บทที่ 131 ความตั้งใจเดิมที่ถูกลืม
“อี่ฉือ”
วินาทีที่ประตูห้องฉุกเฉินถูกผลักออก จูซือเหลียงก็ถลาเข้าไปเป็คนแรก บอดี้การ์ดที่อยู่ข้างหลัง และทีมแพทย์พยาบาลที่อยู่รอบๆ ก็กันกรูเข้าไปมุงดู
ทางโรงพยาบาลกำลังจะประกาศข่าวการเสียชีวิตของผู้ป่วยอยู่แล้ว แต่หลังจากที่เด็กหนุ่มคนนั้นเข้าไป กลับสามารถทำให้ผู้ป่วยเดินออกมาจากห้องผ่าตัดตามลำพังด้วยท่าทางปกติสุขไร้ซึ่งการาเ็ แบบนี้มันเป็ตำนานในโลกการแพทย์เลยนะ
“เราไปกันเถอะ”
หลังจากที่มองหยางอี่ฉือที่อยู่ในวงล้อมของทุกคนแล้ว เย่จื่อเฉินก็เม้มปากยิ้ม
หลิวฉิงกับยมทูตขาวพยักหน้า จากนั้นก็เดินตามหลังเย่จื่อเฉินออกไปจากทางเดินห้องฉุกเฉิน
“เย่…เย่จื่อเฉิน!”
หยางอี่ฉือที่อยู่ในวงล้อมมีสีหน้าแตกตื่น กว่าเธอจะวิ่งออกมาจากวงล้อมได้ เย่จื่อเฉินก็หายไปแล้ว
“เย่จื่อเฉินช่วยฉันไว้ใช่ไหม?”
หยางอี่ฉือเอียงศีรษะถาม มองจูซือเหลียงที่อยู่ข้างกายด้วยแววตาเจิดจ้า
“ใช่ เขาช่วยคุณไว้สองครั้งแล้ว”
“สองครั้ง?”
“บอกตามตรงนะ ผมไม่เคยมองว่าใครสูงส่งกว่า ในบรรดาคนที่อายุเท่ากัน ผมคิดว่าไม่มีใครที่สามารถมาเทียบกับผมได้ แต่เขา…” จูซือเหลียงกระตุกยิ้มที่อ่อนล้าจางๆ ขึ้นมาทันที “ผมเทียบเขาไม่ได้เลย”
“คุณเทียบเขาไม่ได้ั้แ่แรกแล้ว”
หยางอี่ฉือตอกกลับอย่างไร้เยื่อใย ซึ่งจูซือเหลียงก็พยักหน้ารับ
เขาไร้เรี่ยวแรงจะตอบโต้
“งานคอนเสิร์ตทำให้ฉันต้องมาเจอกับอันตรายแบบนี้ จูซือเหลียง คุณต้องคิดทบทวนดูจริงๆ จังๆ แล้วล่ะ”
หยางอี่ฉือหันไปส่ายหน้าใส่จูซือเหลียง พร้อมกับลูกทีมของตัวเองก่อนจะเดินจากไป
แต่จูซือเหลียงก็ได้ดึงรั้งเธอเอาไว้ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มละมุน
“ผมจะไม่ขอให้คุณอภัยให้ผม แต่คุณลุงหยางกำลังรีบมาที่นี่ อีกอย่าง ร่างกายของเธอก็ยังต้องให้หมอตรวจดูก่อน”
ลูกทีมของหยางอี่ฉือที่อยู่ข้างกายก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ครุ่นคิดอยู่สักพัก เธอจึงพยักหน้า
“ฉันเข้าใจแล้ว แต่ว่า จูซือเหลียง ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณ”
ั้แ่ที่ออกมาจากโรงพยาบาล เย่จื่อเฉินก็ได้เดินมานั่งถอนหายใจที่ม้านั่งริมถนน
สูบบุหรี่ไปเป็ระยะ หลิวฉิงลอยมาหยุดมองเขาอยู่นาน ก่อนจะพูดขึ้น
“ทำไมถึงได้เอื่อยเฉื่อยขนาดนี้!”
“เอื่อยเฉื่อย? ฉันเป็อย่างนั้นเหรอ?”
เย่จื่อเฉินฉีกยิ้ม หลิวฉิงเบ้ปากทันที
“ยังจะมาถามอีก หน้านั้นน่ะจะดูไม่ได้อยู่แล้ว”
หัวเราะแห้งๆ แล้วเกาแก้ม เย่จื่อเฉินเงยหน้าขึ้นมองยมทูตขาวที่ยังอยู่ข้างกายพวกเขา
“คุณน่าจะกลับไปได้แล้วนะ จริงสิ ทำไม่นี้ไม่เห็นยมทูตดำอยู่กับคุณเลย?”
