ในยามเช้าที่สายฝนโปรยปรายลงมาเบาบาง ชาร์ลส์สวมหมวกหนังปีกกว้างและคลุมเสื้อกันฝนเดินทางมุ่งหน้าสู่โบสถ์ประจำหมู่บ้าน แม้อากาศจะไม่เลวร้ายเท่ากับ่ที่ฝนกระหน่ำ แต่พื้นดินที่ชุ่มน้ำก็ยังคงทำให้การเดินทางไม่สะดวกเท่าที่ควร
เมื่อมาถึงหน้าโบสถ์ เขาถูกเ้าหน้าที่เฝ้ายามขวางเอาไว้ ชาร์ลส์จึงต้องแสดงหลักฐานยืนยันตัวตนจากสมาคมรับจ้างให้เ้าหน้าที่ดู หลังผ่านขั้นตอนตรวจสอบ ชาร์ลส์ก้าวเข้าสู่ภายในโบสถ์ เขาเดินเข้าไปทักทายบาทหลวงเจอราร์ด ผู้ดูแลสถานที่แห่งนี้ตามมารยาท
"อรุณสวัสดิ์ครับ" ชาร์ลส์กล่าวคำทักทาย พร้อมถอดหมวกลงเล็กน้อยแสดงความเคารพ
"อรุณสวัสดิ์ คุณ…" บาทหลวงทักกลับ จำได้แค่ว่าเขาเป็ชายหนุ่มที่มาร่วมงานพิธีศพเมื่อวาน
"กระผมชาร์ลส์ เรเวนส์ครอฟต์ นักสืบจากสมาคมรับจ้าง" ชาร์ลส์เอ่ยต่อ "ไม่ทราบว่าเ้าหน้าที่ชันสูตรศพมาถึงแล้วหรือยังครับ?"
"อรุณสวัสดิ์ คุณนักสืบเรเวนส์ครอฟต์ กระผมเจอราร์ดเป็บาทหลวงของหมู่บ้านนี้ ส่วนเ้าหน้าที่ที่คุณถามหายังไม่มาเลยล่ะ" บาทหลวงส่ายหน้า "ถ้าอีกสักพักยังไม่มา ก็คงจะ่บ่ายโน่นแหละ"
"ถ้าอย่างนั้น ผมขออนุญาตรอในโบสถ์นี้ได้ไหมครับ?"
"แน่นอน องค์มหาลิขิตทรงต้อนรับทุกคนอยู่แล้ว" บาทหลวงพูดพลางยกมือขึ้นมาประสานกัน มันเป็สัญลักษณ์ของการภาวนาต่อวงล้ออันยิ่งใหญ่
"ระหว่างรอ คุณนักสืบจะมาร่วมสวดมนต์กันหน่อยไหม?"
"เื่นั้นผมต้องขอตัวก่อนครับ"
"เข้าใจแล้ว งั้นเชิญเข้ามานั่งรอข้างในตามสบาย" บาทหลวงเจอราร์ดพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ คิดในใจว่าชาร์ลส์อาจจะนับถือศาสนาอื่น จึงไม่สามารถสวดภาวนาวิงวอนต่อองค์เทพร่วมกันได้ มิเช่นนั้นอาจจะเป็การดูิ่เทพเ้าที่แต่ละคนศรัทธา
ชาร์ลส์ถอดเสื้อคลุมแล้วแขวนไว้ข้างประตู ก่อนจะเดินเข้าด้านในอย่างนอบน้อมสุภาพ เพื่อมิให้ขาดความเคารพต่อสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ เขานั่งรอฟังเสียงบทสวดอยู่ครู่ใหญ่ สายตาเหม่อมองสัญลักษณ์ศาสนาที่ประดับบนผนังกลางโบสถ์ เป็รูปวงล้อแกะสลักเป็เื่ราวบอกเล่าอันงดงาม บ่งบอกถึงวัฏจักรแห่งวนเวียนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ทันใดนั้น ประตูไม้ด้านหลังก็เปิดออกดังแว่วมาจากทางด้านหลัง ชาร์ลส์หันกลับไปมอง เห็นชายวัยกลางคนร่างผอมสูงในชุดสีดำเดินเข้ามา ผมของเขาเป็สีดำแซมขาว ไว้หนวด ใบหน้าและแววตาดูเ็าห่างเหิน
บาทหลวงเจอราร์ดเงียบเสียงลง ลุกขึ้นเดินออกไปต้อนรับด้วยสีหน้ายินดี "ยินดีต้อนรับครับ คุณคือ...?"
