เช้าตรู่ วันรุ่งขึ้น
หลังจากนอนหลับอย่างสบายใจหนึ่งคืน เมื่อเฉียวรุ่ยลืมตาตื่นขึ้นมา เขาพบว่าข้างกายไม่มีเงาของหลิ่วเทียนฉีแล้ว
“เทียนฉี...” เฉียวรุ่ยร้องเรียกเบาๆ ลนลานปีนลงมาจากเตียง รีบร้อนสวมรองเท้าแล้วเดินออกจากห้อง
เมื่อมาถึงในลาน เห็นหลิ่วเทียนฉีนั่งอยู่บนม้านั่งหินกำลังจัดวางหม้อใบเล็กอยู่ เฉียวรุ่ยถึงเดินเข้าไปหาช้าๆ
“เทียนฉี...” พอเดินไปอยู่ข้างกายก็เรียกเสียงแ่
หลิ่วเทียนผินหน้ามองด้วยรอยยิ้ม “ตื่นแล้วหรือ ข้าต้มข้าวต้มเนื้อไว้ อีกเดี๋ยวก็กินได้แล้ว!”
“อื้อ!” เฉียวรุ่ยพยักหน้าอย่างมีความสุข เห็นคนรักตื่นเช้ามาต้มข้าวต้มให้ตนเช่นนี้ ก้นบึ้งหัวใจพลันหวานละมุน
“ฮ่าๆๆ...” หลิ่วเทียนฉีจ้องใบหน้ายิ้มแย้มของคนรักแล้วกางแขนโอบอีกฝ่าย
กลายเป็เฉียวรุ่ยนั่งอยู่บนตักของบุรุษ เห็นอย่างนั้นใบหน้าน้อยยิ่งแดง เขามองริมฝีปากของอีกฝ่ายที่ขยับเข้ามาใกล้จึงรีบยกมือห้าม
“อย่า ข้ายังไม่ได้ล้างหน้าเลยนะ!”
ได้ยินเข้า หลิ่วเทียนฉียิ้มอย่างจนใจ หยิบยันต์ขจัดสิ่งสกปรกแผ่นหนึ่งออกมาแปะไว้กลางหน้าอกของเฉียวรุ่ยในทันที
“อ๊ะ?” เห็นยันต์บนหน้าอกตนค่อยๆ เปลี่ยนเป็สีดำแล้วหล่นลงพื้นสลายเป็ขี้เถ้า เฉียวรุ่ยกะพริบตาเล็กน้อย
“ตอนนี้สะอาดแล้วล่ะ!” หลิ่วเทียนฉีพูดพลางจูบริมฝีปากคนรักอย่างรวดเร็ว
“แค่จูบ เ้าถึงกับใช้ยันต์ขั้นสองแผ่นหนึ่งเชียวหรือ เ้าไม่รู้หรือไงว่ายันต์แผ่นนี้ขายได้สี่ห้าร้อยศิลาทิพย์เชียวนะ?” เฉียวรุ่ยถลึงตามอง ใบหน้าฮึดฮัดตั้งคำถามกับอีกฝ่าย
ได้ยินเช่นนั้น หลิ่วเทียนฉีก็กะพริบตาปริบๆ “ข้าคิดว่าจูบของเสี่ยวรุ่ยน่ะ พันตำลึงทองก็ซื้อไม่ได้ จะสี่หรือห้าร้อยศิลาทิพย์ มันเทียบกับจูบของเ้าไม่ได้หรอก!”
เฉียวรุ่ยมองหลิ่วเทียนฉีที่ยิ้มร้ายอยู่ก็ถลึงตาใส่ “พูดจากเหลวไหลนัก หลังจากนี้ข้าไม่อนุญาตให้เ้าใช้ยันต์ขจัดสิ่งสกปรก ไม่ใช่ว่าข้าล้างหน้าหวีผมเองไม่ได้สักหน่อย? จะสิ้นเปลืองศิลาทิพย์เปล่าๆ ไปทำไมเล่า?”
