ก่อนที่คุณหมอจะเดินตรงไปยังรถสีดำ ทรงเก่า ๆ เหมือนรถสมัยก่อนในละครย้อนยุค ผมก็ต้องเดินตามไปด้วยตามสัญชาตญาณ
‘คุณหมอรอผมด้วย’ ผมรีบเข้าไปในรถสีดำคันเก่าของเขา ก่อนที่เขาจะเอื้อมมาเปิดเพลงที่โคตรเก่า เก่าชนิดที่ว่าผมไม่เคยได้ยินเพลงเย็น ๆ แบบนี้มาก่อน ระหว่างนั้นผมมองสองข้างทางแล้วรู้สึกงุนงง เพราะสภาพบ้านเมืองแตกต่างจากปัจจุบันอย่างมาก ไฟถนนยังมีน้อย ตึกรามบ้านช่องทิ้ง่เป็ระยะ ไม่รู้ว่าอยู่ส่วนไหนของกรุงเทพฯ กันแน่ เพราะทุกอย่างดูไม่เจริญเอาซะเลย
ระหว่างที่ผมคิดอยู่นั้น รถสีดำเก่า ๆ ก็ขับเข้ามายังบ้านไม้สองชั้น มีพื้นที่กว้างขวาง ทว่าด้านหน้ามีกลุ่มคนนับสิบยืนรออยู่ เมื่อคุณหมอลงจากรถ หญิงกลางคนที่ยิ้มแย้มก็เดินเข้ามาแล้วเอ่ยขึ้น
“นี่คือมยุรา ลูกสาวของกำนันเทิ้ง” ผมหันมองไปยังมยุรา รู้สึกใจหายวูบ รู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก สายตากลมของเธอมองตรงมายังคุณหมออย่างมีความหมาย แตกต่างกับคุณหมอที่ยกมือไหว้ทุกคนตามมารยาท ทว่าภายในใจของเขาคิดยังไงไม่มีใครรู้
“นี่ลูกชายคนเดียวของดิฉันค่ะ ชื่อว่าภูมิพล” หญิงกลางคนรีบจับตัวลูกชาย แล้วแนะนำทันที
‘นี่ชื่อคุณหมอเหรอ?’ ผมได้แต่คิดในใจ แล้วหันมองไปยังคุณหมอภูมิพล ทว่าเขาเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ โดยไม่พูดอะไร
“พล! พาน้องไปนั่งกินอาหารว่าง ตรงโน้นปะ...ทางนี้จะคุยกันเื่การจัดงานแต่ง” ผมในชุดคนไข้ค่อย ๆ เดินตามทั้งสองคน ไปยังสวนหญ้าหลังบ้านที่ติดกับแม่น้ำ เป็บรรยากาศอันแสนเรียบง่าย ใต้ร่มไม้มีโต๊ะสีขาวตั้งอยู่พร้อมของว่าง ท่ามกลางสายลมอ่อนพัดโชยมาเป็ระยะ
‘ว่าที่เ้าสาวชื่อว่ามยุรางั้นเหรอ’ ผมคิดแล้วมองเธอ ที่กำลังเดินไปย่อตัวลงนั่งยังเก้าอี้สีขาว เธอมีอายุราวยี่สิบต้น ๆ ตัวเล็กผิวขาวนวล ั์ตาสีน้ำตาล ผมสั้น อยู่ในชุดสีชมพูลายดอก ทั้งยังสวมสร้อยมุกหรูหรามีราคา ระหว่างนั้นมีเรือพายของชาวบ้านผ่านไปมา ทำให้ผมละสายตาจากมยุรา หันมองไปยังเรือพายที่บรรทุกมะพร้าวอยู่เกือบครึ่งลำ
‘สมัยนี้แล้ว ยังมีคนขายของบนเรืออีกเหรอวะ’ ความคิดผมผุดขึ้นมา ก่อนเสียงอบอุ่นของคุณหมอภูมิพลจะเอ่ยขึ้น ทำให้ผมหันมองไปยังใบหน้าหล่อเหลาของเขา
“เรากำลังจะแต่งงานกัน ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน...คุณไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอ?” สิ้นเสียงของเขาเท่านั้น
อยู่ ๆ ร่างของผมก็ถูกดูดเข้ามาอยู่ในร่างของมยุรา ในตอนนั้นผมบังคับร่างกายและคำพูดใด ๆ ไม่ได้ เหมือนกับอยู่ในร่างเธอ เพื่อซึมซับความรู้สึกของเธอเท่านั้น
มยุรายิ้มบาง ๆ แล้วตอบเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ อยู่ ๆ ความรู้สึกทั้งหมดของเธอก็แล่นผ่านผม ลึก ๆ แล้วรู้ว่าเขาไม่มีใจ แต่ตรงข้ามกัน เธอกลับรักคุณหมอภูมิพลสุดหัวใจ...
