อวิ๋นซีเพิ่งพูดจบ จวินเหยียนก็อดสงสัยไม่ได้ว่านางจะระบายออกมาอย่างไร เขามองนางด้วยสายตาน่าค้นหา บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มที่พาให้คนลุ่มหลง “ระบายได้ตามใจ”
“คุณชายเป็คนพูดเองนะเ้าค่ะ อีกประเดี๋ยวท่านก็อย่าได้ปวดใจก็แล้วกัน” ทันทีที่พูดจบ นางก็โยนกระเบื้องเคลือบพื้นขาวลายครามลงบนพื้นจนแตกกระจาย นางมองดูเศษกระเบื้องที่กระจายอยู่เต็มพื้นด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ก่อนจะหันมองเขา “เป็อย่างไร? ให้ข้าทำเช่นนั้นต่อได้หรือไม่? ”
จวินเหยียนมองดูเครื่องกระเบื้องที่ถูกทำให้แตกกระจายเต็มพื้น มุมปากเขากระตุกน้อยๆ “เ้ารู้หรือไม่ว่า สิ่งที่จ้าทำแตกไปเป็กระเบื้องเคลือบพื้นขาวลายครามที่ต้องใช้เงินจำนวนตั้งเท่าใดถึงจะหาซื้อมาได้? ”
อวิ๋นซีมองดู ก่อนจะส่ายศีรษะไปมา ‘ไม่รู้’ สิแปลก นางตั้งใจเลือกของแพงๆ มาเขวี่ยงทิ้งโดยเฉพาะนี่นา
เครื่องกระเบื้องพื้นขาวลายครามนี้นับเป็ผลงานของยอดฝีมืองานกระเบื้องแห่งเจียงหนาน ในใต้หล้านี้แจกันพื้นขาวลายครามชนิดนี้มีอยู่เพียงสามชุดเท่านั้น โดยชุดหนึ่งอยู่ในวังหลวง อีกชุดหนึ่งอยู่ในจวนรัชทายาท แต่สิ่งที่นางคาดไม่ถึงคืออีกชุดกลับอยู่ที่นี่ ดังนั้นเครื่องกระเบื้องนี้ ชุดหนึ่งมีราคาหลายหมื่นตำลึง
“หึหึ เ้าคิดว่าข้าจะเชื่อที่เ้าบอกว่าไม่รู้หรือ? ” สตรีโง่ผู้นี้รู้จักกระเบื้องพื้นขาวลายครามนี่แน่นอนถึงได้ตัดสินใจเลือกทำลายมันเป็อันดับแรก ทว่าสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงก็คือ อวิ๋นซีเองก็รู้จักกระเบื้องพื้นขาวลายครามนี้เช่นกัน
คนที่เคยมีโอกาสได้เห็นกระเบื้องพื้นขาวลายครามจริงๆ มีไม่มาก และแต่ละคนล้วนเป็บุคคลที่มีฐานะโดดเด่นไม่ธรรมดาทั้งสิ้น
“ท่านจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่” ฉับพลันนั้นสายตาของนางก็ไปหยุดอยู่ที่ปะการังสีแดงที่ถูกตั้งวางประดับไว้อย่างสวยงามอยู่อีกด้านหนึ่งของห้อง “ท่านว่า… ให้ข้าระบายต่อไปได้ใช่หรือไม่? ”
เมื่อจวินเหยียนได้ยินแล้วก็หัวเราะฮ่าฮ่า “ไม่เป็ไร ตามสบายเลย ของทุกอย่างที่นี่เ้าสามารถทำลายทิ้งได้ทั้งสิ้น ทว่าเมื่อเ้าระบายอารมณ์เสร็จแล้ว ข้าจะจดไว้ในบัญชีของเ้า และเมื่อถึงตอนนั้น หากว่าเ้าไม่มีเงินชดใช้ เช่นนั้นก็...”
