าสับสนและปวดหัวมากจริงๆ
ดวงจิตของผมยังคงสำรวจภายในอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะค่อยๆ เห็นลำแสงจางๆ เล็กน้อย เป็แสงสีเขียวสดใสส่องสว่าง ผมรีบนำดวงจิตไปยังสถานที่แห่งนั้น แต่ไม่คิดเลยว่าเพิ่งจะแตะลงไปกลับถูกดีดออกมาอย่างรุนแรง
ในหัวสมองเกิดความงุนงงขึ้นมาทันที รู้สึกว่างเปล่าไปชั่วขณะ กว่าจะตั้งสติกลับมาได้ก็ใช้เวลานานอยู่เหมือนกัน
บ้าเอ้ย! เตียงหินนี่มันคืออะไรกันแน่? หากเทียบจากการบำเพ็ญเพียรและความแข็งแกร่งจากร่างกายของผมนั้น โดยพื้นฐานแล้วเป็เื่ยากที่จะพบคู่ต่อสู้ในทวีปแห่งการบำเพ็ญตนในปัจจุบัน ส่วนระดับความแข็งแกร่งของดวงจิตนั้นไม่ต้องคิดก็รู้แล้ว ทว่าตอนนี้กลับถูกเ้าเตียงหินเล็กๆ นี่ผลักจนกระเด็นออกมาได้อย่างง่ายดาย!
นี่ๆๆ มันช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ ! หากว่าของสิ่งนี้มีความสามารถในการโจมตีเล่า ถ้าเป็เช่นนั้นเมื่อสักครู่นี้ผมคงต้องได้รับาเ็อย่างแน่นอน แต่แรงปะทะของมันก็ยังถือว่าอ่อนโยน ไม่ได้ถือเป็การลอบจู่โจม...
ผมรีบลุกขึ้นยืนทันที แล้วเดินออกห่างจากเตียงหินมาประมาณสามถึงสี่ก้าว จ้องมองสิ่งของดำมืดสิ่งนี้อยู่เป็เวลาเนิ่นนานโดยไร้คำพูดใดๆ จะทำอย่างไรดีจู่ๆ ก็ไม่อยากนอนบนเตียงนี้โดยไม่ทราบเหตุผลขึ้นมาเสียแล้ว?
ผมคิดเช่นนี้ แล้วมองไปรอบๆ ทว่ากลับไม่พบที่ที่จะสามารถนอนได้ กระทั่งเตียงเล็กๆ ที่มีไว้สำหรับพักผ่อนก็ยังไม่มี เห็นได้ชัดว่าอวี๋เคอจะต้องนอนบนเ้าก้อนหินนี่ทุกคืนเป็แน่
“เหตุใดนายท่านจึงยังไม่พักผ่อน? มีเื่อะไรในใจหรือไม่ขอรับ? ”
“! ให้ตาย... เถอะ...” ผมเดินวนรอบตำหนักบรรทมอย่างกระวนกระวาย หลังจากที่เดินวนไปวนมาประมาณสี่ห้ารอบแล้ว ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกู้จิ่นเฉิงร้องถามขึ้น ทำให้ผมใจนเกือบจะะโด่าออกไปแล้ว โชคยังดีที่เก็บคำพูดกลับมาได้ทันเวลาจึงสามารถรักษาหน้าเอาไว้ได้...
“เมื่อครู่นี้ข้าสั่งให้เ้าออกไปแล้วไม่ใช่หรือ?! เ้าฟังไม่รู้เื่หรืออย่างไร? ” หากเป็ผู้ที่มีสายตาเฉียบแหลมก็คงจะมองออกว่าผมไม่มีความมั่นใจมากพอ จนต้องลอบกลืนน้ำลายอย่างเงียบๆ หวังเป็อย่างยิ่งว่ากู้จิ่นเฉิงจะไม่เห็นและไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
แต่เมื่อผมพบว่ากู้จิ่นเฉิงไม่ได้แสดงท่าทีสงสัยอะไรจริงๆ และสีหน้าเขายังเป็ปกติอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นผมกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติ
“ผู้น้อยสมควรตาย” คนที่อยู่ตรงหน้าพอได้ยินผมตำหนิเสียงดัง ก็แทบจะคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้นด้วยความเร็วสูงสุด เผยให้เห็นหลังคอที่ดูเปราะบางซึ่งอยู่ตรงหน้าของผม ลักษณะท่าทางดูเหมือนผู้กล้าเดนตายผู้ซื่อสัตย์ที่เมื่อทำผิดแล้วยอมให้ผมลงโทษ
สถานการณ์ตรงหน้าหยุดนิ่งอยู่เป็เวลานาน จนผมค่อยๆ ปรับอารมณ์ได้ แล้วมองไปยังเตียงสีดำที่มืดมิดนั่นอีกครั้ง จ้องมองอยู่นาน สุดท้ายจึงทำได้แค่ยอมรับว่ากู้จิ่นเฉิงมาถูกเวลาพอดี “จิ่นเฉิง เ้าเงยหน้าขึ้นดูสิว่าบนเตียงนี้มีสิ่งใดขาดหายไปหรือไม่? ”
กู้จิ่นเฉิงเงยหน้าขึ้นอย่างเชื่อฟัง ใบหน้ายังคงนิ่งเฉยราวกับไม่เกรงกลัวต่อความตาย เขาจ้องไปที่ก้อนหินสีดำครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ผู้น้อยเข้าใจแล้วขอรับ”
...
ในตอนกลางคืนเช่นนี้ เมื่อได้นอนลงบนเตียงหินที่มีผ้าห่มอันล้ำค่าและอ่อนนุ่มหนาหลายชั้นนั้น ทำให้ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอก เป็ครั้งแรกที่รู้สึกถึงความอบอุ่นเล็กน้อยบนโลกที่อันตรายใบนี้
กู้จิ่นเฉิงช่างเป็เทวดาตัวน้อยตามชื่อเสียงสมจริงดังคำเล่าลือ
......
เชิงอรรถ
[1] แม่น้ำแห่ง์ เป็ชื่อเรียกของทางช้างเผือก
[2] ลี้ เป็หน่วยวัดระยะทางของจีน เท่ากับ 0.5 กิโลเมตร