นักพรตเทียนเฟิงรู้ว่าตนเองคงไม่รอดเป็แน่ เพียงแต่เคียดแค้นที่เซียวกุ้ยเฟยทอดทิ้งกันอย่างไม่ไยดีเช่นนี้ เขาจึงต้องลากนางเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย “กุ้ยเฟย เป็พระองค์ที่้าให้กระหม่อมเข้าวัง ทรงตรัสว่าพวกเราจะได้เสพสุขกับเกียรติยศและความร่ำรวยร่วมกัน…”
“เ้าพูดจาไร้สาระอะไรกัน? ก่อนที่เ้าจะเข้าวังมา เปิ่นกงไม่เคยรู้จักเ้ามาก่อนเลยสักนิด!”
เซียวกุ้ยเฟยกริ้วจัดจนผรุสวาทออกมา ดวงตากลมโตงดงามถลึงใส่อีกฝ่าย
มู่หรงอวี้สะบัดมืออย่างเป็ธรรมชาติ กระบี่เงินที่อยู่ตรงเอวขององครักษ์นายหนึ่งก็ถูกชักออกมาแล้วซัดไปทางนักพรตเทียนเฟิงทันที
กระบี่เงินปาดเข้าที่คอของนักพรตเทียนเฟิงจนเืสาดกระจาย ดวงตาของเขาเบิกกว้าง มือจับลำคอของตนก่อนจะล้มลงสิ้นใจในที่สุด
มู่หรงฉือหัวเราะเสียงเย็น เหตุที่มู่หรงอวี้รีบร้อนลงมือสังหารคนเป็เพราะเซียวกุ้ยเฟยงั้นหรือ?
รอนางหาหลักฐานยืนยันการคบชู้ของพวกเขาได้เสียก่อนเถิด นางจะต้องจัดการกับพวกเขาแน่!
….
หมอเทวดาใช้เวลารักษาหนึ่งชั่วเวลาจิบชา [1] ในที่สุดก็สามารถช่วยฮ่องเต้มู่หรงเฉิงแห่งเป่ยเยี่ยนให้ฟื้นขึ้นมาได้
มู่หรงเฉิงอ่อนแอมาก หมอเทวดาเสวี่ยเดินมาพูดกับท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนและองค์รัชทายาทที่ตำหนักใหญ่
“อวัยวะภายในของฝ่าาได้รับความเสียหายอย่างหนัก หัวใจอ่อนแอ กระหม่อมจะอยู่ที่นี่สามวันเพื่อฟื้นฟูร่างกายของฝ่าา หากหลังจากสามวันแล้วหากอาการของฝ่าาดีขึ้น เช่นนั้นก็นับว่าสามารถช่วยชีวิตได้แล้ว”
มู่หรงฉือยินดียิ่ง “ขอบคุณท่านหมอเทวดา ลำบากท่านแล้ว”
ท่าทีของมู่หรงอวี้แสดงถึงความเคารพต่อหมอเทวดา “ท่านหมอเทวดา เปิ่นหวางได้จัดที่พักเอาไว้ให้ท่านแล้ว หลายวันนี้ท่านไปพักที่ตำหนักด้านข้างชั่วคราว อีกเดี๋ยวจะมีข้าหลวงมานำทางท่านไป”
“กระหม่อมเขียนเทียบยาเอาไว้ หาข้าหลวงพากระหม่อมไปหยิบสมุนไพรมาต้มยาด้วยเถิด”
เสียงของหมอเทวดาเสวี่ยเนิบช้าบ่งบอกถึงความแก่ชรา เขาอายุเจ็ดสิบปีแล้ว หนวดขาวโพลน ทว่าสีหน้าจิตใจดูแจ่มใส ถึงจะอายุมากแล้วแต่ก็ยังแข็งแรง
มู่หรงฉือรีบพูดทันที “เื่เล็กๆ อย่างต้มยาจะให้ท่านหมอเทวดาลำบากได้อย่างไรกัน? ให้หมอหลวงในสำนักหมอหลวงต้มเสร็จแล้วค่อยส่งมาให้ท่านก็ยังได้”
เขาโบกมือ “ยาของกระหม่อมที่ใช้รักษาคน กระหม่อมไม่เคยยืมมือผู้อื่น เื่ไปหยิบสมุนไพรมาต้มก็ทำด้วยตัวเองทั้งหมด แบบนี้ถึงจะไม่เกิดความผิดพลาด”
“เช่นนั้นต้องลำบากท่านหมอเทวดาแล้ว” นางพอใจมาก เมื่อเป็เช่นนี้ ถึงแม้จะมีคนอยากยื่นมือเข้าไปยุ่งก็ไม่มีทางเป็ไปได้
“พวกเ้าสองคนจงติดตามท่านหมอเทวดาไปยังสำนักหมอหลวง” มู่หรงอวี้สั่งองครักษ์จากตำหนักชิงหยวนสองคน “ไม่ว่าท่านหมอเทวดาจะทำอะไร ไม่ว่าจะเป็ผู้ใดก็ไม่อาจปล่อยให้เข้าไปยุ่มย่ามได้ คำพูดของท่านหมอเทวดาก็คือคำสั่งของเปิ่นหวาง เข้าใจหรือไม่?”