‘เขาก็เพิ่งพูดอยู่แท้ ๆ ว่าไม่เคยรู้จักกัน แต่ทำไมมยุรารักเขามากขนาดนี้ล่ะ รักแรกพบเหรอ? ไม่ใช่มั้ง’ หลังจากรับรู้ความรู้สึกเธอมาแล้ว ผมก็แยกพิจารณาด้วยความงุนงง พยายามลุกขึ้นเดินออกจากร่างของเธอแต่ก็ทำไม่ได้ ยังต้องรับรู้ความรู้สึกของเธอต่อไป ก่อนเธอจะตอบอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้มแสนหวาน
“เราไม่เคยรู้จักกันงั้นเหรอ? อย่างนั้น...ตอนนี้คุณเปลี่ยนใจยังทันนะคะ” คุณหมอภูมิพลมองตรงมาด้วยสายตาว่างเปล่า เป็สายตาที่ทำให้หัวใจของมยุราหล่นวูบ แต่เธอก็เข้มแข็งนั่งนิ่งรอฟังคำตอบจากเขาโดยไม่เอ่ยคำใดออกมา
“ผมเป็ลูกชายคนเดียวของพ่อกับแม่ ความหวังของพ่อกับแม่อยู่ที่ผมทั้งหมด ต่อให้อยากเปลี่ยนใจแค่ไหน...ผมก็เปลี่ยนใจไม่ได้” คุณหมอภูมิพลตอบด้วยสีหน้าเรียบ ยังคงเก็บความรู้สึกต่าง ๆ ไว้ในส่วนลึกไม่พูดออกมา
‘คุณหมอมีคนรักอยู่แล้ว บอกมยุราไปสิ เธอจะได้ทำใจ’ ผมภาวนาให้เขาพูดความจริง ทว่าเขากลับเลื่อนของว่างมาให้หญิงสาว แล้วเปลี่ยนเื่
“ขนมตาล ฝีมือคุณแม่ ท่านคงอยากให้คุณชิม” ความรู้สึกของมยุราในตอนนั้น ผสมปนเปกันไปหมด ไม่รู้ว่าควรดีใจหรือเสียใจที่เขาไม่ปฏิเสธการแต่งงานที่จะเกิดขึ้น เธอเอื้อมไปหยิบขนมตาลใส่ปากแล้วค่อย ๆ เคี้ยวเบา ๆ ถึงเวลานี้อยู่ ๆ ผมก็หลุดออกมาจากร่างของเธออย่างน่าประหลาด
‘เอ้า! นึกจะหลุดก็หลุด’ ผมเผลออุทาน แล้วหันมองไปยังมยุราด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด ก่อนจะหันไปยังคุณหมอภูมิพล อาจเป็เพราะเขาเป็แพทย์ประจำตัวผมก็ได้ ที่ทำให้ผมรู้สึกคุ้นเคยผูกพันอย่างบอกไม่ถูก...
“คุณอาคิราห์ครับ” เสียงอบอุ่นเอ่ยขึ้นข้าง ๆ คราวนี้ความรู้สึกของผมคล้ายตกหลุมอากาศ ถูกดูดกลับมาก่อนได้ยินเสียงเรียกนั้นข้าง ๆ หู
“คุณอาคิราห์” นั่นทำให้ผมค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้น เป็เขาอีกแล้ว เป็คุณหมอประจำตัวผมอีกแล้ว ชายผิวขาวสะอาดในชุดกาวน์ใส่แว่น ยิ้มกว้างให้อย่างใจดี ในมือของเขาวันนี้ยังคงถือแท็บแล็ตเครื่องถนัดมือ
หลังจากผมลืมตาแล้ว คุณหมอละสายตาจากผม มองจอเล็ก ๆ แล้วจดข้อมูลลงในแท็บแล็ต ทุกท่วงท่าของเขา ทำไมผมรู้สึกผูกพันอย่างบอกไม่ถูก ทั้งใบหน้า การเคลื่อนไหว หรือแม้แต่รอยยิ้มอ่อนโยน บอกไม่ถูกว่าทำไมหัวใจผมโคตรคิดถึงเขาเลย...
