ตู้เลี่ยง เฒ่าฟาง และเอ้อร์หนิวจื่อ รับรายการยาและอาหารไปด้วยความขอบคุณ จากนั้นจึงพาฟางซื่อกลับไป
เมื่อเฒ่าฟางกลับมาถึงบ้านก็นำสมุนไพรไปต้มให้ฟางซื่อกิน ทั้งยังให้ลูกสะใภ้ไปซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารตามสูตรรายการอาหารให้ฟางซื่อกินอีกด้วย
ลูกสะใภ้เห็นเฒ่าฟางใส่ใจบุตรสาวที่แต่งออกไปแล้วถึงเพียงนี้ กระทั่งหลานชายแท้ๆ ก็ยังไม่สนใจจึงรู้สึกน้อยอกน้อยใจ เมื่อนางไปคุยกับเพื่อนบ้านถึงกับมีสีหน้าหดหู่ “นมแพะ น้ำแกงเป็ด ไข่แดง ผักใบเขียว ไม่ว่าสิ่งใดก็มิใช่ถูกๆ เลย”
“ใช่แล้ว ตอนนี้เป็ฤดูหนาว ผักใบเขียวราคาขึ้นแล้ว”
“พี่สะใภ้ของข้าผอมราวกับลิงเป็โรค ก่อนหน้านี้ก็กินข้าวไม่ลง ตอนนี้ได้กินยาของหมอเทวดาน้อยเข้าไป ต่อให้มีไข่ตุ๋น ตับหมูทอดพร้อมข้าวสวยหนึ่งถ้วยใหญ่ก็ยังกินหมด กินเก่งกว่าข้าเสียอีก”
“พอมีความอยากอาหารก็เลยกินเก่งอย่างไรเล่า แสดงว่าอาการป่วยของพี่สะใภ้เ้าจะดีขึ้นแล้วกระมัง” เพื่อนบ้านรู้สึกตื่นตะลึงกับวิชาแพทย์อันสูงส่งของหมอเทวดาน้อยยิ่งนัก ยาเพียงเทียบเดียวก็ทำให้ฟางซื่อที่อยู่ในสภาพใกล้ตายกลับมากินเก่งได้แล้ว
“อาการป่วยของนางคงจะดีขึ้นเร็วๆ นี้กระมัง” นางมีความหวังจากใจจริงว่าฟางซื่อจะหายป่วยโดยเร็ว ถึงอย่างไรก็ไม่อยากให้มีคนตายแล้วต้องจัดงานศพในบ้าน
วันต่อมา ฟางซื่อกินข้าวสองถ้วย นมแพะ ไข่ไก่สองฟอง และแป้งย่างสองแผ่นเป็อาหารเช้า สีหน้าดีขึ้นมาก ทั้งยังมีแรงพูดแล้วด้วย ตอนสายๆ กินยาห่อที่สองเข้าไปทำให้ความอยากอาหารดียิ่งขึ้น อาหารเที่ยงจึงกินทั้งน้ำแกง เนื้อ ผัก ได้แก่ เป็ดครึ่งตัว ผัดบวบหนึ่งถ้วย และข้าวสวยอีกถ้วยใหญ่
เฒ่าฟางเห็นว่าอาการของฟางซื่อดีขึ้นมากแล้วก็รู้สึกดีใจยิ่งนัก แต่ในใจยังคงมีความกดดันบางอย่าง จึงบอกให้บุตรชายชวนตู้เลี่ยงออกไปพบญาติ ส่วนตนก็ไปหาฟางซื่อเพียงลำพัง เพื่อถามไถ่ว่ายามที่นางอยู่ตระกูลตู้ได้รับความอยุติธรรมอันใดหรือไม่ เหตุใดจึงป่วยเช่นนี้ได้
ฟางซื่อไม่อยากเล่า เฒ่าฟางจึงกล่าวไปว่า “หากอาการป่วยของเ้าดีขึ้นแล้วก็ต้องกลับบ้านสามี พวกเราอยู่ห่างกันสองร้อยกว่าลี้ ข้าไม่อาจไปเยี่ยมเ้าได้บ่อยๆ หากเ้าได้รับความไม่เป็ธรรมจนเหนื่อยล้าและป่วยเป็โรคนี้อีกจะทำอย่างไรเล่า เ้าต้องบอกข้าให้ชัดเจน นี่ก็เพื่อหลานชายทั้งสามคนของข้า”