องครักษ์สองนายได้รับคำสั่งก็ไปที่สำนักหมอหลวงกับหมอเทวดาเสวี่ย ส่วนหมอหลวงอีกหกคนที่มีความสามารถสู้อีกฝ่ายไม่ได้ จึงพากันกลับไป
มู่หรงฉือเข้าไปยังห้องบรรทมเพื่อไปดูอาการของพระบิดา เซียวกุ้ยเฟยกับมู่หรงอวี้ก็ตามเข้ามาด้วย
บนเตียงใหญ่ ดวงตาของมู่หรงเฉิงลืมอยู่ครึ่งหนึ่ง ใบหน้าซูบผอมขาวซีดเหมือนคนป่วยหนักใกล้หมดอายุขัยเต็มที
“เสด็จพ่อ…”
ครั้นเห็นเสด็จพ่อมีสภาพร่างกายเช่นนี้ มู่หรงฉือรู้สึกทุกข์ใจมาก เสียงที่พูดออกมาถึงกับเจือสะอื้น
แววตาของมู่หรงเฉิงค่อยๆ หันมามอง “พวกเ้า… มากันหมดเลยหรือ…”
น้ำเสียงแหบพร่าฟังไม่ค่อยชัดเจน ทั้งแหบต่ำและอ่อนระโหยโรยแรง
“ฝ่าา เป็ความผิดของหม่อมฉันที่ไปเชื่อนักพรตเทียนเฟิงผู้นั้น หม่อมฉันขอยอมรับโทษเพคะ”
เซียวกุ้ยเฟยคุกเข่าลงเสียงดัง ‘ตุบ’ พลางตำหนิตัวเองด้วยความรู้สึกผิด
มู่หรงฉือกระตุกยิ้มเย็น เสแสร้งแกล้งทำเก่งนักก็ทำต่อไปแล้วกัน
“ลุกขึ้นมาเถิด… เจิ้น [2] จะโทษเ้าได้อย่างไร…”
มู่หรงเฉิงค่อยๆ ยกมือขึ้น นางรีบลุกขึ้นแล้วส่งมือเรียวไปให้เขากุม
มู่หรงฉือแอบกัดฟัน เสด็จพ่อ ทรงเป็ถึงเพียงนี้แล้วยังจะอาลัยอาวรณ์นางปีศาจนี่อีกงั้นหรือ?