“ก็ั้แ่ครั้งนั้นที่เธอสั่งสอนเขาไป เขาก็ไปอยู่กับอีกกลุ่ม ไม่มาอยู่กับฉันแล้ว”
ยมทูตขาวตอบกลับเสียงแ่ เย่จื่อเฉินยิ้มขึ้นทันที
“ดูเหมือนว่าผมจะไปสั่นคลอนความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาของพวกคุณเข้าซะแล้วสิ”
ไม่ว่าจะยังไง ก็ไม่ควรทำให้ครอบครัวคนอื่นแตกแยก
ยมทูตดำขาวน่าจะอยู่ในนรกด้วยกันมานานมากแล้ว เขาโวยไปครั้งเดียวก็ทำให้ทั้งคู่แตกแยกกันเลย
แบบนี้มันเป็บาป
“ไม่เป็ไรหรอก เป็แบบนี้ก็ดีแล้ว ไม่มีใครก้าวก่ายใคร”
ยมทูตขาวส่ายหน้า และทันใดนั้น โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น เมื่อมองดูข้อความในโทรศัพท์แล้วจึงพูดขึ้น
“ฉันต้องกลับแล้วนะ”
“อืม ไว้เจอกัน”
เมื่อหันไปโบกมือให้ยมทูตขาวแล้ว เย่จื่อเฉินก็เห็นว่าเธอค่อยๆ เลือนหายไปในความมืดที่เงียบเหงานี้
หลิวฉิงลอยวนอยู่เหนือศีรษะเย่จื่อเฉิน แล้วพูด
“ยมทูตขาวต้องคิดอะไรกับนายแน่นอน”
“ว้าว สาวน้อย เธอไม่ต้องความรู้สึกไวขนาดนั้นก็ได้มั้ง” เย่จื่อเฉินเงยหน้าขึ้นถอนหายใจอย่างระอา “เธอเป็แบบนี้ มันจะทำให้ฉันเข้าใจผิดคิดไปว่าเธอคิดอะไรกับฉันนะ”
“แหวะ!”
หลิวฉิงทำท่าจะอ้วกออกมาเบาๆ ขมวดคิ้วย่นจมูกต่อว่า
“ไม่สนใจนายแล้ว”
สิ้นเสียง เธอก็กลับเข้าไปรักษาอุณหภูมิิญญาในเนตรัอีกครั้ง
เพียะ!
ตบหน้าตักเต็มแรง เมื่อกี้มัวแต่สนใจอยู่กับการเพิ่มอายุขัย จนลืมถามเื่การคืนชีพไปเลย
กำลังจะหยิบเอาโทรศัพท์ออกมา เย่จื่อเฉินก็รู้สึกว่ามีมือมาวางบนไหล่ของเขา
“ใคร”
เย่จื่อเฉินตัวสั่น เมื่อหันไปมองก็เห็นนายแพทย์เจิ้งเฉิงในชุดกาวน์สีขาว เดินเข้ามานั่งข้างเขาด้วยรอยยิ้ม
“คุณตา ดึกดื่นมาทำแบบนี้มันในะ”
คุณตา!
นายแพทย์เจิ้งเฉิงอึ้งไปทันที เขายังไม่เคยได้ยินใครเรียกเขาแบบนี้มาก่อน แต่เมื่อนึกถึงอายุของตัวเอง หนวดเคราก็จะขาวแล้ว จะเรียกว่าคุณตาก็ไม่ผิด
“ถ้าฉันจำไม่ผิด เธอชื่อเย่จื่อเฉินสินะ”
นายแพทย์เจิ้งเฉิงยิ้มใจดี เย่จื่อเฉินขยับถอยหลังอัตโนมัติ
รอยยิ้มหมาป่าเ้าเล่ห์แบบนี้ ไม่รู้ว่าไปหลอกหนูน้อยหมวกแดงมากี่คนแล้ว
“คุณจะทำอะไร”
เย่จื่อเฉินรักษาระยะห่างเอาไว้ และมองเขาด้วยสายตาหวาดระแวง
“ทำไมทำท่าแบบนั้นล่ะ เธอคิดว่าฉันเป็คนไม่ดีหรือไง?”
“เอ่อ ก็ดูไม่เหมือนคนดีเท่าไร”
นายแพทย์เจิ้งเฉิงที่ได้ยินพลันยิ้มขมขื่น “ฉันแค่อยากถามหน่อย เธอเป็นักศึกษาแพทย์มหาลัยเทคโนโลยีปิงเฉิง คณะแพทย์แผนจีนเหรอ?”
“ไม่ใช่ครับ”
“ถ้าอย่างนั้น…”
“ผมเรียนสัตวแพทย์”
“...”
