โอกาสแบบนี้ หากเป็ปกติเยี่ยนฟางหวาต้องไปแน่ ไฉนได้นางกลับป่วยจนสติพร่าเลือน ไข้ก็ไม่ลดลงสักที เหมือนวันที่เยี่ยนเจาเจาป่วยจากเหตุการณ์ตกน้ำไม่มีผิด หวังซื่อเลยจำต้องปฏิเสธเทียบเชิญของเล่ออันจวิ้นจู่ไป
เมื่อเยี่ยนเจาเจาได้ยินเช่นนั้น จึงรู้สึกว่ากรรมตามสนองแล้ว!
นางยังกลับมาเกิดใหม่ได้ ไม่ใช่ว่ากฎแห่งกรรมไม่เคยลำเอียงหรอกหรือ?
เยี่ยนฟางหวาป่วย ส่วนเยี่ยนเจาเจากลับสงบสุข นางพูดคุยกับหนานิเหอทุกวันโดยไม่รู้สึกเบื่อหน่ายสักนิด
นับั้แ่วันที่เยี่ยนเจาเจาพูดคุยมากมายกับองค์หญิง เยี่ยนเจาเจาก็ไม่ได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับซ่งฝูจินอีก ราวกับว่าคนผู้นี้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ไม่รู้เหมือนกันว่าซ่งซื่อจากบ้านสามได้ยินอะไรมา ถึงส่งกระเป๋าปิ๊กแป๊กสองใบมาให้เยี่ยนเจาเจา เป็กระเป๋าฝังหยกประณีตงดงามบนผ้าปักลายต้นชานจาสีแดงสดละลานตา งานฝีมือละเอียดลออยิ่งนัก และยังซื้อชุดเครื่องประดับผมน้ำดีมาถวายองค์หญิงอีกด้วย
เยี่ยนเจาเจาครุ่นคิดแล้วก็คาดว่าน่าจะเป็เพราะช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวมาปิดไม่มิด การต้องโทษของซ่งฝูจินคงทำทั้งจวนซ่งขวัญหนีดีฝ่อ ไม่กล้าขอร้องฮองเฮาโต้งๆ ของก็ส่งเข้ามวลบุปผาหอมไม่ได้ เลยต้องส่งมาที่เยี่ยนเจาเจาผ่านทางซ่งซื่อแทน
องค์หญิงไม่ตอบรับหรือปฏิเสธต่อเื่นี้ เยี่ยนเจาเจาจึงเข้าใจได้ว่าของขวัญมากน้อยไม่สำคัญ แต่นี่คือการยินดีรับน้ำใจจากจวนซ่งไว้ต่างหาก
นอกจากนี้ เยี่ยนเจาเจายังรู้สึกปลอดโปร่งและเป็อิสระ
ตอนนางกลับมาเกิดใหม่่แรกๆ ยังอยากแสร้งเป็พี่น้องกับเยี่ยนฟางหวาเพื่อชื่อเสียงตนเอง ยามนี้คิดตกแล้วจึงไม่สนใจสิ่งเหล่านี้อีก...เมื่อไม่ชอบเยี่ยนฟางหวา นางก็แสดงออกหราบนหน้าโดยไม่คิดปิดบังสักนิด
วัสสานฤดูผันผ่านเชื่องช้า ทว่าไม่นานก็ถึงวันที่ 4 เดือน 4
เหมือนว่า่นี้ทางชายแดนจะเกิดเหตุบางอย่างขึ้น องค์หญิงเลยยุ่งอย่างชัดเจน พอได้ยินว่าเยี่ยนเจาเจาจะไปตามนัดของเล่ออันจวิ้นจู่ พระองค์จึงให้หนานหนิงเหอไปกับเยี่ยนเจาเจา
วันที่ 4 เดือน 4 ไม่เพียงเป็เทศกาลของหญิงสาวเท่านั้น ส่วนใหญ่เหล่าคุณหนูจะออกไปเที่ยวโดยมีพี่ชายไปส่ง...เมื่อถึงตอนนั้นพวกเด็กๆ จะมีการละเล่นพื้นบ้านหรือท่องกวีต่อโคลงกลอนหลังเรือน ส่วนเหล่าคุณชายของตระกูลขุนนางจะเล่นสิงจิ่วลิ่ง[1] และปาลูกดอก[2] อยู่ด้านนอก