"ผมชื่อ อีไลอัส ฮาร์เปอร์ เป็หมอจากเมืองหลวง เดินทางมาตามที่ได้รับการติดต่อ"
"กระผมชื่อเจอราร์ด บาทหลวงประจำโบสถ์นี้" เขาแนะนำตัว "ศพที่้าให้คุณหมอชันสูตรอยู่ในห้องด้านใน เชิญทางนี้ครับ"
เมื่อทั้งสองเริ่มเดินไปยังห้องเก็บศพ ชาร์ลส์ก็ลุกจากที่นั่งและตามติดไปด้วย อีไลอัส สังเกตเห็นชายหนุ่มจึงหันไปมอง ประเมินอย่างพิจารณา
"ขอโทษครับ แต่คุณเป็ใครกัน ดูไม่เหมือนทหารหรือคนของที่นี่เลย?"
"ขออภัยที่ไม่ได้แนะนำตัว ผมคือชาร์ลส์ เรเวนส์ครอฟต์ นักสืบจากสมาคมรับจ้าง"
อีไลอัสเลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจ "อ้าว คุณคือนักสืบชื่อดังสินะ"
"โอ้ คุณรู้จักผมด้วยหรือ? ถือเป็เกียรติอย่างยิ่ง"
"ไม่หรอกครับ เป็เกียรติของผมต่างหากที่ได้เจอคนดังเช่นคุณ" อีไลอัส ยิ้มให้น้อยๆ
ชาร์ลส์สังเกตอากัปกิริยาของหมอตรงหน้าด้วยความพึงพอใจ แม้ภายนอกจะดูเ็าห่างเหิน แต่ท่วงท่าและการพูดจากลับให้ความรู้สึกสุภาพและเป็กันเองยิ่งนัก
บาทหลวงเจอราร์ดที่ฟังอยู่เงียบๆ ถามขึ้นมาบ้าง "พวกคุณรู้จักกันมาก่อนเหรอ?"
"เปล่าหรอก เราเพิ่งเจอกันเป็ครั้งแรกเมื่อครู่นี้เอง แต่ชื่อเสียงของนักสืบเรเวนส์ครอฟต์นั้นโด่งดังมากในเมืองหลวง ตลอดปีที่ผ่านมามีหลายคดีที่ถูกคลี่คลายโดยเขาคนนี้"
หลังฟังคำบอกเล่า บาทหลวงก็พยักหน้ารับรู้ แล้วนำทางทั้งคู่เข้าสู่โถงเก็บศพต่อ
ระหว่างนั้นอีไลอัสก็เปิดประเด็นถามกับชาร์ลส์ "แล้วคุณนักสืบมาที่หมู่บ้านนี้ด้วยจุดประสงค์อะไรหรือครับ?"