“ได้ ข้าไม่ใช้แล้ว หลังจากนี้ไม่ใช้เด็ดขาด ข้าจะเชื่อฟังเ้า!” หลิ่วเทียนฉีมองคนรักตัวน้อยโกรธฮึดฮัดไม่หยุดก็ปลอบเบาๆ อย่างอ่อนโยน
เฉียวรุ่ยเห็นอีกฝ่ายยอมรับผิดแต่โดยดีก็กะพริบตาเล็กน้อย ความโกรธหายไปเกือบครึ่ง “ตอนนี้ศิลาทิพย์ในมือพวกเรามีอยู่ไม่มากนัก ข้า ข้าแค่ไม่อยากให้เ้าสิ้นเปลืองไปกับยันต์วิเศษ”
“อืม ข้าเข้าใจ อีกประเดี๋ยวกินอาหารเช้าเสร็จ พวกเราไปตำหนักทองกัน ข้าจะขายยันต์ขจัดสิ่งสกปรกของข้าให้หมด หลังจากนั้นค่อยพาเ้าไปอาบน้ำพุทิพย์ดีไหม?” หลิ่วเทียนฉีจับมือเฉียวรุ่ยพลางหารือนิดหน่อย
“อืม อย่างไรก็ไปขายหนังสัตว์อสูรกับกระดูกสัตว์อสูรพวกนั้นกันเถอะ! ยันต์วิเศษน่ะ ไม่ต้องรีบร้อนขายหรอก!”
“ฮ่าๆๆๆ ได้ ข้าล้วนฟังเ้า!” หลิ่วเทียนฉีพยักหน้ารับ ขโมยจูบบนริมฝีปากเฉียวรุ่ยอีกครั้ง
“ข้า ข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว!” เฉียวรุ่ยดึงมืออีกฝ่ายที่อยู่บนเอวตนออก แล้วรีบหมุนตัววิ่งกลับห้องไปสวมเสื้อผ้า เมื่อครู่เขาลนลานเกินไปสินะ ถึงได้สวมเพียงเสื้อตัวในออกมาเช่นนี้
“ฮ่าๆๆ...” หลิ่วเทียนฉีมองเฉียวรุ่ยหน้าแดงจากไปก็ส่ายศีรษะเล็กน้อย หลุดหัวเราะเบาๆ
รอจนเฉียวรุ่ยแต่งตัวเรียบร้อย กลับมาในลานอีกครั้ง เขาต้มข้าวต้มเสร็จ จัดการเทใส่สองชามวางไว้บนโต๊ะรอรับประทานพร้อมกัน
“หอมนักเชียว!” เฉียวรุ่ยนั่งลงด้านข้าง ยกข้าวต้มเนื้อหอมฉุยตรงหน้าขึ้นมา
“กินเถอะ!” หลิ่วเทียนฉียิ้มเย้าคนรัก ส่งช้อนไม้คันหนึ่งให้
“อืม!” เฉียวรุ่ยยื่นมือไปรับ เขาเริ่มกินอย่างมีความสุข
เห็นท่าทางกินอย่างเอร็ดอร่อยปานนั้น หลิ่วเทียนฉีก็เผยรอยยิ้มอย่างรักใคร่ออกมา
หลังรับประทานอาหาร เฉียวรุ่ยรีบแย่งล้างจาน หลิ่วเทียนฉีจึงรับผิดชอบเก็บกวาดห้องกับกวาดลาน
“ฮ่าๆๆ รู้สึกบ้างไหม พวกเราเหมือนกับคู่รักเทพเซียนที่ปลีกวิเวกอยู่เลย!” หลิ่วเทียนฉีโอบเอวคนรัก หัวเราะก่อนเอ่ยถาม
“จริง เหมือนอยู่นิดหน่อยจริงด้วย!” ได้ยินคำพูดนี้ เฉียวรุ่ยก็หน้าแดง พยักหน้าตอบรับ
“เ้านี่นะ ทำไมชอบหน้าแดงปานนี้!” หลิ่วเทียนฉีจูบใบหน้าน้อย ยิ้มเย้าถาม
“ก็ ก็ล้วนเป็เพราะเ้ามิใช่หรือ!” เฉียวรุ่ยพูดจบก็ถลึงตาใส่อย่างขุ่นเคือง
“ฮ่าๆๆ อย่างอื่นคงไม่ต้องพูดถึง อย่างไรวิทยาลัยเซิ่งตูก็เป็สถานที่ที่ดีแห่งหนึ่งจริงเชียว! หากไม่ได้มาล่ะก็ ข้ากับเสี่ยวรุ่ยจะเป็คู่รักเทพเซียนได้อย่างไรเล่า?”
