เสียงที่ดังกึกก้องของหงเจิ้งหยวนทำให้ผู้คนที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงต่างหันไปมองที่หลี่ชิงหยุนอย่างพร้อมเพรียงโดยมิได้นัดหมาย
เห็นได้ชัดว่าหงเจิ้งหยวน้าเอาคืนในสิ่งที่หลี่ชิงหยุนทำให้มันอับอายก่อนหน้านี้ที่หน้าหอสมุดราชวงศ์
ในเมื่อหงเจิ้งหยวนไม่สามารถเอาชนะหลี่ชิงหยุนได้ การทำให้เขาขายขี้หน้าจึงเป็ทางเลือกที่ดี
สิ่งนี้จะช่วยให้หงเจิ้งหยวนระบายความคับข้องใจได้บ้าง
แต่ใบหน้าของหลี่ชิงหยุนสงบอย่างเช่นเดิม พลางเดินไปตามเส้นทางและเข้าใกล้หงเจิ้งหยวน จากนั้นเขาก็กระซิบเบาๆอย่างใจเย็น "ดูเหมือนว่าเ้าสูญเสียฟันไปไม่เพียงพอ เช่นนั้นข้ายินดีที่จะถอนเพิ่มให้ เ้าคิดเห็นอย่างไร?"
เสียงของหลี่ชิงหยุนนั้นเบามาก แต่ทุกคนที่มางานเลี้ยงเป็ถึงผู้ฝึกฝนที่แข็งแกร่ง ประสาทััการได้ยินของพวกเขานั้นสูงมากพอที่จะได้ยินคำเย้ยหยันของหลี่ชิงหยุน
เมื่อได้ยินเช่นนั้นทุกสายตากำลังสอดส่องไปที่ช่องปากของหงเจิ้งหยวนโดยไม่ได้ตั้งใจ
หงเจิ้งหยวนที่เห็นสายตาที่เฉียบแหลมของทุกคนกำลังมองมาที่มัน มันรีบยกมือขึ้นมาปิดปากอย่างฉับพลันด้วยท่าทางเขินอายและแทบอยากจะมุดแผ่นดินหนีไปให้ไกลจากที่นี่จริงๆ 'ไอ้บ้า! นี่มันน่าขายหน้าชะมัด!'
แต่การกระทำของหงเจิ้งหยวนนั้นมิอาจรอดพ้นสายตาฝูงชนส่วนใหญ่สามารถเห็นเหงือกที่ไม่มีฟันของหงเจิ้งหยวนได้อย่างชัดเจน และเป็แก้มด้านซ้ายที่ฟันหลุดออกไปเกือบหมดปาก
เมื่อยืนยันว่าสิ่งที่หลี่ชิงหยุนพูดเป็ความจริง ผู้คนต่างพากันอั้นเสียงหัวเราะยกใหญ่จนท้องแข็ง มีบางคนที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และเผลอหัวเราะลั่นอย่างสนุกสนานพร้อมกับกุมท้องด้วยความอัดอั้น
แม้แต่หงเจิ้นที่อยู่ด้านหลังหงเจิ้งหยวนเองก็ไม่มีข้อยกเว้น
ใบหน้าของหงเจิ้งหยวนกลายเป็สีตับหมู มันมองไปที่หลี่ชิงหยุนด้วยสายตาอาฆาต "ไอ้สารเลว! เ้าควรระวังตัวไว้ให้ดี!"
"นายน้อยหง หากไม่้าใช้บริการถอนฟัน ก็หลีกทางให้ข้า มิเช่นนั้นข้าอาจจะถอนฟันให้เ้าอีกข้าง" หลี่ชิงหยุนตอบโต้ด้วยน้ำเสียงราบเรียบและเดินผ่านโดยไม่แม้แต่เหลียวมองกลับไป
หากอยู่ในพระราชวังเขาไม่จำเป็ต้องเกรงกลัวสิ่งใด ต่อให้เป็ตระกูลขุนนางก็ตาม! ที่นี่หลี่ชิงหยุนสามารถเป็อิสระได้อย่างเต็มที่!