เขายิ้มแล้วเดินเข้ามาข้างกายนาง “เช่นนั้นก็ทำได้เพียงต้องยอมสละเนื้อหนังของเ้าเพื่อชดใช้ให้ข้าแล้วล่ะ”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินก็รีบเก็บมือของตนโดยเร็ว เพราะนางมีเหตุผลให้เชื่อได้ว่าคนผู้นี้พูดได้ทำได้อย่างปากว่า หากเขาบอกว่าให้ชดใช้ด้วยเนื้อหนัง นั่นก็แปลว่านางต้องชดใช้ด้วยเนื้อหนังจริงๆ ดังนั้น เมื่อคิดคำนึงถึงความปลอดภัยของตน ทางที่ดีอย่าได้คิดดื้อดึงอีกเลยจะดีกว่า
“เอาล่ะ อย่าโกรธเลย ข้ารู้มาว่าวันพรุ่งนี้ลู่เหวินเจิ้นจะออกเดินทางไปนอกเมือง เ้าอยากจะตามไปดูงิ้วสนุกๆ หรือไม่เล่า” จวินเหยียนถาม
พรุ่งนี้ลู่เหวินเจิ้นจะออกเดินทาง?
นางคิดขึ้นมาได้ว่าคืนนี้ตอนที่อยู่ในห้องหนังสือ ลู่เหวินเจิ้นได้บอกว่าจะพาลู่อวี้ฉิงไปเที่ยวที่นอกเมือง ด้วยเหตุนี้ดวงตาของนางจึงพลันเปล่งประกายขึ้นมาในทันใด “ข้าจะไป”
“ได้ พรุ่งนี้ข้าจะพาเ้าไปด้วย หลังจากนั้นพวกเราก็ไปเที่ยวเล่นที่นอกเมืองกันสักหน่อย และถือโอกาสนี้ไปเก็บสมุนไพรมาให้หวานหว่านด้วย”
เก็บสมุนไพรมาให้หวานหว่าน? จู่ๆ นางก็เพิ่งคิดขึ้นมาได้ว่ามีสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีฤทธิ์ช่วยถอนพิษให้หวานหว่าน มันมีชื่อว่า ‘เชียนเย่หลิงต้าน’ สมุนไพรชนิดนี้มีขึ้นอยู่แค่บริเวณนอกเมืองห่างออกไปสองร้อยลี้ บริเวณใต้หน้าผาที่มืดทึบไร้แสงของเขาเสี่ยวหยาง
อีกทั้งยังมีแค่คนที่คุ้นเคยกับเชียนเย่หลิงต้านเท่านั้นที่จะรู้ว่าควรเก็บรักษาสมุนไพรชนิดนี้อย่างไร เพราะหากเก็บรักษาได้ไม่ดี ต่อให้เด็ดมาได้แล้ว สรรพคุณทางยาของเชียนเย่หลิงต้านก็จะหายไปในระยะเวลาเพียงหนึ่งก้านธูป
“ได้” นางเองก็ไม่อยากจะงัดข้อกับบุรุษผู้นี้อีกต่อไปแล้ว “ถ้าเช่นนั้น ตอนนี้ข้าคงไปได้แล้วสินะเพคะ”
จวินเหยียนได้ยินแล้วก็หัวเราะ “ไม่ต้องไปไหนหรอก วันพรุ่งนี้ข้าจะให้คนส่งสารไปแจ้งบิดาเ้า บอกว่าหลายวันนี้อาจต้องให้เ้าช่วยเก็บสมุนไพรมาทำยาให้จวิ้นจู่น้อย จึงเป็เหตุให้เ้ายังไม่อาจกลับบ้านได้ ส่วนคืนนี้เ้าก็พักผ่อนเสียที่นี่ แล้วพรุ่งนี้เราค่อยออกไปนอกเมืองด้วยกัน”