ได้ยินอย่างนั้น เฉียวรุ่ยก็ย่นจมูก “วิทยาลัยเซิ่งตูก็ดีอยู่หรอก แต่แพงเกินไปแล้ว ทำอะไรล้วนแต่ต้องจ่ายศิลาทิพย์”
“ฮ่าๆๆ สถานที่ที่ดีย่อมไม่อาจเปิดได้โดยไม่คิดเงิน แต่ด้านอื่นก็ค่อนข้างดีนะ ทุกเดือนวันที่หนึ่ง แปด สิบห้าและยี่สิบสาม มีแค่สี่วันที่มีวิชาเรียน เวลาอื่นล้วนทำกิจกรรมอิสระในวิทยาลัยได้ นอกจากนี้ ทุกปลายเดือนยังมีวันหยุดสองวันให้ได้กลับไปพบท่านพ่อ จัดการเวลาได้ไม่เลวเลยเชียว!”
หากให้เด็กน้อยยุคปัจจุบันรู้เข้าว่ามีสถานที่แห่งหนึ่ง ในหนึ่งสัปดาห์เข้าชั้นเรียนหนึ่งวันและหยุดหกวันเช่นนี้ คงแย่งกันมาสมัครเป็แน่
“อืม ก็ไม่เลวนักหรอก ปลายเดือนพวกเราก็กลับบ้านไปหาท่านอาหลิ่วกันได้แล้ว!” เฉียวรุ่ยพยักหน้า รู้สึกถูกใจกับการจัดการเวลาแบบนี้เช่นกัน
“ใช่!”
“ไปกันเถอะ พวกเราไปตำหนักภารกิจกันสักหน่อย? ดูซิ มีภารกิจให้พวกเราทำหรือไม่!” พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของเฉียวรุ่ยพลันกระตือรือร้น
“ได้สิ!” หลิ่วเทียนฉีเห็นท่าทางอยากลองของคนรักกับการไปรับภารกิจที่ตำหนักปานนี้ ย่อมไม่ปฏิเสธ
ทั้งสองคนออกจากวิทยาลัยยุทธ์ มาถึงตำหนักภารกิจในเวลาต่อมา
“ว้าว ด้านนี้คนมากนักเชียว!” เฉียวรุ่ยเห็นด้านในห้องโถงใหญ่ของตำหนักภารกิจมีผู้คนล้นหลามก็อุทานอย่างใ
“แน่นอน ทั้งวิทยาลัยเซิ่งตูมีตำหนักภารกิจแค่ที่นี่ที่เดียว แล้วคนจะน้อยได้อย่างไรเล่า?” หลิ่วเทียนฉีจับแขนเสื้อเฉียวรุ่ย พาเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่
“ดูสิ บนกำแพงแสงด้านนั้นคือภารกิจที่ศิษย์พี่ชายหญิงติดประกาศไว้” เขาพูดพลางชี้กำแพงแสงที่อยู่ด้านข้าง
“ว้าว เยอะจังเลย!” เฉียวรุ่ยมองภารกิจมากมายแถวแล้วแถวเล่าถี่ยิบ อดกัดลิ้นไม่ได้
“เอ๋ เทียนฉี มีอันหนึ่งประกาศให้รางวัลหนังหมาป่าขั้นสามด้วยนะ!” เฉียวรุ่ยชี้ภารกิจแถวนั้น บอกอย่างดีใจ
“ที่ผู้อื่นประกาศให้รางวัลคือหนังหมาป่าของหมาป่าลมกรดขั้นสาม ไม่ใช่หนังของมนุษย์หมาป่าขั้นสาม หนังแผ่นนั้นคงไม่มีใครอยากได้หรอก!” หมาป่าลมกรดขั้นสามกับมนุษย์หมาป่าขั้นสาม สองอย่างนี้แตกต่างกันมากนัก