"เ้า!" ดวงตาของหงเจิ้งหยวนกลายเป็สีแดงดุร้าย มันปล่อยเสียงคำรามด้วยความเดือดดาล
แต่ก่อนที่หงเจิ้งหยวนจะได้ลงมือ กลับมีชายหนุ่มในชุดสีเหลืองเดินเข้ามาอย่างเงียบงันด้วยใบหน้าที่เป็มิตร เป้าหมายของชายผู้นั้นคือหลี่ชิงหยุนอย่างแม่นยำ
"นั่นต้องเป็นายน้อยหลี่ หลี่ชิงหยุนที่เป็ผู้ชนะในการประลองในปีนี้ใช่หรือไม่?" ชายหนุ่มในชุดสีเหลืองพูดอย่างสุภาพ
ชายหนุ่มในชุดสีเหลืองผู้นี้มีผมยาวสีน้ำตาลอ่อน ปากของเขามีการเผยออยู่ตลอดเวลา ดวงตาของเขามีความร่องรอยของความเฉลียวฉลาดและแรงจูงใจแอบแฝง ดวงตาคู่นี้ช่างคล้ายคลึงกับหลี่ชิงหยุนจริงๆ เห็นได้ชัดว่าคนประเภทนี้ถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่คนเ้าเล่ห์
หลี่ชิงหยุนหันกลับไปมองที่ชายในชุดสีเหลืองที่กำลังเดินมาหาเขาด้วยท่าทีสงสัย 'ใครอีกละเนี่ย?'
หลี่ชิงหยุนจำไม่ได้ว่าเคยรู้จักชายหนุ่มในชุดสีเหลืองผู้นี้ เขาจึงถามด้วยความสับสน "เอ่อ...ขออภัยที่เสียมารยาท แต่เ้าคือใคร?"
มุมปากของชายหนุ่มชุดสีเหลืองกระตุกโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อเห็นสีหน้าของหลี่ชิงหยุน ชายหนุ่มรับรู้ได้ทันทีว่าหลี่ชิงหยุนไม่รู้จักเขาจริงๆ
ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าเบาๆเพื่อทำใจให้สงบ "ให้ข้าแนะนำตัว ข้าเล่ยตงเทียนจากตระกูลขุนนางเล่ย ยินดีที่ได้รู้จัก"
เล่ยตงเทียนยื่นมือขวาทักทายหลี่ชิงหยุนด้วยรอยยิ้มอบอุ่นที่กำลังฉาบอยู่บนใบหน้า
"โอ้?" รูม่านตาของหลี่ชิงหยุนหดลงทันที แม้ว่าการแสดงออกภายนอกของหลี่ชิงหยุนจะนิ่งเงียบและสงบ แต่ภายในใจของเขากลับเต้นไม่เป็จังหวะ
หลี่ชิงหยุนและสมุนของเล่ยตงเทียนต่างก็ฟาดฟันกันมานานแสนนานั้แ่เหตุการณ์ที่เกิดจากตระกูลหยาน หลังจากนั้นก็เหตุการณ์ที่เล่ยเฉียนลักพาตัวนาหลันเสี่ยวฉี อีกทั้งยังมีการต่อสู้ระหว่างเขาและฉางเป่ยลี่รวมถึงการต่อสู้กับท่านฉู่เมื่อไม่นานมานี้
แต่นี่เป็ครั้งแรกที่หลี่ชิงหยุนได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของผู้บงการที่อยู่เื้ั 'เล่ยตงเทียน' ศัตรูตัวฉกาจคนแรกที่เป็สาเหตุทำให้ครอบครัวของเขาเสียชีวิตในชาติที่แล้ว
เขาเองก็ไม่คาดคิดว่าเล่ยตงเทียนจะริเริ่มเข้ามาทักทายเขาด้วยตัวเอง
ไม่นานหลี่ชิงหยุนพยายามทำจิตใจให้สงบที่สุด จากนั้นเขายื่นมือออกไปตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่สนิทสนม "ที่แท้ก็เป็นายน้อยเล่ย ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน"