เยี่ยนเจาเจาได้ยินที่ท่านแม่บอกในคราแรกก็ขมวดคิ้ว หนานิเหอมีนิสัยรักสงบ ชาติก่อนเขาไปร่วมงานเช่นนี้น้อยมาก เลยไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดท่านแม่จึงให้หนานิเหอไปเป็เพื่อนตนเอง
ทว่าพอถึงวันที่ 4 เดือน 4 เมื่อหนานิเหอและตนเองนั่งรถม้าคันเดียวกันมาถึงหอถงเชวี่ยที่เล่ออันจวิ้นจู่รวบอำนาจ แล้วได้เห็นรถม้าที่มีตราประจำตระกูลกู้อยู่ข้างรถม้าตนเอง เยี่ยนเจาเจาก็เข้าใจ
บัณฑิตจอหงวนสกุลกู้เองก็มาส่งน้องสาวในวันนี้เช่นกัน องค์หญิงน่าจะอยากให้หนานิเหอออกไปข้างนอกเพื่อคบหากับเหล่าคุณชายบุตรหลานขุนนางคนอื่นๆ บ้าง ต่อให้ไม่ได้เรียนรู้สิ่งใด อย่างน้อยก็ยังได้สร้างเส้นสาย
เมื่อคิดเช่นนี้ เยี่ยนเจาเจาพลันรู้สึกว่าต่อไปคงต้องพาพี่ชายรองออกมาสำรวจความนิยมบ้างแล้ว อย่ามัวแต่อุดอู้อยู่ในสวนมวลบุปผาหอมที่ไม่ค่อยมีคนรุ่นราวคราวเดียวกันเลย
วันนี้มีสตรีชนชั้นสูงออกมาข้างนอกมากมาย รถราจึงวิ่งขวักไขว่ไปมา กอปรกับฝนตกหนักปานฟ้ารั่ว บนท้องถนนย่อมติดขัดเล็กน้อย ตอนที่รถม้าของเยี่ยนเจาเจามาถึงหน้าประตูหอถงเชวี่ยจึงชนเข้ากับรถม้าด้านข้างเข้า
เมื่อรถม้าถูกกระแทก หัวของเยี่ยนเจาเจาจึงเกือบจะโขกเข้ากับแผ่นกั้นด้านข้างในรถม้า ทว่าหนานิเหอเอื้อมมือไปดึงนางกลับมาในอ้อมแขนตนเสียก่อน
บนร่างหนานิเหอมักมีกลิ่นใบไผ่เย็นสดชื่น ปนเปกับกลิ่นหอมของสมุนไพรอ่อนๆ ชวนผ่อนคลายและไม่ฉุนจมูก
เพียงแต่ความผ่อนคลายนี้อยู่ไม่ถึงครึ่งเค่อ นางก็ได้ยินเสียงจ้อกแจ้กจอแจมาจากนอกรถม้า
“...เยี่ยนเจาเจา ข้าไม่กลัวเ้าหรอก! ไม่เจอกันครึ่งปี เ้าก็ชนรถม้าของข้าแล้ว!”
“หากเ้าไม่กล้าพูด ข้าจะขึ้นไปตีเ้าเองนะ!”
เป็เสียงโหวกเหวกโวยวายที่เยี่ยนเจาเจาฟังแล้วปวดหัวนัก
นางมารผู้นี้คือเฉินเซียงอี๋ เป็คนในครอบครัวบุตรคนโตของจวนติ้งกั๋วกง ซึ่งถือเป็หลานสาวท่านย่าของเยี่ยนเจาเจา พอถูไถนับญาติกันไปได้
แม้จะเป็ความจริงที่เยี่ยนเจาเจามีฐานะสูงสุดในเมืองเซียงเฉิง ทว่าก็มีสตรีชั้นสูงบางคนที่สถานะด้อยกว่าเล็กน้อย แต่ตระกูลกลับเก่าแก่นับร้อยปี ทั้งยังมีกำลังพรั่งพร้อมอยู่เื้ั จึงไม่หวาดกลัวเยี่ยนเจาเจาเหมือนคนอื่น เช่นเฉินเซียงอี๋ผู้นี้
เฉินเซียงอี๋ถูกเลี้ยงดูมาแบบตามใจเช่นกัน และมีนิสัยไม่กลัวเทวดาฟ้าดินยิ่งกว่าเยี่ยนเจาเจาเสียอีก ทั้งสองผูกพยาบาทกันเพราะเื่ขี้ปะติ๋วั้แ่ตอนเด็ก ชาติก่อนก็ทะเลาะเบาะแว้งกันวุ่นวายใหญ่โต เจอหน้าทีไรเป็ต้องหาเื่ ถือว่าตีกันจนรู้จักกันเลยทีเดียว
แต่ชาติก่อนเฉินเซียงอี๋กลับเป็คุณหนูเพียงคนเดียวที่เกลี้ยกล่อมนางว่าอย่าไปสนใจคนธรรมดาอย่างเหลียงอิน