“ไม่มีทาง” อวิ๋นซีไม่แม้แต่จะคิดก็ปฏิเสธออกไปทันที นางเป็สตรีที่ยังไม่ออกเรือน หากเื่ที่ไม่กลับเรือนทั้งคืนแพร่งพรายออกไป ต่อให้จะเป็ภาคตะวันตกเฉียงเหนือของหนานเย่าที่จารีตประเพณีเปิดกว้างก็ยังไม่วายให้ต้องถูกคนนินทา
หรือต่อให้นางจะไม่สนใจเื่ชื่อเสียงอันดีงามของตนเอง แต่ก็ต้องคิดถึงบิดาไว้บ้าง เพราะในหานโจวนี้มีคนรู้จักบิดาอวิ๋นของนางอยู่ไม่น้อย ดังนั้นหากเื่ของนางทำให้บิดาไม่อาจเชิดหน้าสู้คนได้อีกต่อไป ตัวนางก็สมควรตายยิ่งแล้ว
“วางใจเถอะ เื่นี้จะไม่มีใครรับรู้แน่” เขาตบไหล่นางเบาๆ “หรือเ้าจะกลับไปก็ได้หากเ้า้า แต่หากกลับไปตอนนี้โดยไม่ระวังก็อาจถูกสายที่ลู่เหวินเจิ้นลอบวางไว้ในเมืองเจอตัวเข้า ซึ่งวันหน้าอาจนำพาปัญหามาถึงตัวเ้าไม่น้อย”
อวิ๋นซีมองเขาด้วยสายตาเคลือบแคลงสงสัย “สายของลู่เหวินเจิ้น? ”
“ถูกต้อง” เขาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มขณะมองออกไปด้านนอก “นครหานโจวแห่งนี้ไม่ได้ดูเรียบง่ายเหมือนอย่างที่เ้าเห็น ที่นี่อยู่ห่างจากด่านฉีผิงไม่ถึงสามร้อยลี้ นอกด่านเป็อาณาเขตของเป่ยฉี หรือก็คืออาณาเขตของชาวหู เ้าว่าเสด็จพี่แสนดีผู้นั้นของข้าจะวางใจให้ข้าอยู่ที่นี่ได้อย่างสบายอกสบายใจหรือ?”
ทันทีที่อวิ๋นซีได้ยินเช่นนั้นก็สามารถเข้าใจความหมายโดยนัยในคำพูดของเขาได้ “เช่นนี้ก็หมายความว่า ที่นี่ไม่เพียงมีสายของโอวหยางเทียนหัวเท่านั้น แต่ยังมีสายของพระบิดาท่านอยู่ด้วยสินะเพคะ”
จวินเหยียนหันกายมามองนาง และก็อดหัวเราะเสียงดังไม่ได้ “ไม่เสียทีที่เป็สตรีที่ข้าพึงใจ ถูกต้อง นี่คือความหมายของคำที่ข้าบอกว่าไม่เรียบง่าย”
เมื่อคุยมาถึงตอนนี้ อวิ๋นซีก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าเขาไม่ได้แทนตัวเองว่าตัวข้าผู้เป็อ๋อง นางหันศีรษะไปมองเขาอย่างไม่เป็ธรรมชาติ โดยพยายามเป็อย่างยิ่งที่จะไม่มองสบตาเขา “ถ้าเช่นนั้น วันพรุ่งข้าเองก็ต้องปลอมตัวก่อนจึงจะออกไปกับท่านได้? ”
เขาพยักหน้า “อืม ชื่อปลอมของข้าคือ ฉินเหยียน เป็พ่อค้าในหานโจว ตระกูลทำการค้าเกี่ยวกับเครื่องประดับ”
ฉินเหยียน?
