จุนห่าวและหานรุ่ยพักอยู่ในเมืองติดทะเลแห่งนี้ต่ออีกหลายวัน หลายวันมานี้ จุนห่าวและหานรุ่ยสอบถามได้เื่มาไม่น้อย พวกเขายืนยันว่าสิ่งที่บริกรพูดในเวลานั้นเป็ความจริง การเลือกลูกเขยของตระกูลอู๋เป็เื่จริง เื่ขายตั๋วเรือก็เป็เื่จริง เื่นี้แพร่สะพัดไปทั่วจักรวรรดิหั่วเหยียน และยังแพร่สะพัดอย่างต่อเนื่อง คาดว่าใช้เวลาไม่นานคงแพร่สะพัดทั่วแผ่นดินชางหลาน เหตุผลที่ผู้คนจำนวนมากแห่ไปที่เกาะหลานชิง ส่วนหนึ่ง้าไปสมัครคัดเลือกลูกเขย แต่คนส่วนใหญ่ก็้าตั๋วเรือเพื่อออกจากแผ่นดินชางหลาน การติดเรือไปกับตระกูลอู๋ย่อมปลอดภัยกว่าการไปด้วยตัวเองมาก
ในเวลานี้ จุนห่าวและหานรุ่ยได้นั่งเรือไปยังเกาะหลานชิง ใช้เวลาหนึ่งเดือน เรือถึงจะไปถึงเกาะหลานชิง เกาะหลานชิงเป็เกาะที่ใหญ่ที่สุดในแผ่นดินชางหลาน มีเกาะเล็กๆ หลายพันเกาะอยู่โดยรอบ ซึ่งมีพื้นที่ค่อนข้างกว้างขวาง บนเกาะล้านชิงมีสามตระกูลใหญ่ แบ่งเป็ตระกูลอู๋ ตระกูลหลี่ และตระกูลเจี่ย ทั้งสามตระกูลมีอำนาจเท่าเทียมกัน ไม่มีใครทำอะไรใครได้
จุนห่าวและหานรุ่ยไม่ได้ทำอะไร จึงซ่อนตัวบำเพ็ญเพียรอยู่แต่ในห้องส่วนตัวของตัวเอง เวลานี้ทั้งสองคนมีลมปราณขั้นสิบเอ็ดแล้ว หลังจากเข้าสู่ขั้นสิบเอ็ด ทั้งคู่ถึงได้รู้ว่าจากลมปราณขั้นสิบเอ็ดเข้าสู่ขั้นสิบสอง ต้องสะสมพลังิญญามหาศาล ในแง่ของความเข้มข้นของพลังิญญาบนแผ่นดินชางหลาน การที่คนจะไม่พึ่งพาวัตถุยิ่งใหญ่ ต้องสะสมพลังิญญาประมาณ 10 ปี กว่าถึงจะเข้าสู่ขั้นสิบสอง ดังนั้น เวลานี้ทั้งคู่ไม่อยากเสียเวลาแม้แต่น้อย กำลังบำเพ็ญเพียรแข่งกับเวลา ใน่บำเพ็ญเพียร จุนตงและจุนหนานก็เริ่มอ่านหนังสือที่จุนห่าวและหานรุ่ยเตรียมไว้ให้พวกเขา สำหรับการเพิ่มประสบการณ์ของพวกเขา แค่คนละในครอบครัวก็ทำเื่ของตัวเอง
จุนห่าวหยุดบำเพ็ญเพียรแล้วเปิดตาขึ้น ในเวลานี้หานรุ่ยก็ลืมตาขึ้นเช่นกัน สบตากันและกัน ทั้งสองยิ้มให้กัน สายตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
จุนห่าวพูดกับหานรุ่ยว่า “เสี่ยวรุ่ย วันนี้มื้อเที่ยงเราไปทานที่ห้องอาหารกันเถอะ เราขึ้นเรือมา 10 วันแล้ว 10 วันมานี้เราบำเพ็ญเพียรในห้องตลอด กินแต่ยาบำรุง ลูกๆ ก็ดูไม่คึกคัก เดาว่าพวกเขาคงเบื่อแล้ว เห็นพวกเขาเชื่อฟังอย่างนี้ วันนี้เราควรพาพวกเขาไปทานอาหารมื้อใหญ่บ้าง”