ใบหน้าของหลี่ชิงหยุนก็มีรอยยิ้มที่สุภาพซึ่งไม่ต่างจากเล่ยตงเทียนแม้แต่น้อย เขาต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์และห้ามเปิดเผยสิ่งใดที่จะทำให้เล่ยคงเทียนรู้สึกสงสัย
ในเมื่อเล่ยตงเทียนเป็ฝ่ายเข้าหาเขาก่อน นั่นหมายความว่าเขาได้ตกเป็เป้าหมายของเล่ยตงเทียนไปเรียบร้อยแล้ว
แม้ว่าอากัปกิริยาของทั้งสองคนจะดูเป็มิตรราวกับสหายที่ไม่ได้เจอกันมาเนิ่นนาน แต่ในสายตาของฝูงชนที่กำลังมองอยู่ พวกเขารู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่ปกติ
ทันใดนั้นการจ้องมองที่เข้มงวดของเล่ยตงเทียนได้พุ่งตรงเข้าไปในส่วนลึกจิตใจของหลี่ชิงหยุนเพื่อ้ากระตุ้นความกลัวให้กับจิติญญาอย่างกะทันหัน
เล่ยตงเทียนหรี่ตามองและพยายามจับพิรุธในการแสดงออกของหลี่ชิงหยุนในขณะนี้
แต่กลับกลายเป็ว่าหลี่ชิงหยุนไม่มีปฏิกิริยาใดๆแม้แต่น้อย ราวกับเขาไม่รู้ร้อนรู้หนาว
เมื่อเห็นเช่นนั้นเล่ยตงเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อยที่แทบจะมองไม่เห็น พลันปล่อยมืออย่างช้าๆ "นายน้อยหลี่ หายากจริงๆที่มีอัจฉริยะที่อายุน้อยเช่นนี้ในราชวงศ์โม่ ข้าอยากจะทำความรู้จักกับเ้าให้มากกว่านี้"
"นายน้อยเล่ยสุภาพเกินไป ข้าเป็แค่เด็กบ้านนอกเท่านั้น มิใช่อัจฉริยะที่ท่านกล่าวถึงแต่อย่างใด" หลี่ชิงหยุนประสานมือและส่ายหัวเบาๆ
เล่ยตงเทียนหัวเราะเยาะ "หากนายน้อยหลี่เป็แค่คนบ้านนอก คงมิอาจทุบตีหงเจิ้งหยวนจนอับอายได้ถึงเพียงนี้เป็แน่"
หงเจิ้งหยวนที่ฟังอยู่ด้านข้างเกือบจะชักดาบออกมาฆ่าตัวตาย 'ไอ้สารเลว เหตุใดเ้าต้องขุดาแของข้าขึ้นมาเล่า!?'
"ข้าเองก็ไม่คาดคิดว่านายน้อยหลี่จะได้รับเชิญมางานเลี้ยงแห่งนี้ด้วย" จากนั้นเล่ยตงเทียนพูดออกมาราวกับตั้งคำถาม แต่ความหมายอื่นคือมันอยากรู้จุดประสงค์ที่หลี่ชิงหยุนมาที่นี่
หลี่ชิงหยุนไม่ได้โง่ เขารู้ว่าเล่ยตงเทียน้ารู้อะไรบางอย่าง เขาส่ายหัวและยิ้มจางๆ "ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน เป็องค์หญิงที่ติดต่อข้าให้มาที่นี่"
"เช่นนั้นนายน้อยหลี่ไม่รู้เหตุผลที่องค์ชายเชิญเ้ามางั้นหรือ?" เล่ยตงเทียนถามด้วยน้ำเสียงที่แปลกประหลาดราวกับกำลังมองคนบ้า
สีหน้าของหลี่ชิงหยุนเปลี่ยนเป็ประหลาดใจ 'เดี๋ยวๆ โม่หยุนซีบอกว่าเป็งานเลี้ยงปกติมิใช่หรือ? มันมีสิ่งใดมากกว่านั้นอีกหรือไง?'