“ท่านแม่สามีรังเกียจที่ข้าเป็คนจากชนบท เห็นข้าเป็ดั่งสาวใช้มาตลอด ที่บ้านไม่ยอมจ้างบ่าวไพร่และไม่ยอมจ้างแรงงาน ให้ข้าเป็คนทำงานทั้งหมด ข้าต้องทำงานั้แ่เช้าจรดค่ำ ทั้งยังต้องปลูกผักลงที่นาอีกด้วย อาการป่วยนี้เกิดจากความเหนื่อยล้าเช่นที่หมอเทวดาน้อยกล่าวเ้าค่ะ” ฟางซื่อเล่าถึงความอยุติธรรมที่ได้ประสบพบเจอพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น
บ้านของตระกูลตู้เป็บ้านแบบสามลาน เพียงแค่เื่ทำความสะอาดห้องต่างๆ ก็กินเวลาหนึ่งชั่วยามกว่าแล้ว
อาหารทั้งสามมื้อฟางซื่อก็ต้องเป็คนทำ ทั้งยังต้องไปจับจ่ายซื้อของเองอีกด้วย
ตู้เลี่ยงและฟางซื่อมีลูกด้วยกันสามคน คนโตอายุเจ็ดขวบ คน กลางอายุห้าขวบ คนเล็กอายุสามขวบ ฟางซื่อต้องเป็คนดูแลเองทั้งหมด
เสื้อผ้าอาภรณ์ของคนทั้งครอบครัวรวมเจ็ดคน นางต้องเป็คนซักเพียงคนเดียว
ตระกูลตู้มีที่ดินหนึ่งหมู่ครึ่งอยู่ข้างตำบล ผักในที่ดินฟางซื่อก็ต้องเป็คนปลูกและดูแลทั้งหมด
นี่เป็เพียงงานประจำวัน บางครั้งที่ตู้เลี่ยงพาแขกกลับมาที่บ้านนางก็ต้องต้อนรับแเื่ หากมีงานปีใหม่หรืองานเทศกาล เหล่าญาติมิตรมารวมตัวทำกิจกรรมเลี้ยงฉลอง ไม่ว่าจะกินข้าวมอบของขวัญล้วนเป็งานที่ต้องจัดการทั้งสิ้น ซึ่งฟางซื่อก็ต้องเป็คนรับผิดชอบเพียงคนเดียว
เมื่อเฒ่าฟางได้ยินว่าแม่สามีไม่ใช่คนดีอะไร จึงถามไปว่า “ตู้เลี่ยงไม่สนใจเลยหรือ”
“ตอนที่ตู้เลี่ยงอยู่บ้าน แม่สามีก็แสร้งทำเป็ช่วยข้าทำงาน เมื่อตู้เลี่ยงไม่อยู่ แม่สามีก็ไม่สนใจทำอะไรเลยเ้าค่ะ” ฟางซื่อเคยพูดกับตู้เลี่ยงเื่หาบ่าวไพร่มาช่วยทำงานแล้ว ไม่ทราบว่าอีกฝ่ายไม่เข้าใจหรือไม่สนใจ กระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่ยอมซื้อคนมาเป็บ่าวที่บ้านเสียที
เมื่อตู้เลี่ยงกลับมาถึงบ้าน ก็พบว่าคนตระกูลฟางล้วนมองเขาด้วยสายตาดูแคลน เมื่อไปเยี่ยมฟางซื่อก็เห็นว่านางมีสภาพคล้ายกับคนเพิ่งร้องห่มร้องไห้มาก่อน เขาเองก็มิใช่คนโง่งมจึงถามสาเหตุกับฟางซื่อโดยตรง
ฟางซื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าว่า “ท่านพ่อจะใช้เงินสองตำลึงไปซื้อบ่าวหญิงจากอำเภอให้ข้าสองคน ให้ข้าพาพวกนางกลับไปด้วย เอาไว้คอยช่วยข้าทำงาน ท่านวางใจเถิด ค่ากินอยู่ของบ่าวข้าจะใช้เงินจากสินเดิม จะไม่ให้ท่านดูเป็คนไม่ดีต่อหน้าท่านแม่แน่นอนเ้าค่ะ”