ฟังคำของจุนห่าว จุนหนานวางหนังสือในมือลง มองไปทางหานรุ่ยด้วยสายตาเปล่งประกาย พูดอย่างน่าสงสารว่า “ท่านแม่ เราไปกันเถอะ ท่านพี่อยากทานมื้อใหญ่แล้ว ท่านไม่รู้หรอกว่า เมื่อวานท่านพี่ยังบ่นกับข้าว่าได้สารอาหารไม่ดี พูดว่าเขาดื่มจนอยากจะอาเจียนแล้ว เขายังพูดอีกว่าหากได้ทานอาหารอุ่นๆ เขาก็ตายตาหลับแล้ว”
ฟังคำของจุนหนาน จุนตงก็โมโห คิดในใจ เห็นๆ อยู่ว่าเมื่อวานนี้จุนหนานบ่นกับเขาด้วยใบหน้าอันขมขื่น โดยบอกว่าเขาอยากจะอาเจียน ไม่อยากดื่มมันแล้ว จุนหนานยังให้เขาไปเรียนท่านพ่อและท่านแม่ให้หน่อยว่า ให้พาพวกเขาไปทานอาหารมื้อใหญ่ ตอนนั้นเขาเห็นว่าจุนหนานช่างน่าสงสารนัก จึงตอบตกลง ในความเป็จริง เขาไม่เคยเห็นจุนหนานทำหน้าตาน่าสงสารกับเขาแบบนี้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงตกลง เขารู้สึกว่าจุนหนานส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของเขา เมื่อใดก็ตามที่เขาเห็นจุนหนานทำอะไรที่เขาไม่ชอบ เขาเกลียดจนแทบอยากจะเปลี่ยนหน้าตา
จุนตงคิดไม่ถึงว่าจุนหนานจะทำเช่นนี้ คิดในใจ แม้ว่าพวกเขาจะเป็พี่น้องกัน เขาก็ไม่อาจเป็แพะรับบาปแทนจุนหนานได้ นี่ทำให้ภาพลักษณ์ของเขาเสื่อมเสีย ดังนั้น จุนตงจึงพูดกับจุนหนานด้วยความโกรธว่า “จุนหนาน เ้าอย่ามาโกหกข้า รู้กันอยู่ว่าเ้าพูดว่าเ้าไม่อยากดื่มยาบำรุงแล้ว อยากกินอาหารมื้อใหญ่” พูบจบจุนตงก็ระวับอารมณ์ของเขา และพูดอย่างใจเย็นว่า “จุนหนาน จากนี้ไป โปรดใช้สมองที่เป็สนิมของเ้าก่อนที่จะพูดอะไรออกมา เ้าคิดว่าข้าจะเป็คนที่พูดแบบนั้นหรือ? คำพูดนั้นมีแค่เ้าที่พูดออกมาได้”
ฟังคำของจุนตง จุนหนานพูดด้วยความไม่พอใจว่า “ท่านพี่ ท่านพูดคำแบบนั้นออกมาไม่ได้หรอก เพราะว่าท่านมักจะทำตัวซ้ำซ้อน เห็นๆ อยู่ว่าท่านก็คิดเช่นนั้น ท่านกลับไม่พูด วันนี้ข้าเลยพูดเสียงที่อยู่ในใจท่านแทน ให้ท่านพ่อและท่านแม่ได้รู้ความคิดของท่าน ข้าทำเพื่อช่วยท่านนะ ท่านไม่ขอบคุณข้า ซ้ำยังโกรธข้าอีก ท่านพี่ ท่านช่างไม่เข้าใจเจตนาดีเลย ต่อจากนี้ข้าจะไม่ช่วยท่านพูดแล้ว ท่านก็เก็บกดกับตัวเองละกัน เก็บกดตลอดชีวิต ก็ไม่มีใครรู้ว่าท่าน้าอะไร”