"ตอนแรกผมแค่ถูกจ้างให้มาตามหาสร้อยคอที่หายไปจากผู้ว่าจ้างในหมู่บ้านนี้ ทว่าการตายประหลาดในหมู่บ้านแห่งนี้ทำให้ผมสนใจ จึงอยากอยู่สืบค้นต่ออีกสักระยะ คุณคงได้ยินข่าวเื่การตายผิดธรรมชาติในหมู่บ้าน มีคนลือกันว่าอาจเป็ฝีมือของแม่มดหรือปีศาจร้าย" ชาร์ลส์เปิดประเด็นถามโดยใช้ข่าวลือเป็ตัวตั้งต้น
"โอ้ ผมไม่ปักใจเชื่อเื่แม่มดหรอกนะ มันคงมีสาเหตุที่เป็ไปได้และมีเหตุผลกว่านั้นแน่ๆ"
"ขอให้จริงอย่างเช่นที่คุณกล่าวมาเถอะ หวังว่าเราจะได้ข้อสรุปว่าเกิดอะไรขึ้นและหาทางป้องกันได้ก่อนจะมีใครต้องตายเพิ่มอีก" ชาร์ลส์พูดเสียงหนักแน่น
ทั้งสามมาหยุดลงตรงหน้าประตูไม้บานใหญ่ที่มีป้ายติดอยู่ว่า "ห้องเก็บศพ" บาทหลวงดันบานประตูเปิดออก ปล่อยให้แสงสว่างจากตะเกียงไฟด้านในสาดส่องออกมา
ภายในห้องนั้นกว้างขวาง เป็รูปสี่เหลี่ยม บนพื้นปูด้วยแผ่นไม้สีเข้มขัดมันวาว ผนังก่ออิฐทาสีขาวสะอาดตา ตรงกลางห้องมีโต๊ะหินอ่อนใหญ่ตั้งอยู่ ส่วนรอบๆ มีชั้นวางเครื่องมือแพทย์ต่างๆ อย่างเป็ระเบียบ เห็นได้ชัดว่าถูกจัดเตรียมมาอย่างดี เพื่อรอแพทย์นิติเวชที่จะมาชันสูตร
ทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้อง อีไลอัส หยิบกระเป๋าเครื่องมือส่วนตัวขึ้นมาวางก่อนแล้วเปิดออกอย่างระมัดระวัง ภายในนั้นมีอุปกรณ์ต่างๆ อาทิเช่น มีดผ่าตัด กรรไกร คีมหนีบ เข็มเย็บแผล แว่นขยาย วางเรียงรายกันอย่างเป็ระเบียบ จากนั้นก็เดินตรงไปยังอ่างล้างมือโลหะ ทำความสะอาดฝ่ามือและแขนจนสะอาด จากนั้นเขาก็สวมถุงมือหนังบางอย่างพิถีพิถัน
ภายในห้องนี้มีศพอยู่สองศพ ศพแรก โทมัส ไรท์ ชายผู้เสียชีวิตในป่าใกล้หมู่บ้าน ผู้เป็ลูกชายของอดีตสหายร่วมรบของ เอ็ดมันด์ กับอีกศพหนึ่งเป็ศพที่หล่นออกจากฝาโลงของพิธีกรรมฝังศพเมื่อวาน เนื่องจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้ร่วมพิธีเป็อย่างมาก บาทหลวงเจอราร์ดจึงจำเป็ต้องหยุดพิธีการฝังศพของร่างนี้ไว้ก่อน แล้วรอผู้เชี่ยวชาญมาพิสูจน์ทีหลัง
บนโต๊ะหินวางศพอยู่สองร่าง อีไลอัส เริ่มตรวจดูร่างแรก คือศพของโทมัส ชายหนุ่มที่พบในป่า ขั้นแรกคือการจดบันทึกสภาพภายนอกของศพลงกระดาษโน๊ตขนาดเล็ก ว่ามีลักษณะเป็อย่างไรบ้าง ั้แ่สีผิว ความแข็งตึงของกล้ามเนื้อ จนาแภายนอก จากนั้นค่อยพลิกตะแคงเพื่อดูด้านข้างและด้านหลังของศพ จากนั้นใช้แว่นขยายส่องตามซอกเล็กๆ เช่น ใต้เล็บมือเท้า ข้อพับ แม้กระทั่งในปากและจมูก
หลังตรวจสอบภายนอกครบถ้วน เขาจึงหยิบมีดผ่าตัดและกรรไกรขึ้นมา เตรียมเปิดร่างเพื่อชันสูตรอวัยวะภายใน ใบหน้าของอีไลอัส เคร่งเครียดและจดจ่อ เขารู้ว่าทุกรายละเอียดที่ค้นพบอาจเป็หลักฐานชิ้นสำคัญที่จะนำไปสู่ความจริง
หลังผ่าพิสูจน์ศพทั้งสองอย่างถี่ถ้วนแล้ว อีไลอัส ถอนหายใจเฮือกใหญ่ สีหน้าของเขาดูประหลาดใจระคนสงสัยอย่างยิ่ง