"เอ่อ...ข้าไม่รู้จริงๆ" หลี่ชิงหยุนยิ้มเหยเก สีหน้าของเขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาไม่รู้เหตุผลเื้ัจริงๆ
เล่ยตงเทียนแทบจะกระอักเืเต็มปาก มันพยายามสอบถามเหตุผลที่หลี่ชิงหยุนมาที่นี่ แต่เมื่อเห็นการแสดงออกทางสีหน้าของหลี่ชิงหยุน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้อะไรเลยจริงๆ เล่ยตงเทียนยืนนิ่งอย่างคนโง่อยู่นานโดยไม่ได้พูดอะไร
"นายน้อยเล่ย หากไม่มีสิ่งอื่นใดแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน" หลี่ชิงหยุนประสานมือและจากไปพร้อมกับหนานกงหลิงทันที ทิ้งให้เล่ยตงเทียนยืนคิ้วขมวดอยู่เพียงผู้เดียว
เล่ยตงเทียนไม่มีคำตอบใดๆในการทดสอบปฏิกิริยาของหลี่ชิงหยุนเลยแม้แต่น้อย
แม้แต่ตอนจับมือเพื่อตรวจสอบร่างกายและเส้นลมปราณ ไปจนถึงการจู่โจมทางจิติญญา หลี่ชิงหยุนกลับไม่ได้ต่อต้านใดๆ แต่เขาก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆด้วยเช่นกัน
ทันใดนั้นหงเจิ้นก็เดินออกมาหาเล่ยตงเทียนจากที่ไม่ไกลนักและถามด้วยน้ำเสียงที่สงสัย "พี่เล่ย เป็อย่างไรบ้าง?"
ใบหน้าของเล่ยตงเทียนดูน่าเกลียดเล็กน้อย ดูเหมือนมันจะไม่ได้ในสิ่งที่้า
ไม่นานนักมันก็ตอบอย่างอารมณ์เสีย "ทุกอย่างดูปกติ อัตราการเต้นของหัวใจของเขาไม่ได้แปลกไป ไม่มีการตื่นตัวหรืออาการตื่นตระหนกใดๆที่แตกต่างไปจากเดิม และที่สำคัญร่างกายของเขายังคงปกติไม่มีาแร้ายแรงเกิดขึ้นกับอวัยวะภายในหรือเส้นลมปราณอย่างที่ฉู่หยางบอกเลยแม้แต่น้อย"
เล่ยตงเทียนได้รวบรวมข้อมูลและข้อสันนิษฐานจนได้ข้อสรุปแล้วว่าโอกาสที่หลี่ชิงหยุนอาจจะเป็ชายในหน้ากากหยกนั้นมีสูงถึงเจ็ดส่วน และอีกสามส่วนมันคิดเผื่อว่าอาจจะเป็ผู้อื่นที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลี่ชิงหยุน
แต่เหตุใดจึงไม่มีาแร้ายแรงใดๆเลยแม้แต่น้อย? หากหลี่ชิงหยุนคือชายหน้ากากหยก เป็ไปไม่ได้ที่อาการาเ็จากปรมาจารย์ระดับลมปราณลึกซึ้งจะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้เพราะการต่อสู้เพิ่งผ่านไปไม่ถึงหนึ่งวันด้วยซ้ำ
นั่นหมายความว่าหลี่ชิงหยุนไม่เคยได้รับาเ็แต่อย่างใด
อีกทั้งหลี่ชิงหยุนไม่มีอาการตื่นตระหนกแต่อย่างใด เขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับชายหน้ากากหยกจริงๆงั้นหรือ?