จุนตงที่โกรธอยู่แล้ว ฟังคำของจุนหนาน ยิ่งอยากจะะเิความโกรธของเขาออกมา ทว่ายิ่งเขาโกรธมากขึ้น ใบหน้าของเขายิ่งสงบนิ่ง คิดในใจ จุนหนานเป็คนปากคอเราะร้าย และชอบเถียงข้างๆ คูๆ ใน่ที่เขาไม่ระวัง น้องชายของเขาคนนี้ฉลาดขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังขุดหลุมให้เขา แต่คิดว่าเขาจะทำตามหรือ? จุนตงตอบอย่างมั่นใจเลยว่าไม่มีทาง หากครั้งนี้รู้เห็นเป็ใจกับจุนหนาน ครั้งต่อไป ยิ่งขุดหลุมฝังที่ใหญ่ขึ้นแน่ ดังนั้น เขาไม่อาจรู้เห็นเป็ใจกับจุนหนานต่อไปได้
เขาพูดจบจุนหนานยิ้มๆ ว่า “ข้าคิดไม่ถึงว่า น้อยชายจะเข้าใจข้าขนาดนี้ แม้แต่เสียงในใจของข้าก็ยังล่วงรู้ เ้าทำให้ท่านพ่อและท่านแม่เข้าใจเสียงในใจของข้าแทนข้า พี่ต้องขอบคุณเ้าไว้ที่นี่” พูดจบก็ยิ้มเป็ประกายให้จุนหนาน
เห็นรอยยิ้มเป็ประกายของจุนตง จุนหนานรู้สึกอึดอัด คิดในใจ บทพูดนี้ไม่ถูกต้อง ท่านพี่ควรจะโกรธมิใช่หรือ? เหตุใดถึงกล่าวขอบคุณเขา แสดงท่าทางซาบซึ้งใจจนแบบน้ำตาจะไหลพราก ทั้งยังยิ้มให้เขา พร้อมรอยยิ้มเป็ประกายอย่างนั้น เดิมทีเขาอยากจะเห็นใบหน้าบิดเบี้ยวของจุนตง จึงตั้งใจหยอกล้อเขา อยากเห็นเขาพูดไม่ออก ทว่าเมื่อเห็นจุนตงแสดงออกเช่นนี้ จุนหนานไม่เข้าใจจริงๆ จุนหนานคิดยังไงก็รู้สึกว่าไม่ถูก ในหัวของเขา คิดแต่ว่าต้องมีตรงไหนที่ไม่ถูกต้อง
เห็นลูกตาของจุนหนานโยกย้ายไปมา จุนตงก็รู้ว่าจุนหนานคิดอะไรอยู่ ดังนั้น เขาจึงพูดกับจุนหนานตรงๆ ว่า “น้องชาย เ้าไม่ต้องคิดแล้ว เมื่อครู่นี้พี่ขอบคุณเ้าด้วยใจจริง แต่......” จุนตงพูดถึงตรงนี้ก็หยุดชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นเขาก็มองจุนหนานซึ่งกำลังรอคอยคำพูดต่อไปของเขาด้วยหูที่เอียงๆ และพูดต่อว่า “แต่ ครั้งนี้น้องทายผิดแล้ว ข้าไม่ได้อยากกินอาหารมื้อใหญ่อะไร ข้าคิดว่าเสียเวลาเปล่าๆ ตอนนี้ข้าจมอยู่ในมหาสมุทรแห่งความรู้ ข้าอยากประหยัดเวลาอ่านหนังสือ ดังนั้น รบกวนน้องชาย ช่วยพูดเสียงในใจของข้ากับท่านพ่อและท่านแม่ ว่าข้าไม่อยากกินอาหารมื้อใหญ่ เวลาเป็สิ่งมีค่า ข้าอยากถนอมเวลาอันมีค่าไว้ ข้าขอแนะนำน้องว่า อย่าเสียเวลากินอาหารเลย ตอนนี้เรายังเล็ก ไม่ต้องโลภ เราต้องมุมานะบากบั่นเพื่อให้ได้มาซึ่งความเข้มแข็งเกรียงไกร”