ตกต่ำย่ำแย่เพราะสตรีงามจริงๆ
“องค์รัชทายาท ต่อไปเ้าจะต้องเติบโตขึ้นอีก… อย่าให้เจิ้นต้องกังวลใจ…” มู่หรงเฉิงดึงนางปีศาจไปนั่งริมเตียง มองไปทาง ‘ลูกชาย’ ด้วยสายตาที่มีความหมาย
“ลูกทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ” มู่หรงฉือตอบเสียงขุ่น
“อวี้หวาง เจิ้นขอมอบแคว้นเยี่ยนกับราชสำนักให้เ้า… มอบองค์รัชทายาทให้เ้า… หวังว่าเ้าจะไม่ทำให้เจิ้นผิดหวัง…”
“ฮ่องเต้ทรงโปรดวางพระทัยแล้วพักผ่อนให้สบายพระทัยเถิด กระหม่อมไม่มีทางทำให้ฝ่าาผิดหวัง” มู่หรงอวี้รับคำหนักแน่น
มู่หรงฉืออยากจะสำรอกออกมา คำพูดสร้างภาพเช่นนี้พูดได้ไหลลื่นเสียจริง ในที่ลับตาคน ไม่รู้ว่าแอบตีท้ายครัวเสด็จพ่อไปเท่าไรแล้ว
มู่หรงเฉิงพูดขึ้นมาอีก “องค์รัชทายาท เ้าจะต้องรับฟังคำของอวี้หวาง… เขาเป็คนที่ซื่อสัตย์ต่อเจิ้น ต่อราชสำนัก… หลายปีมานี้ทุ่มเทแรงกายแรงใจดูแลจัดการราชสำนักให้เจิ้น…”
นางหัวเราะเสียงเย็นอยู่ในใจ ซื่อสัตย์งั้นหรือ? ทุ่มเทแรงกายแรงใจงั้นหรือ?
เสด็จพ่อ ทรงเบิกพระเนตรของพระองค์ดูอวี้หวางที่ทรงชื่นชมให้ชัดๆ เสียเถิด เขาเป็แค่สุนัขในที่มีใจทะเยอทะยานตัวหนึ่งเท่านั้น!
“อวี้หวาง เ้าเป็น้องชายของอวี้หวางคนก่อนที่จากไปแล้ว อีกทั้งยังเป็คนที่เจิ้นเห็นมาั้แ่เล็กจนโต… เจิ้นเชื่อใจเ้า…” มู่หรงเฉิงเหมือนเห็นเพื่อนเก่าที่ตายจากไปเมื่อหลายปีก่อน ทรงแย้มสรวลน้อยๆ “จะว่าไปแล้ว เ้าเองก็าุโกว่าองค์รัชทายาท… องค์รัชทายาท เ้าควรจะเรียกอวี้หวางว่า ‘เสด็จอา’ นะ”
“กระหม่อมมิบังอาจ” มู่หรงอวี้พูดเสียงเรียบ
เสด็จอางั้นหรือ?
มู่หรงฉือก้มหน้าลงลอบกลอกตา เสด็จพ่อ ทรงสติเลอะเลือนเข้าไปใหญ่แล้ว นี่ท่านกำลังขาย ‘บุตรชาย’ หรือ?
มู่หรงอวี้มองอากัปกิริยาเล็กน้อยของมู่หรงฉืออยู่ตลอด ในตอนนั้นพลันรู้สึกว่าองค์รัชทายาทผู้นี้น่าสนใจ
ในขณะเดียวกับที่องค์รัชทายาทกำลังโกรธจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ฮ่องเต้เพิ่งจะฟื้นขึ้นมา ทรงต้องพักผ่อนให้มากๆ”
“ถึงแม้บรรพบุรุษของอวี้หวางจะไม่ใช่คนในราชวงศ์ แต่ว่าเมื่อยี่สิบปีก่อนฝ่าาได้ประทานแซ่ของราชวงศ์ให้ สายเืของอวี้หวางก็ถือว่าเป็คนในราชวงศ์แล้ว” เซียวกุ้ยเฟยยิ้มอ้อน “ตอนนี้อวี้หวางเองก็เป็ผู้สำเร็จราชการแทน หากองค์รัชทายาทเรียกเขาว่า ‘เสด็จอา’ ก็ไม่ใช่เื่ที่กระทำไม่ได้”
“องค์รัชทายาท เรียกอวี้หวางว่า ‘เสด็จอา’ สิ” สายตาของมู่หรงเฉิงเต็มไปด้วยความคาดหวัง
มู่หรงฉือกำหมัดแน่น เสด็จพ่อประชวรจนสติเลอะเลือนหรือว่าประสาทกลับกัน?