"เป็ไปได้ไหมที่ชายหน้ากากหยกไม่เกี่ยวข้องกับเด็กคนนั้น?" ทันใดนั้นหงเจิ้นก็พูดขึ้น และทั้งคู่กำลังสงสัยในหัวข้อเดียวกัน
"ข้ายังคงเชื่อในข้อสันนิษฐานของข้า... ไม่ต้องกังวล ด้วยทักษะของข้า ข้าจะรีดเค้นความจริงจากปากของเขาเอง" แม้จะอารมณ์เสียเล็กน้อย แต่เล่ยตงเทียนต้องเลื่อนเื่นี้ออกไปก่อน มันต้องหาจังหวะที่เหมาะสมสำหรับพูดคุยกับหลี่ชิงหยุนเป็การส่วนตัว
จากนั้นพวกมันเดินไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือห้องโถงจัดเลี้ยง
"หงเจิ้น เ้าเองก็เช่นกัน เ้าไม่อยากทดสอบเขาหน่อยหรือ?" ระหว่างเดินไปที่ห้องโถง เล่ยตงเทียนสนทนากับหงเจิ้นไปตลอดทางและถามเกี่ยวกับเื่ของหลี่ชิงหยุน
ดวงตาของหงเจิ้นยังคงสงบและส่ายหัว "แม้ว่าชายหนุ่มผู้นั้นจะมีพร์ แต่เขาก็ยังไม่เพียงพอที่ข้าจะให้ความสนใจ...เื่นี้เจิ้งหยวนเป็คนก่อมันขึ้นมา เขาก็ต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง"
"แต่ถ้าหากชายผู้นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับชายหน้ากากหยกจริงๆ...ข้าจะเป็ผู้ที่สังหารมันด้วยมือของข้าเอง!" หงเจิ้นแสยะยิ้มอย่างน่าขนลุก
มุมหนึ่งของพระราชวัง ชายหนุ่มในชุดคลุมสีทองกำลังนั่งอยู่บนที่สูงในมือของเขามีจอกสุราเล็กๆพลางมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่อย่างสนใจ
จากนั้นชายหนุ่มหันไปถามชายชราที่อยู่ด้านข้าง "ท่านผู้เฒ่า ท่านคิดว่าอย่างไร?"
ชายชราในชุดข้าราชการที่ยืนอยู่ด้านหลังของชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยมั่นใจนัก "อันตราย... ชายหนุ่มหน้าหวานผู้นั้นอันตรายจริงๆ และข้ารู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่น่าสะพรึงกลัวในตัวของเขา"
"แม้ว่าภายนอกเขาจะดูสุภาพและอ่อนโยน แต่ข้าััได้ถึงความกระหายเืและความบ้าคลั่ง หรือบางทีข้าอาจจะแค่คิดไปเองเท่านั้น" ชายชราส่ายหัวอย่างไม่แน่ใจ
ชายในชุดคลุมสีทองที่ได้ยินชายชราแสดงความคิดเห็นเช่นนั้น เขาก็มีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ชายชราผู้นี้คือคนรับใช้ของเขาั้แ่เขาเกิด ความรู้สึกและสัญชาตญาณของชายชราผู้นี้ไม่เคยผิดพลาดตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ชายชราผู้นี้เคยเป็ที่ปรึกษาส่วนตัวของโม่หยุนเทียนเมื่อครั้งวัยเยาว์ ดังนั้นเขาเป็ผู้ที่มากประสบการณ์อย่างแน่นอน