จุนตงพูดจบ พลางมองจุนหนานที่ตกตะลึง จึงพูดกับจุนห่าวและหานรุ่ยว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ เขาไม่อยากกินอาหารมื้อใหญ่จริงๆ จากการชักชวนของข้า น้องชายรู้ว่าเวลาสำคัญยิ่งนัก คงไม่อยากกินแล้ว ดังนั้น เราดื่มยาบำรุงต่อเถอะ”
ฟังคำของจุนตง ในที่สุด จุนหนานก็รู้ว่าตรงไหนที่ไม่ถูกต้อง คิดในใจ ท่านพี่ช่างเืเย็นจริงๆ เพื่อตอบโต้เขา แม้แต่อาหารอันเป็ที่รัก เขาก็ละทิ้งไได้ อันที่จริงที่เขาพูดก็คือความจริง เขามองออกชัดเจนว่าท่านพี่เกลียดยาบำรุง อยากกินอาหารมื้อใหญ่เช่นกัน ทว่าบัดนี้ท่านพี่ไม่ยอมรับ เขาก็ทำอะไรไม่ได้ เขาทนนิสัยรักศักดิ์ศรีของท่านพี่ไม่ได้จริงๆ
แต่ตอนนี้ ไม่ใช่เวลาที่จะคิดเื่นี้ หากเขาไม่พูด อาหารค่ำมื้อใหญ่คงบินผ่านสายตาเขาไป ท่านพี่ละทิ้งได้ ทว่าเขาไม่อาจละทิ้งได้ ท่านพี่โหดร้ายต่อผู้อื่น ยิ่งโหดร้ายต่อตัวเอง เขาไม่อาจทำได้ เขายัง้าดีต่อตัวเองสักหน่อย และดีขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นเมื่อจุนตงพูดจบ จุนหนานจึงรีบพูดต่อว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่พูดถูก ต้องหวงแหนเวลา การหวงแหนเวลาเป็เื่ดี แต่ทว่า ในขณะที่หวงแหนเวลา เราก็ต้องดูแลร่างกายของเราด้วย” เขาพูดอย่างรีบเร่ง จุนหนานถอนหายใจด้วยความโล่งอก และพูดต่อว่า “ท่านพ่อ พูดเสมอว่าร่างกายสำคัญกว่าเงินทองมิใช่หรือ? หากปราศจากร่างกายที่ดี ไม่ว่าเราจะมีพร์หรือมีความสามารถเพียงใด มันก็ไร้ประโยชน์” พูดจบก็กระแอมเล็กน้อย แล้วพูดว่า “ท่านพูดเองว่า การป่วยนอนอยู่บนเตียงไปทุกวัน ก็คือรอความตาย เหตุนี้ ในขณะที่เราหวงแหนเวลา ควรใช้เวลาเล็กน้อย ดูแลร่างกายของเราสักหน่อย เมื่อร่างกายดี ทุกอย่างก็ย่อมดี” พูดถึงตรงนี้ จุนหนานมองไปทางจุนตง แล้วพูดว่า “ก็หมือนกับท่านพี่ การมีร่างกายแข็งแรงถึงจะดื่มด่ำในมหาสมุทรแห่งความรู้ได้ดียิ่งขึ้น หากร่างกายไม่แข็งแรง ท่านพี่ ท่านลงจมน้ำอยู่ในมหาสมุทร แล้วจมน้ำตาย” พูดจบก็มองจุนตง และมองจุนห่าวและหานรุ่ย พูดต่อว่า “ท่านพ่อท่านแม่ เราจะบำเพ็ญเพียรก็ต้องมีร่างกายแข็งแรง” หากร่างกายไม่แข็งแรงคิดแต่จะบำเพ็ญเพียร อาจหมดแรงจนสลบไป งั้นต่อไปเราจะบำเพ็ญเพียรต่อยังไงล่ะ....”