“ได้ยินหมอไหมครับ?” เขาหันมาถาม ก่อนผมจะพยักหน้ารับ ทว่าดูเหมือนเคลื่อนไหวได้เร็วขึ้นกว่าวันก่อน ๆ คุณหมอเอียงศีรษะเล็กน้อย แล้วจับที่แขนข้างซ้ายของผมเหมือนเดิม
“ขยับแขนข้างนี้ให้หมอหน่อยนะ” ผมจ้องมองเขา แล้วขยับตามอย่างว่าง่าย ให้ตายเถอะ ผมสาบานได้เลยว่าเกิดมาทั้งชีวิตชอบแต่ผู้หญิง ไม่เคยคิดว่าคุณหมอภูมิพลคนนี้ จะทำให้ผมรู้สึกลึกซึ้ง จนไม่อยากละสายตาจากเขา
“ขยับแขนอีกข้างให้หมอหน่อยนะครับ” เขายิ้มแล้วเอื้อมไปจับแขนข้างขวาของผม ทว่าผมเผลอมองเขาจนลืมทุกอย่าง รวมถึงลืมขยับแขนตามคำสั่งด้วยเช่นกัน ก่อนคุณหมอหันมาสบตาแล้วเอ่ยถาม
“ได้ยินหมอชัดไหมครับ” ผมพยักหน้าช้า ๆ แล้วค่อย ๆ ขยับแขนข้างขวาตามคำสั่งช้า ๆ
“เก่งมากครับ วันนี้หมอขอให้คุณอาคิราห์ ขยับขาเพิ่มได้ไหม” ว่าแล้วคุณหมอก็หันไปแตะขาผมเบา ๆ ก่อนผมจะรวบรวมกำลังแล้วขยับตามช้า ๆ รอยยิ้มอบอุ่นของคุณหมอเผยออกมาเมื่อเห็นผมทำตาม
“เก่งมากครับ” พูดจบ คุณหมอในชุดกาวน์ก็หันไปยังพยาบาลคนสวย แล้วเอ่ยถาม
“คนไข้มีอาเจียนบ้างไหม?”
“ไม่มีค่ะคุณหมอ”
“งั้นผมฝากคนไข้คนนี้ด้วยนะ หากมีอาการผิดปกติ โทรตามผมได้ตลอดเวลา” เขาหันมายิ้มให้ผมอย่างอบอุ่นเช่นเคย แล้วหันตัวเดินจากไป ก่อนพยาบาลจะหันมาส่งยิ้มให้ผม แล้วดึงผ้าห่มคลุมกายอย่างระวัง
“มีเวียนศีรษะ ปวดศีรษะบ้างไหมคะ” ผมค่อย ๆ ส่ายศีรษะ ก่อนเธอจะส่งยิ้มแล้วหันตัวเดินจากไปเช่นกัน
ภายในห้องพักฟื้นอันเงียบสงบ ผมรู้ว่าตัวเองนอนพัก ที่นี่หลายวันแล้ว ใจจริงอยากลุกขึ้นเดินเล่น อยากขับรถไปกินอาหารอร่อย ๆ อยากไปเจอแก๊งเพื่อน แต่เพราะตอนนี้ร่างกายยังไม่พร้อม ไม่รู้ว่าต้องรักษาตัวอีกนานแค่ไหน ก่อนจะนึกได้ว่าเมื่อครู่ตอนที่ขยับแขน การเคลื่อนไหวเริ่มคล่องขึ้นกว่าหลายวันก่อน จึงค่อย ๆ ฝืนลองค่อย ๆ ยกแขนขึ้นช้า ๆ ปรากฏว่าผมทำได้ แม้ต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่มันก็ขยับได้ดีกว่าครั้งก่อน
ถึงตอนนี้ผมลองขยับแขนอีกข้าง ตามด้วยขา แน่นอนว่าการเคลื่อนไหวของผมดีขึ้น จนแทบอยากลุกขึ้นนั่งด้วยตัวเอง แต่ต่อให้ผมเก่งกล้าแค่ไหน ก็ไม่กล้าลุกขึ้นนั่งเองหรอก หากพลาดหงายท้องตึงขึ้นมา ได้ผ่าหัวใหม่อีกรอบแน่ ๆ
ก่อนเสียงเปิดประตูห้องดังขึ้น ร่างของคุณวิภาวี แม่ของผมที่อยู่ในชุดสีขาว จัดทรงผมแสนทันสมัย รวมถึงแต่งหน้าด้วยเครื่องสำอางราคาแพง บ่งบอกว่าแม่เพิ่งกลับจากการประชุมผู้ถือหุ้นของโรงแรม ทว่าสีหน้าของแม่ไม่ค่อยดีเท่าไร เดินหน้าเง้าเข้ามาแล้วก้มลงหอมหน้าผากผมเบา ๆ
“วันนี้ขอโทษนะ แม่มาช้าเพราะติดประชุม” ผมพยักหน้ารับช้า ๆ มองดูพ่อกับแม่ในตอนนี้ พบว่าพวกท่านอายุมากขึ้น นอกจากต้องปวดหัวกับธุรกิจ แล้วยังต้องมากังวลกับเื่ของผมอีก รู้สึกผิดลึก ๆ ในใจบอกไม่ถูกเหมือนกัน
“ยังไงมันก็ต้องเข้าคุก!” อยู่ ๆ แม่ก็หันไปหาพ่อแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง
“สส.พิชัย ได้ข่าวมาว่าอำนาจมีมากเลยแหละ” พ่อทำหน้าหนักใจไม่น้อย
“ฉันไม่สน ขับรถชนลูกชายฉัน อาการสาหัสปางตาย ต่อให้มีเงินมากแค่ไหน มันก็ชดใช้ไม่ได้หรอก”
“ผมก็ไม่ได้หมายความว่าจะปล่อยไป...คีย์มันก็ลูกผม ลูกคุณคนเดียวเมื่อไหร่?”