ไม่นานนักชายหนุ่มในชุดคลุมสีทองก็ยิ้มอย่างสนุกสนานและมีความอยากรู้อยากเห็นทอแสงในดวงตา "ไปกันเถอะ ไปทักทายน้องเขยของเรากัน"
ชายในชุดคลุมสีทองสะบัดเสื้อคลุมและลอยลงมาจากอาคารของพระราชวัง ชายผู้นี้คือองค์ชายโม่อู่เต๋าผู้ที่จัดงานเลี้ยงนี้ขึ้นมาโดยธรรมชาติ
หลังจากหลี่ชิงหยุนผ่านประตูพระราชวังเข้าไป ที่ประตูทางเข้าห้องโถงมีทหารองครักษ์หลายนายกำลังประจำการไม่ต่ำกว่าสามสิบคน พวกเขายืนเรียงแถวหน้ากระดานกันอย่างมีระเบียบ แม้ว่าจะเป็แค่งานเลี้ยงเล็กๆ แต่ที่นี่ก็ยังเป็ศูนย์รวมอัจฉริยะของเหล่าเยาวชน จึงไม่น่าแปลกใจที่ทหารองครักษ์จะมากมายถึงเพียงนี้
เมื่อมองจากด้านนอก ด้านในของโถงนั้นมีโต๊ะกลมขนาดที่ไม่ใหญ่มากนักเป็จำนวนมาก ซึ่งหนึ่งโต๊ะสามารถจุได้เพียงแค่หกคนเท่านั้น
ผู้คนที่มาส่วนใหญ่กำลังทยอยเข้ามาในห้องจัดเลี้ยงอย่างต่อเนื่อง และยังมีเก้าอี้สูงสีทองส่องประกายอีกสี่ตัวที่สูงกว่า นั่นคือที่นั่งสำหรับองค์ชายและองค์หญิง
"เล่ยตงเทียน ้าทดสอบข้างั้นหรือ? ฮี่ฮี่ มันไม่ง่ายเช่นนั้น" หลี่ชิงหยุนหัวเราะคิกคัก
หลี่ชิงหยุนรู้อยู่แล้วว่าเล่ยตงเทียน้าทดสอบเขา หากเขาแสดงอาการตื่นกลัวหรือตื่นตระหนกใดๆ เขาจะพ่ายแพ้ในเกมนี้และตัวตนของเขาจะถูกเปิดเผยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
"มาดูกันว่าเล่ยตงเทียนจะทำอะไรต่อไป?" หลี่ชิงหยุนยิ้มอย่างลึกซึ้งและเดินเข้าไปในห้องโถงขนาดใหญ่อย่างช้าๆ
หลี่ชิงหยุนกำลังมองไปรอบๆ หลังจากเดินเข้าไปได้ไม่นาน เขาก็เจอเข้ากับโต๊ะของเสี่ยวฉินที่ตั้งอยู่กลางห้องโถงและเขากำลังนั่งอยู่กับใครบางคน
"หลี่ชิงหยุน ทางนี้!" เสี่ยวฉินเองก็สังเกตเห็นหลี่ชิงหยุนที่กำลังเดินเข้ามาเช่นกัน เขาลุกขึ้นกวักมือเรียกเบาๆ
และไม่ไกลจากเสี่ยวฉิน ปรากฏร่างของหญิงสาวในชุดสีเหลืองที่ดูอ่อนโยนและมีรอยยิ้มที่สดใส สายตาของนางกำลังจ้องมองไปที่ใบหน้าของเสี่ยวฉินด้วยความรัก หากให้นางมองเสี่ยวฉินเช่นนี้ไปตลอดชีวิต นางคงจะไม่ปฏิเสธเป็แน่
หญิงสาวผู้นี้เป็ใครไปไม่ได้นอกจากหนานกงเฟิงหลิงที่ชักชวนเสี่ยวฉินให้มาที่นี่