เซียวกุ้ยเฟยคอยหาเื่ที่สามารถทิ่มแทงศักดิ์ศรีและหน้าตาขององค์รัชทายาทอยู่ตลอด มีหรือจะยอมปล่อยโอกาสเช่นนี้ไปง่ายๆ ?
นางพูดโน้มน้าวด้วยท่าทีงดงาม “องค์รัชทายาท ข้ารู้ดีว่าข้าไม่ใช่มารดาแท้ๆ ของเ้า ข้าย่อมไม่ควรพูดอะไรให้มากความ แต่ข้าเชื่อว่าเสด็จแม่ของเ้าที่ล่วงลับไปแล้วจะต้องเห็นด้วยกับฝ่าาเป็แน่ ท่านอ๋องคอยดูแลแคว้นแทนเ้า ทุ่มเทแรงกายแรงใจทำงานหนักทุกวันคืน เ้าที่เป็องค์รัชทายาทก็ควรที่จะรู้จักแสดงความขอบคุณท่านอ๋องด้วยการเรียก ‘เสด็จอา’ มันยากถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”
มู่หรงฉือโกรธจนแทบจะกระอักเืออกมา ภายในใจเต็มไปด้วยหมอกดำทะมึน
“เสด็จอา” ทันใดนั้นนางคลี่ยิ้มแล้วเอ่ยปากเรียก สักวัน เปิ่นกงจะเอาคืนความอับอายนี้เป็ร้อยเท่าพันเท่า!
“การแบ่งเบาภาระของฝ่าาและองค์รัชทายาทเป็หน้าที่ของกระหม่อม” ั์ตาของมู่หรงอวี้เศร้าหมอง
องค์รัชทายาทผู้นี้ยิ่งน่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ เสียแล้ว ทั้งๆ ที่ตนเองโกรธจนกัดฟัน แต่กลับยังคงแสร้งทำว่าไม่เป็อะไร รู้จักรุกรู้จักถอย ต้องมีอนาคตไกลเป็แน่
มู่หรงฉือออกมาจากตำหนักชิงหยวนอย่างไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก ครั้นกลับไปถึงตำหนักบูรพาก็สงบลงมากแล้ว
นางที่เป็องค์รัชทายาทแห่งตำหนักบูรพา ก็ควรจะเป็ผู้ที่สามารถอดทนต่อเื่ที่คนธรรมดาทั่วไปทนไม่ได้
…
วันต่อมา
มู่หรงฉือกำลังทานอาหารกลางวัน ฉินรั่วก็สาวเท้าไวๆ เดินเข้ามา สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
“มีเื่ใดหรือ?” มู่หรงฉือใจสั่น แต่สีหน้ากลับไม่เปลี่ยน
“นักฆ่าหมายเลขสามถูกเอาศพแขวนไว้ที่ประตูถนนฉาวหยางสามวันเพคะ” ที่ฉินรั่วกังวลกว่าคือองค์รัชทายาทจะวู่วามแล้วทำเื่โง่เขลาออกมา
“มู่หรงอวี้!” มู่หรงฉือกำตะเกียบเงินในมือจนเส้นเืปูดโปน ั์ตาฉายแววเย็นะเื
“เตี้ยนเซี่ยทรงอย่าวู่วามเพคะ” หรูอี้พูดโน้มน้าว
“เปิ่นกงจะออกจากตำหนัก เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เปิ่นกงเดี๋ยวนี้!” มู่หรงฉือสาวเท้าไวๆ ไปที่ตำหนักกลาง
“เตี้ยนเซี่ย ที่ท่านอ๋องทำเช่นนี้ก็เพื่อล่อพวกเดียวกันให้ออกมานะเพคะ เป็การล่องูออกจากรัง พระองค์จะบันดาลโทสะแล้วเดินเข้าไปติดกับไม่ได้นะเพคะ” ฉินรั่วพยายามพูดโน้มน้าวมู่หรงฉือ
มู่หรงฉือหรี่ตาลง “เ้าวางใจเถิด เปิ่นกงรู้ประมาณตนดี”