"บนร่างของโทมัส ไรท์ พบลอยรอยฟกช้ำจากการถูกทุบตีอย่างหนักก่อนจะเสียชีวิต จากที่ตรวจดูเหมือนทั้งคู่จะได้รับสารพิษจากเชื้อราเออร์กอต (Ergot) เข้าไปในปริมาณที่อันตรายถึงชีวิตเลยทีเดียว " เขาสรุปผลออกมา
คำว่าสารพิษและเชื้อราทำเอาบาทหลวงงุนงงไม่น้อย ส่วนชาร์ลส์สงสัยจะชื่อเชื้อราที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
"เออร์กอตมันคืออะไร?" ชาร์ลส์ถามขึ้นมา
อีไลอัส เริ่มอธิบาย "เออร์กอต เป็เชื้อราชนิดหนึ่งที่ชอบเจริญเติบโตบนรวงข้าวไรย์ โดยเฉพาะในสภาพอากาศชื้นและอบอุ่น มักจะสร้างเม็ดสีม่วงดำขึ้นมาแทนเม็ดข้าวปกติ ซึ่งภายในเม็ดพวกนี้มีสารพิษอันตรายหลายชนิดเรียกรวมๆ ว่า เออร์กอต อัลคาลอยด์ (Ergot alkaloids) "
อีไลอัส ยิบกระดาษขึ้นมาวาดภาพประกอบคำอธิบายให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น เป็ภาพรวงข้าวไรน์ที่มีเม็ดผิดปกติสีดำยื่นโด่งออกมา
"ตอนเก็บเกี่ยวข้าวที่มีเชื้อรานี้ปะปนอยู่ แล้วเอาไปบดเป็แป้งทำขนมปัง คนที่กินเข้าไปจะได้รับสารพิษนี้ด้วย ซึ่งจะออกฤทธิ์ค่อนข้างรุนแรง ทำให้เกิดโรคที่เรียกว่า เออร์กอติซึม (ergotism) หรือชื่อที่ยอดอัจฉริยะอย่างโฮว์เวิร์ด มาร์ตินสัน ผู้ที่ค้นพบโรคนี้ชอบเรียกบ่อยๆ คือ ไฟศักดิ์สิทธิ์แห่งเซนต์แอนโทนี"
"โรคนี้มีอาการยังไงบ้างหรือครับ?"ชาร์ลส์ถามด้วยความสนใจ
"อาการแบ่งได้เป็สองกลุ่มหลักๆ คือ กลุ่มที่มีอาการเกี่ยวกับระบบประสาท จะมีอาการชา ปวดแสบปวดร้อนตามแขนขา ชัก เพ้อคลั่ง ประสาทหลอน บางรายอาจถึงขั้นเสียชีวิตจากการหายใจล้มเหลวเพราะกล้ามเนื้อหยุดทำงาน"
อีไลอัสวาดรูปแขนขาที่บิดเบี้ยวและเ็ปลงบนภาพวาด
"ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งจะมีอาการที่เรียกว่า เนื้อตาย (Gangrene) คือเนื้อเยื่อส่วนปลายของร่างกายจะค่อยๆ ตายและเน่าลง เพราะเืไปเลี้ยงไม่พอ ผิวจะมีสีดำคล้ำ อาจลุกลามจนต้องตัดอวัยวะทิ้งในที่สุด"
"โหดร้ายกว่าที่คิดเอาไว้มาก แล้วมีทางรักษาหรือป้องกันได้ไหม?" ชาร์ลส์ถามต่อด้วยสีหน้ากังวล
"วิธีที่ดีที่สุดคือการป้องกันั้แ่ต้น ด้วยการคัดแยกเมล็ดที่มีเชื้อราออกก่อนเอาไปบดทำแป้ง แต่ถ้าเผลอรับประทานเข้าไปแล้ว ก็ต้องรีบให้ผงถ่านกัมมันต์ (Activated charcoal) เพื่อช่วยดูดซับพิษในกระเพาะอาหาร ร่วมกับการประคบบริเวณที่มีอาการด้วยความเย็น และให้ยาแก้ชัก ถ้าอาการไม่ดีขึ้นอาจจะต้องตัดอวัยวะที่ตายแล้วทิ้งเพื่อไม่ให้ลุกลาม"
อีไลอัส หยุดพักเล็กน้อย ก่อนจะเสริมขึ้นว่า "และที่น่าสนใจอีกอย่างคือ พิษจากเชื้อรานี้อาจทำให้เกิดการกระตุกของกล้ามเนื้อได้ แม้หลังจากเสียชีวิตแล้ว"
ชาร์ลส์เลิกคิ้วด้วยความสนใจ "หมายถึงเหตุการณ์ที่ศพกระตุกในระหว่างพิธีศพเมื่อวานหรือครับ?"