นายแพทย์เจิ้งเฉิงหน้าเหวอไปทันที นี่จะคุยกันดีๆ ได้หรือเปล่า
“เด็กน้อย อย่าขี้ระแวงขนาดนั้นเลย”
“ผมระแวงได้มากกว่านี้อีก เป็ความระแวงที่คนธรรมดาเทียบไม่ติดเลยล่ะ” เย่จื่อเฉินนั่งนิ่งไม่ขยับ จนเมื่อเห็นสีหน้าประหม่าขึ้นเรื่อยๆ ของนายแพทย์เจิ้งเฉิง เขาถึงได้เปิดปากพูดขึ้นอีกครั้ง “ดึกดื่นค่อนคืนคุณออกมาหาผมแบบนี้ มีอะไรก็พูดมาเถอะ”
“เอ่อ…”
โดนเด็กไม่ไว้หน้าแบบนี้ นายแพทย์เจิ้งเฉิงก็เจอเป็ครั้งแรกจริงๆ
“ฉันอยากให้เธอมาเป็นายแพทย์แผนจีนที่โรงพยาบาลของเรา ฉันสามารถทำให้นายขึ้นเป็หัวหน้าได้”
“อ๋อ” เย่จื่อเฉินไม่เงยหน้าขึ้นมอง ก่อนบิดี้เีแล้วลุกออกจากม้านั่ง “ไม่ไป”
“...”
เป็หัวหน้าในตอนที่อายุยี่สิบสามปี แทบจะไม่มีให้เห็นในวงการการแพทย์เลย
ตอนแรกคิดว่าอีกฝ่ายจะตอบตกลงอย่างดีอกดีใจ แต่…
อีกฝ่ายกลับปฏิเสธ!
“ฉันไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม ให้เธอเป็หัวหน้าเธอก็ไม่มาเหรอ?”
“ไม่ไป” เย่จื่อเฉินไหวไหล่พูด “แพทย์เป็อาชีพที่รายได้สูงก็จริง แต่ผมไม่ได้ขาดเงิน”
“เป็หมอไม่ใช่แค่เพื่อเงินอย่างเดียวนะ แต่ยังได้ช่วยชีวิตคน ได้รับการยกย่อง...”
“หยุด”
เย่จื่อเฉินที่ได้ยินเหตุผลนี้ก็หูผึ่งขึ้นมา
“ถ้าอยากช่วยชีวิตคนไม่ต้องเป็หมอก็ช่วยได้ ถ้าแค่้าหาเงินอย่างเดียว ต่อให้ใส่เสื้อกาวน์สีขาวนั่นมันก็ทำอะไรไม่ได้หรอก การจะช่วยชีวิตคนมันอยู่ที่ใจ ไม่ใช่อาชีพ ถ้าพูดตรงๆ คนที่อยากเป็หมอทุกคนเพราะเล็งเื่การช่วยคนกันทั้งหมดเหรอ? ผมว่ามันน่าจะมีจำนวนน้อยที่คิดแบบนั้นนะ”
นายแพทย์เจิ้งเฉิงเงียบไปกับคำพูดของเย่จื่อเฉิน การทำงานมันก็เป็แบบนั้นแหละ เขาไม่มีอะไรจะโต้แย้ง
เมื่อเห็นท่าทางไร้ข้อโต้แย้งของอีกฝ่าย เย่จื่อเฉินจึงได้ถอนหายใจเบาๆ
คุณตาท่านนี้อาจจะบริสุทธิ์ใจ เป็แพทย์ที่้าช่วยชีวิตคนจริงๆ แต่คนอื่นที่เห็นไม่ใช่แบบนั้น
เย่จื่อเฉินโบกมือลาแล้วเดินออกไปจากม้านั่ง โดยไม่สนใจชายชราที่อยู่ข้างหลัง
ในยุคปัจจุบันนี้
เป็ยุคที่แสวงหาชื่อเสียงโชคลาภ
สิ่งที่สำคัญก็คือผลประโยชน์ ผลประโยชน์มานำหน้า และทำให้คนค่อยๆ ลืมเลือนความตั้งใจเดิมไป
เมื่อเจอคนขอความช่วยเหลือเย่จื่อเฉินก็จะช่วย
แต่การช่วยชีวิตคน ช่วยเหลือคนทั้งโลกนั้น
ความสามารถของเขามันมีขีดจำกัด ไม่สามารถจะตอบแทนความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นได้
อาจจะมีคนคิดเขาว่าเขาทัศนคติไม่ดี
แต่ทุกวันนี้ คนที่ทัศนคติดีมันจะมีสักกี่คนกัน?
ถ้ามีเวลาขนาดนั้น สู้กลับบ้านไปหาพญายมราช แล้วไปขอคุณงามความดีกับวิธีฟื้นคืนชีพจะดีกว่า