ขณะนั้นเองมีเสียงก่นด่าของพี่สะใภ้ฟางซื่อดังแว่วมาจากด้านนอก “มีแม่สามีคนใดบ้างเ้าเล่ห์กลิ้งกลอกถึงเพียงนี้ ปฏิบัติต่อลูกสะใภ้อย่างโเี้เช่นนี้ ลูกสะใภ้คลอดหลานชายให้นางสองคนกับหลานสาวอีกหนึ่งคน ก็นับเป็ผลงานใหญ่หลวงแล้ว แต่แม่สามีกลับดียิ่งนัก ถึงกับใช้ลูกสะใภ้ราวกับวัวกับม้า ทำให้ลูกสะใภ้เหนื่อยจนแทบปางตาย เหนื่อยแทบจะเอาชีวิตไม่รอด ช่างไม่กลัวตกนรกเสียจริง หากลูกสะใภ้เหนื่อยตายบุตรชายของตนก็แต่งงานใหม่ได้ หลานชายหลานสาวทั้งสามคนก็จะมีแม่เลี้ยงเพิ่มขึ้นมา เหตุใดถึงได้ใจคออำมหิตเพียงนี้!”
พี่ชายของเฒ่าฟางที่ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเอ่ยว่า “เ้าด่าใคร?”
“ข้าด่าไอ้ลูกเต่าที่ดูภายนอกเป็พวกคนดี แต่ความจริงกลับยืนดูภรรยาตนเองเหนื่อยจนเกือบตายไปต่อหน้าต่อตาอย่างไรเล่า!” พี่สะใภ้ของฟางซื่อแค่นเสียงออกมาครั้งหนึ่ง “ไอ้ลูกเต่าตัวนี้คงมีดีจริงๆ ไม่เช่นนั้นเหตุใดจึงปล่อยให้ภรรยาตนเองเหนื่อยจนป่วยได้!”
พี่ชายของเฒ่าฟางกล่าวว่า “เ้าอย่าพูดจาเช่นนี้เลย เพื่อจะรักษาน้องสาวให้หายดี สามีของนางจึงได้พานางเดินทางมาไกลถึงนี่”
พี่สะใภ้ของฟางซื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงถากถาง “ผู้ใดจะทราบว่าเขาพูดจริงหรือเท็จ บ้านของเขาใหญ่เพียงนั้นย่อมมีงานให้ทำมากมาย ทั้งยังมีที่ดินต้องดูแล แต่กลับไม่ยอมจ่ายเงินซื้อบ่าวมาช่วย หึ... ขี้เหนียวเพียงนี้จะยอมจ่ายเงินพาคนมารักษาหรือ”
พี่ชายของเฒ่าฟางรีบดึงพี่สะใภ้ของเฒ่าฟางไปที่ห้องโถง
“เงินทองของบ้านเขาหามาอย่างยากลำบาก แล้วเงินทองของบ้านเราพัดมากับสายลมหรือไร!” พี่สะใภ้ของฟางซื่อโกรธที่ตู้เลี่ยงเป็บุตรกตัญญูผู้โง่งม และขี้เหนียวถึงกับไม่ยอมซื้อบ่าวไพร่ ทั้งยังโกรธที่เฒ่าฟางต้องควักเงินซื้อบ่าวไพร่ให้ฟางซื่อที่แต่งออกไปแล้ว
ขณะเดียวกันตู้เลี่ยงทั้งโกรธทั้งอายจนแทบอยากจะขุดดินมุดเข้าไป
ฟ้าสว่างแล้ว เกวียนห้าคันค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าสู่บ้านหลี่ก่อนที่จะหยุดลงตรงนอกประตูรั้วของบ้านหลี่
หม่าซงสั่งให้บ่าวนำเต้าหู้ที่คนบ้านหลี่ทำกันทั้งวันทั้งคืนและยังมีไอร้อนพวยพุ่งออกมาไปใส่เกวียน “นี่คือเงินส่วนที่เหลือ”
หลี่ซานทำเต้าหู้ตลอดคืน เมื่อเห็นเงินก็รับมาด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า “ผู้ดูแลหม่า ได้ยินว่าท่านจะนำเต้าหู้ไปขายทางเหนือหรือขอรับ?”