"ใช่แล้ว" อีไลอัส พยักหน้า "การกระตุกของศพนั้น แม้จะดูน่าใแต่มีคำอธิบาย มีหลายปัจจัยที่อาจทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้"
เขาเริ่มอธิบายอย่างละเอียด "ประการแรก คือภาวะที่เรียกว่า แคดดาเวอริค สแปซึม (Cadaveric spasm) หรือการเกร็งของศพ มักเกิดในกรณีที่ผู้ตายมีการใช้กล้ามเนื้ออย่างหนักก่อนเสียชีวิต นอกจากนี้ สารพิษจากเชื้อราเออร์กอตที่เราพบในร่างกายผู้ตาย มีผลต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ซึ่งอาจทำให้เกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อแม้หลังเสียชีวิตแล้ว"
อีไลอัส เดินไปรอบโต๊ะ มองดูศพอย่างพินิจพิเคราะห์ "ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีก เช่น การเปลี่ยนแปลงทางเคมีหลังการตาย หรือแม้แต่การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม อย่างอุณหภูมิหรือความชื้น ก็อาจทำให้กล้ามเนื้อเกิดการหดตัวได้"
"สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ แม้จะดูน่ากลัว แต่ก็ไม่ใช่เื่ผิดปกติในทางนิติเวช อย่างไรก็ตาม ในกรณีนี้ การกระตุกอาจรุนแรงกว่าปกติ เนื่องจากผลของสารพิษเออร์กอตที่มีปริมาณสูงในร่างกายผู้ตาย" อีไลอัส สรุป
ชาร์ลส์พยักหน้าอย่างเข้าใจ "ขอบคุณสำหรับคำอธิบายครับ คุณหมอ การรู้สาเหตุที่แท้จริงช่วยขจัดความเชื่อเื่คำสาปหรือเื่เหนือธรรมชาติได้มาก"
บาทหลวงเจอราร์ดที่ฟังอยู่เงียบๆ ถามขึ้นมาบ้าง "ก่อนหน้านี้ที่คุณพูดถึง ผงถ่านอะไรนะ?" บาทหลวงทวนคำอย่างงงๆ
อีไลอัส หยิบถุงเล็กๆ ข้างในบรรจุผงสีดำขึ้นมาจากกระเป๋า
"นี่คือผงถ่านกัมมันต์ (Activated charcoal) เป็ผงถ่านที่มีพื้นที่ผิวมาก ทำให้สามารถดูดซับสารต่างๆ ได้ดี รวมถึงสารพิษบางชนิด"
จากนั้นเขาก็นำถุงผงถ่านมาวางบนโต๊ะแล้วเทผงเล็กน้อยลงบนกระดาษให้ดู
"ผงถ่านกัมมันต์จะช่วยดูดซับพิษในกระเพาะอาหาร ลดการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย" อีไลอัส อธิบาย
"เออ… คุณหมอฮาร์เปอร์ครับ ผมขอคำศัพท์ที่ชาวบ้านสามารถเข้าใจได้ด้วยนะครับ ศัพท์เฉพาะทางบางอย่างพวกเราก็อาจจะยังไม่รู้จักและทำให้สับสนได้มากกว่าเดิม" ชาร์ลส์ยกมือขึ้นก่อนพูดออกไป พร้อมกับหันหน้าไปทางบาทหลวงเจอราร์ด
บาทหลวงเจอราร์ดก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของชาร์ลส์
"อะแฮ่ม… ขออภัยผมเผลอตัวไปหน่อย" หมออีไลอัส รู้สึกเขินเล็กน้อย "สรุปสั้นๆ คือ ผงถ่านกัมมันต์จะช่วยลดการดูดซึมพิษเข้าสู่ร่างกาย และถ้าให้ั้แ่เนิ่นๆ ก็จะช่วยบรรเทาอาการจากพิษได้"