“แต่ก็เป็หนังหมาป่าเหมือนกันนี่!” เฉียวรุ่ยได้ฟังก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
“ต่างกันมากเชียวล่ะ หนังของหมาป่าลมกรดเป็สีแดง แต่หนังผืนนั้นของพวกเราเป็สีดำ!” หลิ่วเทียนฉีพูดจบ สีหน้าพลันจนปัญญา
“อื้อ!” ได้ยินคำนี้ เฉียวรุ่ยจึงผิดหวังเป็อย่างยิ่ง
“อีกอย่าง ยังมีภารกิจอันหนึ่งค่อนข้างเหมาะกับข้าเลยเชียว!” พูดถึงตรงนี้ หลิ่วเทียนฉียกมุมปาก
“ไหน อันไหนหรือ?” เฉียวรุ่ยมองอีกฝ่าย เอ่ยถามอย่างสนใจ
“ภารกิจที่หกสิบสาม!”
“หกสิบสาม? ประกาศให้รางวัลรักษารอยตำหนิบนใบหน้า? ภารกิจนี้เหมาะกับเ้างั้นหรือ? เ้าไม่ใช่หมอหรือนักหลอมโอสถสักหน่อย!” เฉียวรุ่ยมองหลิ่วเทียนฉีอย่างงุนงง คิดว่าภารกิจนี้ไม่ค่อยเหมาะกับอีกฝ่ายสักเท่าไรนัก
“ข้าคิดว่าค่อนข้างเหมาะอยู่ และอีกฝ่ายยังให้รางวัลตั้งหนึ่งหมื่นศิลาทิพย์เชียวนะ?” เพียงแค่รักษารอยตำหนิบนใบหน้ารอยหนึ่งเท่านั้น ไม่ต้องไปเสี่ยงอันตรายสังหารสัตว์อสูรบนเขา ภารกิจนี้ไม่เลวเลยทีเดียว
“ถ้าอย่างนั้น แล้วเ้ามั่นใจหรือ?” เฉียวรุ่ยมองคนรัก ถามอย่างไม่วางใจ
“ลองดูสักหนก็ได้!” พูดพลางเดินไปหาผู้ดูแลด้านข้างเพื่อรับภารกิจ เมื่อรับหมายเลขมาแล้ว ภารกิจหมายเลขหกสิบสามบนกำแพงแสงพลันหายไปทันที
“โอ๋ ใครกัน? ใครรับภารกิจให้เ้าตัวอัปลักษณ์ของวิทยาลัยหลอมอุปกรณ์ไปแล้วน่ะ?”
“นั่นสิ คงไม่ใช่คนของวิทยาลัยโอสถรับไปอีกหรอกนะ?”
“ไม่มีทางหรอก? ได้ยินว่าตัวอัปลักษณ์นั่นดุร้ายยิ่งนัก ก่อนหน้านี้นักหลอมโอสถคนหนึ่งของวิทยาลัยโอสถรักษารอยตำหนิของนางไม่หาย ผลสุดท้ายถูกนางซ้อมเสียยกหนึ่งเลยนี่?”
“งั้นหรือ? ถึงว่า ประกาศให้รางวัลของนางแปะไว้สามเดือนกว่าแล้วยังไม่มีคนมารับ?”
“ใช่แล้ว ดุร้ายปานนั้น ใครจะกล้ารับประกาศให้รางวัลของนางกันเล่า?”
ได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ เฉียวรุ่ยมีสีหน้าพิกล ชำเลืองมองหลิ่วเทียนฉีที่อยู่ข้างๆ เล็กน้อย “เ้า ที่เ้ารับมาคงไม่ใช่...”