แม้ว่าการต่อสู้ระหว่างทั้งสองคนก่อนหน้านี้เกือบจะทำให้หนานกงเฟิงหลิงเสียชีวิตโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่หลังจากอุบัติเหตุครั้งนั้น เสี่ยวฉินเองก็ออกมาขอโทษขอโพยแก่หนานกงเฟิงหลิงเสียยกใหญ่ บางทีนั่นอาจจะเป็จุดเริ่มต้นของความรู้สึกดีๆของทั้งสองคน
"เสี่ยวฉิน เ้ามาเร็วมาก" หลี่ชิงหยุนตามมาด้วยหนานกงหลิงเดินไปที่โต๊ะที่ทั้งสองคนกำลังนั่งอยู่ เขาเข้าไปตบไหล่เสี่ยวฉินเบาๆ
"หนานกงเฟิงหลิงคารวะน้อยหลี่" หนานกงเฟิงหลิงที่กำลังนั่งอยู่ด้านข้างก็ลุกขึ้นทักทายหลี่ชิงหยุนทันที เมื่อนางเห็นว่าเสี่ยวฉินดูสนิทสนมกับหลี่ชิงหยุนอย่างมาก
"พี่สะใภ้ ไม่จำเป็ต้องสุภาพ" หลี่ชิงหยุนประสานมือพร้อมกับขยิบตาไปที่ทั้งสองคนอย่างมีเลศนัย
หนานกงเฟิงหลิงและเสี่ยวฉินหน้าแดงอย่างกะทันหัน ทั้งสองคนเบือนหน้าหนีกันไปคนละทาง คำว่าพี่สะใภ้จากหลี่ชิงหยุนทำให้ทั้งสองคนทำตัวไม่ถูกในสถานการณ์เช่นนี้
หนานกงหลิงที่กำลังมองเหตุการณ์ตรงหน้าก็ร้องอุทานอย่างเข้าใจ "โอ้...ที่แท้พี่สาวก็มีความรักนี่เอง"
"สาวน้อย เ้ากำลังพูดบ้าอะไร!?" หนานกงเฟิงหลิงลุกขึ้นมาตีหัวน้องสาวของตนอย่างรวดเร็วเพื่อกลบเกลื่อน แต่รอยสีแดงที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าและคอของนางนั้นไม่สามารถปกปิดได้อย่างมิดชิด
หลี่ชิงหยุนยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อมองดูทั้งสองคนหยอกล้อกันอย่างใกล้ชิด ในเมื่อเสี่ยวฉินผู้นี้กำลังมีความรัก เขาไม่จำเป็ต้องกังวลเกี่ยวกับเส้นทางของเสี่ยวฉินอีกต่อไป
เขาเชื่อว่าเสี่ยวฉินจะสามารถสร้างเส้นทางที่ดีกว่าของตนเองขึ้นมาได้โดยที่ไม่จำเป็ต้องพึ่งทักษะดาบไร้ปราณี
หลี่ชิงหยุนเลือกที่นั่งใกล้กับเสี่ยวฉิน ส่วนหนานกงหลิงก็เลือกที่จะนั่งข้างพี่สาวของนาง
"แม่นางหนานกง เ้ารู้เหตุผลหรือไม่ว่าเหตุใดองค์ชายจึงเชิญพวกเรามาที่นี่?" ด้วยความสงสัยและอยากรู้อยากเห็น หลี่ชิงหยุนอดไม่ได้ที่จะหันไปถามหนานกงเฟิงหลิง พลางกับจิบชาเข้าปาก
หนานกงเฟิงหลิงก็มีสีหน้าแปลกใจที่เขาไม่รู้เื่นี้ "ดูเหมือนงานเลี้ยงนี้จะเกี่ยวข้องกับหัวข้อผู้สืบทอดบัลลังก์กษัตริย์คนต่อไป"
"พู่!" หลี่ชิงหยุนเผลอพ่นชาออกมาเต็มปากโดยไม่ได้ตั้งใจ 'พระเ้าช่วย! นี่มันเื่ใหญ่เลยไม่ใช่รึไงกัน!?'