หม่าซงมองใบหน้าของหลี่ซานที่จดจำได้ดีผ่านแสงอาทิตย์ยามเช้า ตอบยิ้มๆ ว่า “ใช่แล้ว จะออกเดินทางวันนี้แล้ว จะขายระหว่างเดินทางขึ้นทางเหนือและขายสินค้าอื่นด้วย”
“อากาศทางเหนือหนาวเย็นกว่าทางนี้ พอถึงตอนกลางคืนเต้าหู้จะแข็ง ท่านไม่ต้องละลายนะขอรับ สามารถขายทั้งที่แข็งอยู่ได้เลย เต้าหู้แข็งๆ นำมาทำอาหารก็ยังได้รสชาติอร่อยไม่ด้อยไปกว่าเต้าหู้ปกติ”
“ขอบคุณพี่หลี่ที่ชี้แนะ แล้วพบกันใหม่” ในน้ำเสียงของหม่าซงระคนไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ กล่าวจบก็พาคนจากไป
หลี่ซานไปส่งหม่าซงที่ปากทางหมู่บ้าน จากนั้นจึงวิ่งย้อนกลับมา ที่ลานด้านหลังลาทั้งสามตัวกำลังลากเครื่องโม่เพื่อบดถั่วเหลือง ตอนนี้มีหลี่สืออยู่คนเดียวย่อมดูแลไม่ทั่วถึง
“ท่านพี่ ท่านกลับมาแล้ว เมื่อครู่ข้าทำงานวุ่นวายจนเกือบเตะถังไม้หกไปแล้วเชียว” หลี่สือเปียกไปทั้งตัวราวกับลูกหมาตกน้ำ
“จำไว้ให้ดี ต่อไปแม้จะยุ่งเพียงใดก็อย่าได้กระวนกระวายเป็อันขาด” หลี่ซานปรายตามองไป พบว่าในเครื่องโม่เครื่องหนึ่งไม่มีถั่วเหลืองอยู่แล้ว แต่ลายังคงลากเครื่องโม่เดินเป็วงกลม จึงรีบตักถั่วเหลืองที่แช่อยู่ในโอ่งน้ำมาใส่ในเครื่องโม่ “ข้าจะดูเครื่องโม่เอง เ้าไปทำเต้าหู้เถิด”
“ข้ากลัวจะทำได้ไม่ดี”
“เ้าทำได้ดีกว่าข้า เ้าทำใจกล้าสักหน่อยเถิด”
หลี่สือใช้ดีเกลือทำเต้าหู้อย่างระมัดระวัง หลี่ซานวิ่งตามมา อาศัยแสงอาทิตย์อ่อนๆ และแสงจากตะเกียงมองสำรวจดู พบว่ายังทำได้ไม่ดีเท่าหลี่หรูอี้จริงๆ
หลี่สือร้อนใจจนเกือบร้องไห้ “ท่านพี่ ข้าทำเต้าหู้ออกมาอ่อนเกินไป ไม่ดีเลย”
“ข้าจะไปเรียกหรูอี้” หลี่ซานกลัวว่าเต้าหู้ออกมาเช่นนี้อาจทำให้ถูกลูกค้าตำหนิ
หลี่สือร้องขอ “ หรูอี้กำลังนอนหลับ นางเหนื่อยมากแล้ว ท่านอย่าไปปลุกนางเลย”
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้