ความขัดแย้ง่วัยเด็ก กลายเป็ความสัมพันธ์ล้ำค่าที่คอยช่วยเหลือกันยามยากในท้ายที่สุด
เยี่ยนเจาเจาจำได้ว่าคราวนั้นเมืองเซียงเฉิงสับสนอลหม่านไปหมด สกุลเฉินจึงรีบหมั้นหมายเฉินเซียงอี๋กับญาติผู้พี่คนหนึ่งจากต้นตระกูลเดียวกันเพื่อปกป้องนาง
ขณะที่เฉินเซียงอี๋ปักชุดแต่งงานอยู่ในห้องหอ ก็ได้ยินคนบอกว่าเยี่ยนเจาเจารีบวิ่งแจ้นไปหาเหลียงอินทั้งที่ยังอยู่ใน่ไว้ทุกข์
เฉินเซียงอี๋ถือแส้มาที่จวนเยี่ยน จับเยี่ยนเจาเจาที่รีบออกจากเรือนได้คาหนังคาเขา ดวงตานางเบิกกว้างราวกับจะถลนออกมาจากเบ้า
“เยี่ยนเจาเจา นั่นเป็แค่อนุนะ! เ้าสู้กับข้ามาหลายปีเหมือนคนหัวแข็ง แต่กลับไปตกหลุมรักคนที่เป็กระทั่งของเล่นยังไม่ได้ด้วยซ้ำ ถึงเ้าจะไม่รังเกียจที่เสียหน้า แต่ข้ารังเกียจที่เ้าทำข้าเสียหน้า ข้าจะตีเ้าให้ตายกันไปข้างเลย!”
“...เปลืองน้ำลายข้าเสียจริง หากเ้ายืนกรานจะไป ไม่ช้าก็เร็วเ้าจะเสียใจในสักวัน!”
สุดท้ายเฉินเซียงอี๋ก็ไม่อาจขวางเยี่ยนเจาเจาผู้คลั่งรักได้ นางขว้างแส้ที่ถือมาด้วยความห่วงใยลงกับพื้นอย่างแรง ก่อนจะหยิบเทียบเชิญว่างเปล่าของจวนติ้งกั๋วกงออกมาสามสี่ใบจากในอกเสื้อตน แล้วยัดใส่อ้อมแขนเยี่ยนเจาเจาทั้งหมด
“...หากวันใดคนต้อยต่ำนั่นเลี้ยงเ้าไม่ไหว จงกลับมาหาข้า อย่างน้อยข้าก็มีข้าวให้เ้ากิน!”
ภาพสาวน้อยสดใสร่าเริงที่ปรากฏขึ้นในความทรงจำ กลายเป็เสียงทอดถอนใจจากริมฝีปากเยี่ยนเจาเจายามนี้
ม่านของรถม้าพลันอ้าออก แล้วใบหน้าโกรธเกรี้ยวของเฉินเซียงอี๋ก็โผล่มาตรงหน้านางอย่างกะทันหัน
เฉินเซียงอี๋ผู้นี้เกิดมานุ่มนวลน่ารัก มีชาดสีแดงสดตรงกลางหว่างคิ้ว ดูสูงค่าราวกับรูปสลัก
แม้ว่าแม่นางน้อยกำลังทำหน้าแยกเขี้ยวขู่จะดึงเยี่ยนเจาเจาออกมา ก็เป็เหมือนเพียงลูกแมวดุร้ายในสายตาเจาเจาเท่านั้น
เยี่ยนเจาเจาลุกขึ้นเอื้อมมือไปหยิกแก้มของเฉินเซียงอี๋อย่างรวดเร็ว พลางเอ่ยว่า “ถึงเ้าจะตี ข้าก็แค่ไม่สู้กลับ”
สีหน้าเฉินเซียงอี๋ดูงุนงง นางไม่เคยเห็นเยี่ยนเจาเจายอมถอยเยี่ยงนี้มาก่อน เลยน้ำท่วมปากไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ควรพูดอะไรต่อ
เมื่อเยี่ยนเจาเจาได้มาเห็นสาวน้อยผู้กระตือรือร้นคึกคะนองในตอนที่ยังใสซื่อไร้เดียงสาที่สุด ก็ทำให้นางรู้สึกดีทีเดียว
นางเห็นท่าทางเช่นนี้ของเฉินเซียงอี๋ ใจก็อ่อนยวบยาบจนทนไม่ไหว เลยบีบคลึงพวงแก้มนุ่มนิ่มภายใต้ฝ่ามือทั้งสองข้างด้วยรอยยิ้มระรื่น “อาอี๋ ไม่เจอกันครึ่งปีเ้าคิดถึงข้าไหม?”