อีไลอัส สรุป พลางเก็บถุงผงถ่านคืนเข้าที่
"อย่างไรก็ดี ผงถ่านนี้ก็ไม่ใช่ยาวิเศษ หลังจากใช้มันแล้วควรไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการล้างพิษออกให้หมด"
"แล้วเราจะหาผงถ่านกัมมันต์เพิ่มได้จากไหน?"บาทหลวงเจอราร์ดถามออกมา
"อาจจะพอหาได้บ้างจากร้านขายยา หรือบางทีหมอสมุนไพรก็อาจจะมี" อีไลอัสตอบ
"แปลว่าคนธรรมดาพอจะเข้าถึงได้สินะ"
"ใช่ แต่ถ้าหาไม่ได้จริงๆ ก็สามารถใช้ถ่านที่เผาจนเป็เถ้าละเอียดแทนได้"
"เช่นนี้นี่เอง แปลว่าในหมู่บ้านนี้กำลังเกิดการระบาดของเชื้อราในธัญพืชอย่างนั้นสิ" ชาร์ลส์พูดสรุปสิ่งที่ฟังจากอีไลอัส
"ถูกต้อง เราจำเป็ต้องเก็บตัวอย่างจากยุ้งฉางและไร่นาของชาวบ้านมาตรวจสอบ เพื่อประเมินความรุนแรง แล้วก็ต้องกำชับให้ทุกคนระวังเื่อาหารการกินให้มากขึ้น ส่วนใครที่อาจจะกินเข้าไปแล้วก็มาปรึกษาผมได้นะ ยังไงเราจะช่วยกันรักษาให้ทัน"
"เื่นั้นผมจะรีบไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านเดี๋ยวนี้เลย" บาทหลวงเจอราร์ดรับปากอาสา
"ถ้าอย่างนั้นต้องขอบพระคุณคุณหมอมากนะครับที่ช่วยไขปริศนาครั้งสำคัญนี้ หวังว่าปีนี้จะไม่มีชาวบ้านล้มตายด้วยอาการแบบนี้อีกแล้ว"
ก่อนบาทหลวงจะเดินจากไป ชาร์ลส์เรียกไว้ก่อน
"เดี๋ยวก่อนครับ! เมื่อกี้คุณพ่อเอ่ยว่าปีนี้ แสดงว่าปีก่อนก็เคยเกิดขึ้นอีก?"
"ใช่ ตอนปีที่แล้วหัวหน้าหมู่บ้านคนก่อนก็มีอาการคล้ายๆ กับที่คุณหมอว่ามา พวกเรานึกว่าเขาตายเพราะโรคประหลาดและวัยชรา ใครจะไปรู้ว่ามันมีพิษร้ายซ่อนอยู่กัน" บาทหลวงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
"คุณหมอฮาร์เปอร์ หลังจากนี้คุณมีเวลาให้ผมได้ปรึกษาอะไรสักหน่อยได้ไหม?" ชาร์ลส์เอ่ยถาม
"ได้สิ ผมว่างอยู่แล้วจนกว่าจะมีศพมาเพิ่มหรือมีคนนำตัวอย่างธัญพืชมาให้ผมตรวจ"
"งั้นเราไปคุยกันที่อื่นเถอะ บรรยากาศในห้องเก็บศพไม่ค่อยน่าอยู่เท่าไหร่" ชาร์ลส์หันไปมองร่างไร้ิญญาบนโต๊ะหินอ่อนอย่างหวาดหวั่น
"เห็นด้วย อดทนอีกแปปนะ เดี๋ยวผมเก็บของแล้วจะตามไป"
ชาร์ลส์ผงกศีรษะเดินนำออกไป ทิ้งให้อีไลอัส เก็บเครื่องมือที่เหลือคืนเข้ากระเป๋า จากนั้นก็เดินออกไปจากห้องด้วยใบหน้าที่ดูครุ่นคิด เหลือไว้เพียงแสงตะเกียงไฟสลัวที่ส่องกระทบผิวสีซีดของศพ
เสียงฝนยังคงโปรยปรายอยู่ข้างนอก ท้องฟ้ามืดครึ้มยามใกล้ค่ำทอแสงสลัวลงมา ปกคลุมไปด้วยบรรยากาศอึมครึม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้