“ไม่รู้แหละ ยังไงฉันก็จะทวงความเป็ธรรมให้ลูก ถ้า สส.พิชัยมาคุยกับคุณ ห้ามใจอ่อนเด็ดขาด จะคุยอะไรก็ให้คุยผ่านทนายเท่านั้น” ที่หน้ามุ่ยเดินเข้ามา ไม่ใช่เพราะเื่ธุรกิจ แต่เป็เื่ผมล้วน ๆ แล้วล่ะดูท่าแล้ว...
“แม่...” ผมลองฝึกออกเสียงช้า ๆ ไม่น่าเชื่อว่าทั้งพ่อและแม่ต่างหันมองมายังผมเป็สายตาเดียวกันด้วยความตกตะลึง พ่อรีบปรี่เข้ามาแล้วพูดขึ้น
“คีย์ เมื่อกี้ลูกพูดเหรอ” ผมพยักหน้า แล้วพยายามอ้าปากอีกครั้ง
“ผม..ขอ...โทษ” สิ้นเสียงของผมเท่านั้น น้ำตาของคุณพ่อก็ไหลออกมาทันที นานแล้วที่ผมไม่เห็นน้ำตาของท่าน แต่คำนี้เป็สิ่งที่ผมอยากบอกท่านมากที่สุด
“ลูกพูดได้แล้วจริง ๆ คุณคะ! ลูกเราพูดได้แล้ว” แม่ผมดีใจจนน้ำตาไหล หันไปหาคุณพ่อที่เอาแต่ซับน้ำตา ที่ทะเลาะกันเมื่อครู่ก็หายดีกลับกลายเป็รอยยิ้ม พ่อกับแม่ผมก็แบบนี้แหละ ทะเลาะกันได้ไม่ถึงห้านาทีก็ดีกันเหมือนเดิม
“เดี๋ยวคีย์ดีขึ้นกว่านี้หน่อย พ่อจะพาคุณปู่มาเยี่ยม ไม่เห็นคีย์ ก็ถามหาทุกวัน บอกไปแล้วว่าอยู่โรงพยาบาล ตกเย็นมาก็ถามอีก ถามวันละไม่รู้กี่รอบ สงสัยจะคิดถึงคีย์มากแล้วล่ะ” พอพ่อพูดถึงคุณปู่ก็ทำให้ผมยิ้มขึ้นมา คุณปู่ท่านเป็คนใจดี ตอนเด็ก ๆ ผมเปลี่ยนพี่เลี้ยงเป็ว่าเล่น คนไหนทำให้ผมร้องไห้ คุณปู่ก็จ้างออก จนผมกลายเป็เด็กเอาแต่ใจถึงทุกวันนี้ หากบอกว่าคนที่รักผมมากที่สุดในโลก ก็หนีไม่พ้นคุณปู่ธลากร คนนี้แน่นอน..
แต่ว่าตอนนี้ท่านอายุมากขึ้น ทั้งยังป่วยเป็อัลไซเมอร์มาได้สองปีแล้ว แต่ยังจำผมได้ปกติ แต่มักจะถามซ้ำ ๆ ทำอะไรซ้ำ ๆ ต้องมีคนคอยดูแลตลอดเวลา จะไปว่าไป ไอ้ลูก สส.พิชัยก็ถือว่าโชคดี เพราะหากคุณปู่ของผมยังแข็งแรงดีเหมือนก่อน รับรองว่ามันไม่ตายดีแน่!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้