“คิดถึงเ้าหรือ? คงพิลึกไปแล้วแน่ๆ ข้าคิดถึงหมูโง่สองตัวที่บ้านคนขายเนื้อทางประตูทิศบูรพายังดีกว่าคิดถึงเ้าเสียอีก”
เฉินเซียงอี๋กลอกตา แม้ปากจะอ้าไม่หุบแต่กลับมีรอยยิ้มอยู่ในแววตาคู่นั้น
นางกวาดสายตาไปรอบๆ รถม้า ก่อนจะหยุดลงที่หนานิเหอ
เขาสวมชุดสีเขียวอ่อน นั่งอยู่ในรถม้าอย่างเงียบๆ ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แม้เฉินเซียงอี๋มองมา เขาก็ไม่ขยับ เพียงหลุบั์ตาลงเล็กน้อย
“ท่านนี้คือ...?”
นี่อาจถือว่าเป็การแสดงตัวต่อหน้าสาธารณชนครั้งแรกของหนานิเหอ อีกทั้งเฉินเซียงอี๋ยังเป็สหายสนิทของเยี่ยนเจาเจา เยี่ยนเจาเจาจึงรีบเอ่ยว่า “นี่คือพี่ชายรองของข้า”
คนของจวนติ้งกั๋วกงย่อมทราบดีถึงฐานะของคนผู้นี้ เพียงแค่ไม่เคยพบหน้าเลยไม่อาจเชื่อมโยงคนบุคลิกสูงส่งเ็าเบื้องหน้ากับหนานิเหอในความทรงจำคนนั้นได้ในทันที
จะว่าไปคนของจวนติ้งกั๋วกงก็ไม่ชอบหนานิเหอนัก สมัยนั้นท่านย่าของเยี่ยนเจาเจาคลอดยากมีภาวะตกเื ก็เป็เพราะโซ่วหม่าที่เยี่ยนนั่วชุบเลี้ยงไว้ข้างนอกกำลังตั้งครรภ์เยี่ยนชิว ผู้เป็มารดาของหนานิเหอนั่นเอง
เฉินเซียงอี๋ก็รู้เื่นี้อยู่แล้ว ดวงตานางกลิ้งกลอกไปมา แต่เมื่อเห็นเยี่ยนเจาเจามีท่าทีรักและเชื่อใจเขามากเลยไม่รังเกียจเขา นางจึงพยักหน้ากล่าวว่า “คุณชายิเหอ”
หนานิเหอประสานมือคารวะตอบ
เยี่ยนเจาเจาเตรียมตัวลงจากรถม้า นางกับเฉินเซียงอี๋พูดคุยกับเยี่ยงนี้ อาจทำให้รถม้ากินที่กินทางจนขวางถนนข้างหลังได้ และยังมีสายตาอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อยมองฝ่าม่านสายฝนมาด้วย
เมื่อเยี่ยนเจาเจาหันหลับมาก็เห็นรถม้าของจวนฝูอ๋องอยู่ไม่ไกล...ตรองดูแล้ว คนในรถม้าน่าจะเป็คุณหนูใหญ่ของจวนฝูอ๋องนามว่าเหลียงเยว่ และน้องสาวคนละแม่อย่างเหลียงอี้
สองคนนี้ก็ยากจะรับมือ ได้ยินว่าสมัยที่ท่านป้ายังเยาว์วัย เื้ัการขึ้นครองราชย์สำเร็จของท่านป้าก็ได้รับการสนับสนุนจากฝูอ๋องผู้นี้ไม่น้อย ดังนั้นคุณหนูจวนฝูอ๋องเลยไม่ด้อยไปกว่าเยี่ยนเจาเจาเช่นกัน
ทว่าชาติก่อนเยี่ยนเจาเจาไม่คุ้นเคยกับคนของจวนอ๋องฝูนัก พอนางยอบตัวแสดงความขอโทษที่รถม้าขวางทางเสร็จก็จูงมือเฉินเซียงอี๋เดินไปสบายๆ โดยมีหนานิเหอตามอยู่ข้างกายราวกับไม่อยากห่างจากนางแม้สักก้าว
หลังพวกเขาสามคนเดินจากไปแล้ว ในรถม้าของจวนฝูอ๋องค่อยแว่วเสียงไพเราะทว่าไม่จริงจังออกมา เหมือนเสียงเด็กผู้ชายอายุสิบห้าสิบหกเพิ่งแตกหนุ่ม
“คนนั้นคือใครกัน?”