ช่างเป็คนที่ประหลาดเสียจริง คนส่วนใหญ่หากใช้ชื่อปลอมก็จะใช้แซ่ของมารดา ทว่านางจำได้ว่าฮองเฮามิได้แซ่ฉิน แล้วเหตุใดเขาจึงปลอมชื่อเป็ฉินเหยียนที่มิได้ใช้ทั้งแซ่ของบิดาและมารดา หรือการที่เขาทำเช่นนี้จะแค่้าหลีกลี้หูตาของผู้อื่นแค่นั้นจริงๆ ? หรือว่ายังมีความหมายอื่นแอบซ่อนอยู่อีก
สำหรับค่ำคืนนี้ อวิ๋นซีถูกจัดให้พักอยู่ในเรือนหลังหนึ่งภายในจวนตระกูลฉิน แต่เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้ากลับมีสาวใช้สองคนยกน้ำเข้ามา ช่วยนางล้างหน้าทำผม
สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคงเป็ตอนที่สาวใช้ทั้งสองผ่านประตูเข้ามา พวกนางพร้อมใจกันยอบกายคารวะ และเรียกขานนางว่า ‘ฮูหยิน’
นางเลิกคิ้ว แต่เมื่อกำลังคิดจะอธิบายว่าแท้จริงแล้วตนไม่ใช่ฮูหยินอะไรนั่น จวินเหยียนที่ปลอมตัวเป็ฉินเหยียนก็เดินเข้ามา “พวกเ้าออกไปเถอะ มีข้าช่วยฮูหยินเพียงคนเดียวก็เพียงพอแล้ว”
รอจนกระทั่งสาวใช้เดินจากไปไกลแล้ว อวิ๋นซีก็กัดฟันพูด “ใครเป็ฮูหยินของท่าน? ท่านมันไร้ยางอายยิ่งนัก ทำกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร”
จวินเหยียนหัวเราะ “ข้าบอกว่าใช่ ก็ต้องใช่” แม้ปากจะตอบไปเช่นนั้น แต่อีกนัยหนึ่งย่อมหมายถึง ไม่ช้าเร็วก็ต้องใช่อยู่ดี “เอาล่ะ ก็แค่คำเรียกเท่านั้น อีกประการตัวเ้ายังเป็สาวน้อย หรือว่าในสองวันนี้คิดจะปลอมตัวเป็สาวใช้ตามติดข้างกายข้า? เ้าก็รู้นี่ สาวใช้ที่ออกเดินทางตามติดพวกเศรษฐี แปดเก้าส่วนล้วนเป็สาวใช้ห้องข้างทั้งสิ้น หรือว่าเ้าอยากถูกคนเข้าใจผิดว่าเป็สาวใช้ห้องข้างของข้า? ”
สาวใช้ห้องข้าง หากพูดให้เข้าใจง่ายก็คือสาวใช้อุ่นเตียงนั่นแหละ สาวใช้ที่แม้แต่ฐานะก็ยังสู้อนุเล็กๆ ไม่ได้
“ข้าสามารถแต่งเป็ชายได้ ปลอมตัวเป็ผู้คุ้มกันของท่าน” นางกัดฟันเตือนเขา
เมื่ออธิบายมาถึงตอนนี้ เขาก็เพิ่งทำหน้าเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง แต่แล้วก็ทำท่าทีเสมือนว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว “อย่างนี้นี่เอง แต่ว่าข้าบอกคนอื่นไปหมดแล้ว คนทั้งจวนนี้รู้กันหมดแล้วว่าเมื่อคืนข้าพาฮูหยินกลับมาบ้าน หรือตอนนี้เ้า้าให้ข้าไปบอกกับทุกคนใหม่ว่า เ้าไม่ใช่ฮูหยิน? หากทำเช่นนั้นจะไม่เป็การดึงดูดความสงสัยของผู้อื่นหรอกหรือ? ข้าไม่กล้ารับประกันหรอกนะว่าในจวนนี้จะไม่มีหูตาของผู้อื่น”
“ท่าน! ”
เกินไปแล้ว คนผู้นี้ทำเกินไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็เื่อะไรก็ล้วนแต่ตัดสินใจเอาเองอยู่ฝ่ายเดียว ไม่มีแม้แต่จะขอความเห็นจากนางก็สั่งการไปเช่นนั้นแล้ว
“เอาล่ะ รีบแต่งกายเถิด หลังกินข้าวเสร็จพวกเราจะออกเดินทางทันที อีกทั้งเมื่อครู่นี้คนของข้ามารายงานว่า ลู่เหวินเจิ้นออกเดินทางแล้ว” รอยยิ้มของเขาอบอุ่นมาก ไม่เหมือนกับหานอ๋องผู้เย้ายวนชั่วร้ายคนนั้นเลย ทั้งยังไม่เหมือนกับบุรุษเ็าที่เจอในวัดร้างวันนั้นอีกด้วย คนผู้นี้ช่างซับซ้อนและแปรเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ทำให้คนไม่อาจรู้ว่านิสัยที่แท้จริงของเขาเป็เช่นไร