เห็นท่าทางรับไม่ไหวของคนรัก หลิ่วเทียนฉีก็ยิ้มอ่อนโยน “ไปเถอะ พวกเราไปตำหนักทองกัน!”
“อื้อ!” เฉียวรุ่ยพยักหน้า เดินออกจากตำหนักภารกิจไปด้วยกัน
“เทียนฉี ศิษย์พี่หญิงที่ประกาศให้รางวัลนั่นคงดุร้ายยิ่ง ถ้าไม่อย่างนั้น ไม่อย่างนั้นพวกเราไปคืนภารกิจเถอะ!” ได้ยินว่าก่อนหน้านี้รักษาไม่หายก็ถูกตี เฉียวรุ่ยอดกังวลแทนคนรักไม่ได้
“คืน? เช่นนั้นต้องถูกหักหนึ่งหมื่นศิลาทิพย์เชียวนะ!” หลิ่วเทียนฉีมองคนรักพลางเอ่ยอย่างจนปัญญา
“อะ อะไรนะ?” เฉียวรุ่ยได้ยินคำนี้ก็หน้าซีด
“วางใจเถอะ ข้ามีวิธี!” หลิ่วเทียนฉียิ้มพลางตบมือคนรัก พาเขาไปตำหนักทองด้วยกัน
.........
ศิษย์พี่ที่สวมเครื่องแบบวิทยาลัยเซิ่งตูคนหนึ่งเห็นทั้งสองคนเดินเข้าประตูมาก็รีบร้อนเข้ามาหา
“ศิษย์น้องทั้งสอง ้าซื้อสินค้า? หรือ้าขายสินค้าเล่า?”
“อ้อ ศิษย์พี่ พวกเรามีหนังสัตว์อสูรกับกระดูกสัตว์อสูร ไม่ทราบว่าตำหนักทองรับหรือไม่?”
“รับ รับแน่นอน ศิษย์น้องทั้งสองเชิญด้านนี้!” ศิษย์พี่ยิ้มเล็กน้อยก่อนพาคนทั้งสองเดินเข้ามาในห้องรับแขกด้านใน
“ไม่ทราบว่าศิษย์น้องทั้งสองให้ข้าดูสินค้าก่อนได้หรือไม่?” อีกฝ่ายมองก่อนยิ้มถาม
“ได้สิ!” เฉียวรุ่ยพยักหน้า เอาหนังสัตว์อสูรออกมาส่งให้
ศิษย์พี่ผู้ดูแลพินิจดูอย่างละเอียดทีละผืนรอบหนึ่ง
“เอาล่ะ ศิษย์น้องสองท่านนี้ หนังสัตว์อสูรของเ้าทั้งหมดสามสิบแปดผืน เป็หนังสัตว์อสูรขั้นหนึ่งสิบแปดผืน หนังสัตว์อสูรขั้นสองสิบหกผืนและหนังสัตว์อสูรขั้นสามสี่ผืน ตามราคารับซื้อของพวกเรา ทั้งหมดแปดร้อยเก้าสิบหกก้อนศิลาทิพย์? ศิษย์น้องทั้งสองไม่มีปัญหานะ?”