จุนหนานพูดจบ ก็มองทุกคนครู่หนึ่ง พูดโดยสรุปว่า “ข้าพูดมากแล้ว สรุปก็คือต้องมีร่างกายแข็งแรง ทำยังไงถึงจะมีร่างกายแข็งแรงล่ะ นั่นก็คือกินข้าว กินมื้อใหญ่ยิ่งดี ยิ่งกินมาก ร่างกายก็ยิ่งยอดเยี่ยม”
จุนตงกลอกตามองจุนหนานอย่างไม่สุภาพ มองร่างเ้าเนื้อของจุนหนาน หัวเราะเบาๆ และพูดอย่างเหน็บแนมว่า “เหมือนกับเ้าหรือ? ที่กินจนอ้วนท้วม ร่างกายของเ้าไม่ใช่ว่ายอดเยี่ยม แต่มันย้วนต่างหาก” พูดจบก็หยุดสักพัก จุนตงพูดอย่างจริงจังว่า “น้องชาย เ้าก็บอกเองว่าร่างกายเป็สิ่งที่สำคัญที่สุด ดังนั้น เพื่อสุขภาพที่ดีของเ้า พี่ขอแนะนำเ้าว่า เ้าต้องลดความอ้วน อาหารมื้อใหญ่ไม่ต้องกินหรอก”
ฟังคำของจุนตง จุนหนานพูดกับจุนตงอย่างไม่พอใจว่า “ท่านพี่ ท่านอิจฉาข้าหรือ? ดูท่านสิ ตัวแห้งๆ เหมือนก้านกัญชา คนที่ไม่รู้จัก คงคิดว่าท่านพ่อและท่านแม่ทารุณท่าน” พูดจบก็มองจุนตงอย่างภาคภูมิใจ “คนอื่นต่างบอกว่าท่าทางข้าดูร่ำรวย และชมว่าข้าน่ารัก ดังนั้น ข้าจะไม่ลดความอ้วน ข้ายังจะกินอาหารมื้อใหญ่ต่อไป แต่ว่า ในฐานะน้องชาย ข้าขอเตือนท่านพี่หน่อยว่า ท่านผอมเกินไป กินให้มากเสียหน่อยดีกว่า ฉะนั้น อย่าเห็นแก่ศักดิ์ศรีจนถึงกับละทิ้งโอกาสที่จะกินมื้อใหญ่นี้ มันไม่คุ้มกัน”
ฟังคำของจุนหนาน จุนตงหัวเราะเฮ่อๆ แล้วย้อนถามว่า “ข้าอิจฉาเ้า? ข้าผอมเกินไป?” พูดจบก็มองจุนหนานยิ้มๆ ด้วยใบหน้าที่ไม่อาจอธิบายได้
จุนหนานไม่ชอบรอยยิ้มเช่นนี้ของจุนตง เขาขมวดคิ้วและถามอย่างไม่พอใจว่า “ท่านพี่ ท่านหมายความว่ายังไง?”
เมื่อฟังอยู่นานแล้ว จุนห่าวจึงไม่ฟังอีกต่อไป เขาคิดไม่ถึงว่าข้อเสนอของเขาจะทำให้สองพี่น้องโต้เถียงกัน หากเขาไม่หยุด เขาเกรงว่าสองพี่น้องจะไม่ปรองดองกันแล้ว ก็ถือเป็บาปของเขา ดังนั้นเขาจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อและพูดว่า “ข้าบำเพ็ญเพียรมาหลายวัน อยากกินอาหารมื้อใหญ่แล้ว เสี่ยวตงเสี่ยวหนาน พวกเ้าสมัครใจไปกับพ่อไหม?” คิดในใจ การเป็พ่อคนไม่ง่ายเลย
“ข้าสมัครใจไปกับท่านพ่อ” จุนหนานยกมือขึ้นและพูดอย่างมีความสุข ขอเพียงเขาได้กินอาหารมื้อใหญ่ เหตุผลอื่นใดเขาก็ไม่สนใจ
“ข้าก็สมัครใจไปกับท่านพ่อ การเพลิดเพลินกับอาหารถือเป็ความสุขอย่างหนึ่ง ข้าไม่รังเกียจที่จะเสียเวลานี้” จุนตงกล่าวพลางวางหนังสือในมือลง
ฟังคำของจุนตง จุนหนานทำปากยื่น ฮึดฮัดเบาๆ ไม่ได้พูดอะไร
ฟังเสียงฮึดฮัดของจุนหนาน จุงตงชำเลืองมองจุนหนาน ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน
หานรุ่ยไม่มีความคิดเห็น เช่นนี้ ครอบครัวของจุนห่าวจึงไปที่ร้านอาหารด้วยกัน เพื่อทานอาหารมื้อแรกหลังจากขึ้นเรือ