ถึงแม้ว่านักฆ่าหมายเลขสามจะเป็นักฆ่าหญิงที่นางฝึกฝนออกมา เป็หนึ่งในบรรดาลูกน้องคนหนึ่ง ปกติแล้วก็ไม่ค่อยได้พูดคุยด้วยมากเท่าไรนัก ทว่าพวกนางมอบชีวิตให้กับมู่หรงฉือแล้ว มอบความเชื่อมั่นมาให้ทั้งหมด มู่หรงฉือเองก็ควรจะต้องรับผิดชอบพวกนางให้ถึงที่สุด
เพียงแต่เวลานี้นางไม่อาจเข้าไปนำศพลูกน้องที่ตายไปพวกนั้นออกมาได้ นางจะหาโอกาสที่เหมาะสม แต่ว่ายังไม่ใช่ตอนนี้
ฉินรั่วพูดกล่อมอีกครั้ง “เตี้ยนเซี่ย ตอนนี้เป็่ที่กำลังวุ่นวาย ท่านไม่ควรออกจากตำหนัก ท่านอ๋องใช้ศพของนักฆ่าหมายเลขสามมาเป็เหยื่อล่อก็เพื่อจะล้อมจับพวกเราทั้งหมด ตอนนี้พวกเราจะเอาตัวเข้าไปติดกับเองไม่ได้ รออีกสักสองสามวัน หนูฉายจะส่งคนไปนำศพของนักฆ่าหมายเลขสามรวมถึงคนอื่นๆ กลับมาเองเพคะ”
มู่หรงฉือพยักหน้า แต่ก็ยังยืนกรานที่จะออกจากตำหนัก
ถนนฉาวหยางเป็เขตที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในเมืองลั่วหยาง วันนี้ยิ่งมีคนแปลกหน้ามากมายทั่วทั้งเมืองมารวมตัวกันมุงดู ทุกคนต่างเงยหน้ามองศพแม่นางที่ถูกมัดอยู่ที่ประตู้า พากันส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์
แม่นางผู้นั้นตายไปแล้ว เสื้อคลุมขาดวิ่น บนตัวเต็มไปด้วยรอยเืสีดำ ชัดเจนมากว่าคงถูกทรมานมาไม่น้อย
“ได้ยินมาว่าแม่นางผู้นี้ก็คือนักฆ่าหญิงที่มาลอบฆ่าท่านอ๋องในคืนวันนั้น”
“ไม่รู้ว่าแม่นางผู้นี้เป็ใคร เหตุใดจะต้องลอบฆ่าท่านอ๋องด้วย”
“ได้ยินมาว่าเป็คนของแคว้นตงฉู่ เ้าลองคิดดูสิ ขอแค่ผู้สำเร็จราชการแทนของพวกเรา… เป็อะไรไป เช่นนั้นแคว้นเยี่ยนของพวกเราจะวุ่นวายเพียงใด? แคว้นตงฉู่ก็จะสามารถส่งทหารมาโจมตี มาทำร้ายแคว้นเยี่ยนของพวกเราได้อย่างง่ายดาย”
“ฮ่องเต้ของแคว้นตงฉู่ลงมือโเี้ ดีนักที่ท่านอ๋องของพวกเราโชคดี จึงไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้น”
“ท่านอ๋องของพวกเราจะเป็อะไรไปได้อย่างไร? ไม่พูดถึงผลงานด้านการรบที่ผ่านมามากมายของเขา เพียงแค่ฝีมือการต่อสู้ก็เป็หนึ่งในใต้หล้าแล้ว นักฆ่าพวกนั้นจะเก่งกาจเพียงใดก็เข้าใกล้ตัวเขาไม่ได้หรอก”
“ท่านอ๋องไม่เพียงแต่เก่งกาจด้านการรบ หน้าตารึก็ยังหล่อเหลา เป็ที่ใฝ่ฝันของสตรีมากมายเท่าใด หากข้าสามารถเป็สาวใช้คอยดูแลท่านอ๋องในจวนอวี้หวางได้ ชาตินี้ทั้งชาติข้าก็ไม่เสียดายอะไรแล้ว”
“ชิ เ้ามีคุณสมบัติอะไรถึงจะไปเข้าจวนท่านอ๋อง? ข้าสิมีคุณสมบัตินั้นมากกว่าเ้า”
“ถุย รูปร่างอย่างเ้าน่ะหรือ คนขายปลาคนนั้นยังไม่อยากจะมาสู่ขอเ้าเลย ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนจะมามองเ้าได้อย่างไร?”