“แปดร้อยเก้าสิบหก...” เฉียวรุ่ยเขี่ยนิ้วไปมา ลองคำนวณอย่างละเอียดอีกที
“ได้ พวกเราไม่มีปัญหา นอกจากนี้ ที่ตัวพวกเรายังมีกระดูกสัตว์อสูรขั้นหนึ่งกับขั้นสองอยู่อีกนิดหน่อย!” หลิ่วเทียนฉีพูดพลางเอากระดูกสัตว์อสูรขั้นหนึ่งกับขั้นสองออกมา แต่กระดูกสัตว์อสูรขั้นสามสี่โครงเขาเก็บเอาไว้
“อ้อ!” ศิษย์พี่รับมา เขาดีดลูกคิดคำนวณอีกรอบหนึ่ง
“กระดูกสัตว์อสูรเหล่านี้หนึ่งร้อยห้าสิบสามก้อนศิลาทิพย์ หากรวมหนังสัตว์อสูรกับกระดูกสัตว์อสูร ทั้งหมดเท่ากับหนึ่งพันสี่สิบแปดก้อนศิลาทิพย์! ศิษย์น้องทั้งสองคิดว่าอย่างไร?” ศิษย์พี่มองทั้งสองคนพลางยิ้มถามอีกครั้ง
“เพิ่ม เพิ่มอีกนิดไม่ได้หรือ? หนึ่งพันหนึ่งร้อยก้อนศิลาทิพย์ได้ไหม?” เฉียวรุ่ยมองอีกฝ่าย ไม่ค่อยพอใจราคานัก
“ฮ่าๆๆ ศิษย์น้องตัวน้อย ที่นี่รับซื้อวัตถุดิบทิพย์ราคาตลาดทั้งสิ้น ข้าไม่ได้กดราคาพวกเ้าหรอกนะ!” ศิษย์พี่มองเฉียวรุ่ย ตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้ม
“ได้ เท่านี้แหละ! ข้าขายให้ศิษย์พี่ทั้งหมด!” หลิ่วเทียนฉีมองอีกฝ่าย เขาตกลงราคา
“ดี นี่ศิลาทิพย์!” อีกฝ่ายพูดพลางส่งศิลาทิพย์ถุงหนึ่งให้
หลิ่วเทียนฉียื่นมือไปรับมาส่งให้เฉียวรุ่ย พอเฉียวรุ่ยรับถุงมาก็ส่งพลังิญญาออกมานับศิลาทิพย์ในถุงนิดหน่อย หลังยืนยันจำนวนเรียบร้อยถึงเก็บกลับไป
“ศิษย์พี่ ตำหนักทองแห่งนี้มีโอสถรักษารอยตำหนิบนใบหน้าหรือไม่ขอรับ?”
“แค่กๆๆ...” ได้ยินคำพูดของหลิ่วเทียนฉี เฉียวรุ่ยอดไอออกมาไม่ได้ ในใจคิด ‘เทียนฉี เ้าคงไม่คิดรักษาศิษย์พี่หญิงดุร้ายคนนั้นให้หายจริงใช่ไหม?’
“มีสิ ไม่ทราบว่าศิษย์น้อง้าขั้นไหนหรือ?” ศิษย์พี่บอกพลางเก็บกระดูกสัตว์อสูรกับหนังสัตว์อสูรก่อนพาทั้งสองคนเดินมาห้องโถงใหญ่
“ข้าอยากได้โอสถรักษารอยตำหนิขั้นสองระดับสูง!”
“สิ่งนี้คือโอสถไร้ตำหนิ แปดร้อยก้อนศิลาทิพย์ต่อหนึ่งเม็ด ส่วนสิ่งนี้คือโอสถโฉมงาม เจ็ดร้อยศิลาทิพย์ต่อหนึ่งเม็ด และยังมีโอสถคงโฉม เจ็ดร้อยก้อนศิลาทิพย์ต่อหนึ่งเม็ดเช่นกัน โอสถสามชนิดนี้ล้วนกำจัดรอยตำหนิบนใบหน้าได้!” ศิษย์พี่นำโอสถทั้งสามชนิดออกมา ปากก็แนะนำประหนึ่งสายน้ำไหล
“ดี ข้า้าโอสถไร้ตำหนิสามเม็ด!” พูดพลางเอาศิลาทิพย์สองพันสี่ร้อยก้อนออกมาส่งให้อีกฝ่าย
“ได้!” ศิษย์พี่พยักหน้ารับ เอาขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกมาใส่โอสถสามเม็ดก่อนส่งให้
“ขอบคุณศิษย์พี่ยิ่ง!” หลิ่วเทียนฉีรับโอสถมาเรียบร้อยถึงเดินออกจากตำหนักทองไปด้วยกันกับเฉียวรุ่ย