“คนไหน?”
“คนที่สวมชุดสีเขียวอ่อน กับเด็กสาวข้างกายเขาคือใคร?”
“อ๋า คนผู้นั้นคือเด็กใบ้ในเรือนองค์หญิงฉงหยาง และเด็กสาวดวงตาเมล็ดซิ่งก็คือเยี่ยนเจาเจา ธิดาเพียงหนึ่งเดียวขององค์หญิง ส่วนเด็กสาวใบหน้ากลมมนคือเฉินเอ้อร์[3] ของจวนติ้งกั๋วกง ทำไม ซื่อจื่อสนใจหรือ?”
สังคมพี่น้องหญิงของเยี่ยนเจาเจาในชาติก่อนไม่ใหญ่นัก นับไปนับมาเหมือนจะมีแค่เฉินเซียงอี๋ข้างกายคนเดียว เดิมที่ออกมาวันนี้เพียงเพราะอยากดูว่าวันที่ 4 เดือน 4 ที่ตนไม่เคยเห็นชาติก่อนจะมีลักษณะอย่างไรเท่านั้น ทว่ามาถึงกลับรู้สึกเบื่อหน่ายเสียได้
หอถงเชวี่ยเป็หนึ่งในเหลาที่มีอาหารล้ำเลิศที่สุดของเมืองเซียงเฉิง ปกติปลูกดอกสาลี่มากมายไว้ตรงลานเรือน แต่ยามนี้มิใช่่ดอกไม้บาน จึงไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเล่ออันจวิ้นจู่ถึงจัดงานเลี้ยงวันที่ 4 เดือน 4 ที่นี่
แต่สถานที่ของหอถงเชวี่ยค่อนข้างกว้างขวาง ทั้งยังมีเรือนเล็กเก้าชั้นชื่อว่า “หอเก็บดารา” อีกหลัง ที่ได้ยินว่ายามค่ำคืนสามารถขึ้นไปดูดวงดาวข้างบนได้
แม้นยามนี้จะเป็กลางวัน ทว่าเฉินเซียงอี๋กลับลากเยี่ยนเจาเจามาหาความสงบที่หอเก็บดารา
ส่วนหนานิเหอก็ไม่สนใจที่จะแยกออกไปเดินคนเดียวเช่นกัน เยี่ยนเจาเจานึกถึงสถานการณ์ของเขาก็รู้สึกว่าหากเขามากับตนเองคงดีกว่าจริงๆ
พวกลูกผู้ดีชนชั้นสูงในเมืองเซียงเฉิงมักจะทำงานไม่ได้เื่ได้ราวสักนิด แต่กลับถนัดเื่การทะเลาะวิวาทก่อเหตุเสียเหลือเกิน เยี่ยนเจาเจาย่อมปล่อยพี่ชายรองที่ร่างกายอ่อนแอไปไม่ลงหรอก
เชิงอรรถ
[1] สิงจิ่วลิ่ง หมายถึง การละเล่นท้าเอาแพ้ชนะกัน ใครแพ้จะถูกปรับให้ดื่มสุรา
[2] ปาลูกดอก หมายถึง การละเล่นที่คล้ายกับการโยนห่วงในสมัยปัจจุบัน แต่เปลี่ยนเป็โยนธนูลงหม้อแทน โดยผู้ที่โยนเข้าได้จำนวนมากสุดจะเป็ผู้ชนะ ส่วนผู้ที่โยนเข้าน้อยสุดจะถูกลงโทษด้วยการดื่มสุรา ถือเป็เกมสนุกๆ ที่ทั้งเหล่านางใน ขุนนาง และฮ่องเต้ต่างนิยมเล่นกัน
[3] เอ้อร์ หมายถึง สอง ในนิยายเรียกเฉินเอ้อร์ หมายความว่า บุตรสาวสกุลเฉินคนที่สอง