“แล้วเ้าดีกว่าข้าตรงไหน? หน้าก็มีแต่กระ ทำเอาผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาเห็นแล้วอยากจะสำรอก”
“มีอะไรให้มาทะเลาะกัน? อย่างไรเสียพวกเราก็ไม่มีโอกาสได้ไปปรนนิบัติท่านอ๋องอยู่ดี ข้าได้ยินมาว่าทั้งตัวของท่านอ๋องเต็มไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้าย สตรีข้างกายของเขาล้วนไม่มีใครพบจุดจบที่ดี”
“ความหมายของเ้าก็คือ กลิ่นอายชั่วร้ายบนตัวของท่านอ๋องทำให้สตรีที่อยู่ข้างกายตายตกอย่างนั้นหรือ?”
“เ้าคิดดูสิ ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนอายุสิบปีก็แสดงความสามารถในกองทัพ คนตายตกในเงื้อมมือเขาตั้งเท่าไหร่ อีกทั้งเขายังฆ่าศัตรูไปกี่แสนคน แคว้นตงฉู่ แคว้นหนานเยว่กับแคว้นซีฉินก็ขนานนามเขาว่า ‘ปีศาจา’ ข้ายังได้ยินมาอีกว่า ทหารของแคว้นอื่น พอเห็นธงของท่านอ๋องก็ใจนฉี่ราด ได้ยินก็รีบหนีหายไปแล้ว”
“ข้าไม่กลัวหรอก ท่านอ๋องเป็ปีศาจาแล้วอย่างไร? เขาไม่มีทางฆ่าหรือกินคนธรรมดาที่ไม่ใช่ศัตรูของเขาหรอก”
มู่หรงฉือยืนอยู่ในบรรดากลุ่มคน ฟังผู้คนพวกนี้พูดคุยกันแล้วแค่นเสียงเหอะออกมาอย่างเย้ยหยัน สตรีเหล่านี้ช่างมีความคิดตื้นเขินเสียจริง
นางหมุนตัวเดินออกไป เดินไปได้ครู่หนึ่งก็เห็นตรงหน้ามีบ่าวรับใช้คนหนึ่งเดินมา
บ่าวรับใช้คนนั้นเอ่ยขึ้น “คุณชาย ข้าคือคนจากหอเต๋อเยว่ ที่ห้องบนชั้นสองมีคุณชายท่านหนึ่งอยากพบท่านขอรับ”
มู่หรงฉือเงยหน้าขึ้นไปมอง แต่กลับไม่เห็นใครเลย
ในห้องชั้นสอง มู่หรงอวี้ยืนอยู่ตรงหน้าต่างด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย
จากตรงนี้มองไปทางประตูหอสามารถมองเห็นได้ชัดเจนนัก
องค์รัชทายาทมายืนดูนักฆ่าหญิงที่ตายคนนั้นอยู่เช่นนี้ น่าสนใจมากไม่ใช่หรือ?
มู่หรงฉือจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า หากตนมองเข้าไปภายในห้องนั้นก็จะเห็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนมองนางอยู่
เชิงอรรถ
[1] 一盏茶的时间 “หนึ่งชั่วเวลาจิบชา” คือ่เวลาั้แ่น้ำชาถูกยกเข้ามา จากนั้นค่อยๆ จิบจนหมด ความจริงแล้วก็คือ่เวลาที่น้ำชาหนึ่งถ้วยเย็นลงจนสามารถดื่มได้ หรือก็คือประมาณ 15 นาทีสำหรับฤดูร้อน และไม่ถึง 10 นาทีสำหรับฤดูหนาว วลี “ชั่วเวลาจิบชาหนึ่งถ้วย” จึงอธิบายความหมายได้ทั้ง 10 นาที และ 15 นาที แต่โดยส่วนมากจะใช้ในความหมายเวลาประมาณ 15 นาที
[2] 朕 “เจิ้น” คำเรียกแทนตัวของฮ่องเต้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้