บทที่ 128 อันตรายรอบด้าน
ณ ลานริมทะเลสาบมีแต่ความเงียบ ได้ยินเพียงเสียงกระบี่หิมะย่ำรุ้ง และเสียงพึมพำนินทาเท่านั้น
ทุกคนใอย่างยิ่ง เพียงกระบวนท่าเดียวก็ตัดสินผลได้แล้วหรือ? เป็ไปได้อย่างไร?
พวกเขามองกระบวนท่าเมื่อครู่แทบจะไม่ทัน เห็นแค่ทั้งคู่ประลองกัน จากนั้นแสงกระบี่ก็ะเิออกอย่างรุนแรง ทันใดนั้น บ่าวผู้ฝึกกระบี่ก็ถอยหลังไปสิบก้าว และแม้แต่กระบี่ก็แตกเป็เสี่ยงๆ!
ทุกคนตกตะลึงอย่างไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนป่าในขอบเขตควบแน่นพลังปราณถึงสามารถเอาชนะผู้ฝึกกระบี่จากขั้นมหาสมุทรที่มีประสบการณ์เช่นนั้นได้?
ภาพลวงตาหรือ?! เหลือเชื่อยิ่งนัก!
“อวิ๋น... คุณชายอวิ๋นชนะแล้ว?” เสวี่ยหรูเยียนอ้าปากเล็กน้อย รู้สึกเหลือเชื่อ แม้ว่าในใจของนางฉู่อวิ๋นจะดูลึกลับมากจนไม่อาจคาดเดาความแข็งแกร่งได้ก็ตาม
“เด็กคนนี้มีพร์ด้านกระบี่สูงมาก ไม่เลว” ในมุมหนึ่งของจวนตระกูลเสวี่ย ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งพึมพำกับตัวเองพลางยกย่องเขาอย่างจริงใจ
“หรูเยียนไปเก็บเ้าหนุ่มนี่มาจากไหน?... แค่อยู่ขั้นขอบเขตควบแน่นพลังปราณก็ปรามนักรบขั้นมหาสมุทรได้?! ตอนนี้อัจฉริยะของชนเผ่าโบราณมีฝีมืออุกอาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ? นี่ยังจะให้คนอื่นรอดอยู่หรือเปล่า?”
“เ้าหนุ่มนี่อนาคตสดใสแน่นอน… แม้ว่าจะเป็คนป่า แต่ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นเช่นนี้ ย่อมเป็เขยแต่งเข้าที่ดีของตระกูลเสวี่ยเรา”
ในความมืดมิดที่ห่างไกล ชายชราบางคนจากตระกูลเสวี่ยพยักหน้าแปลกๆ แม้จะประหลาดใจแต่ก็ค่อนข้างพอใจกับฝีมือของฉู่อวิ๋น
ในความเป็จริง แม้ว่าผู้มีอำนาจเหล่านี้จะมีสายตาที่แหลมคม แต่พวกเขาก็นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าทั้งสองฝ่ายจะตัดสินผลแพ้ชนะกันได้ในกระบวนท่าเดียว
แล้วการแลกเปลี่ยนกระบี่ที่ตกลงกันเอาไว้เล่า? เดิมทีคิดว่าเ้าหนุ่มนี่จะถูกบ่าวชุดดำขยี้ให้พ่าย ทว่ากลับเป็ฝ่ายเขาเองต่างหากที่พ่ายแพ้ แถมยังพ่ายแพ้อย่างหมดรูป!
“ลุงซิ่งก็แค่ประเมินศัตรูต่ำไป แต่ไม่ว่าอย่างไร พร์ของเด็กป่าคนนี้ก็เทียบไม่ได้กับหานเฟย” ในที่สุด ชายชราบางคนก็พูดคำดูถูกเหยียดหยามออกมาด้วยน้ำเสียงเ็า โดยไม่สนใจสถานที่นี้อีกต่อไป
ในยามนี้ ทุกคนในลานบ้านต่างตกตะลึง เมื่อมองดูฉู่อวิ๋นที่สงบนิ่งและบ่าวผู้ฝึกกระบี่ที่กระอักเื ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา
มีเพียงคุณชายชุยเสวี่ย เสวี่ยหานเฟยเท่านั้นที่ยิ้มออกมาด้วยดวงตาเป็ประกาย มันเป็รอยยิ้มที่จริงใจ แต่ไม่อาจคาดเดาจิตใจได้
“หิมะย่ำรุ้งช่างพิเศษจริงๆ! คุณชายท่านนี้ ออมมือแล้ว” ฉู่อวิ๋นยิ้มและเก็บกระบี่ ก่อนจะเริ่มพูดทำลายความเงียบอย่างพึงพอใจ
เขาแกว่งกระบี่ท่ามกลางความประหลาดใจของสายตาทุกคู่ แล้วค่อยๆ หันหลังกลับไปหาพี่น้องตระกูลเสวี่ย
ในเวลานี้ ทุกคนยังคงสับสน จับจ้องฉู่อวิ๋นด้วยความตะลึงงันอย่างยิ่ง
“อ้อ ใช่แล้ว!”
ก่อนที่ฉู่อวิ๋นจะสาวเท้าต่อ เขาก็มองย้อนกลับไปยังบ่าวผู้ใช้กระบี่ ดวงตาของเขาเ็าเล็กน้อย
“ทักษะกระบี่ของเ้าไม่เลว แต่ยังห่างไกลจากจิตไหวกระบี่นัก พยายามฝึกฝนอีกสักหลายทศวรรษก็อาจมีโอกาสทะลวงได้”
ฉู่อวิ๋นพูดเหน็บแนมอย่างเ็า ไม่แสดงท่าทางเป็มิตรใดๆ ออกมา ทำให้บ่าวชุดดำรู้สึกละอายใจมาก แม้แต่มือที่ถือกระบี่ก็ยังสั่นสะท้าน
อันที่จริง ฉู่อวิ๋นโกรธมาก เดิมทีตกลงกันว่าจะเป็เพียงการแลกเปลี่ยน แต่อีกฝ่ายกลับแสดงกระบวนท่าสังหารั้แ่ลงมือเลย
นี่มันกะทันหันเกินไป หากมีข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็อาจก่อให้เกิดเรือล่มในรางน้ำ[1]ได้ เขาจึงไม่คิดจะไว้หน้ากับบ่าวรับใช้คนนี้
แต่ในความเป็จริง เหตุผลที่ฉู่อวิ๋นสามารถเอาชนะบ่าวผู้ฝึกกระบี่ได้ ก็เพราะความแตกต่างในด้านทักษะการใช้กระบี่และระดับของกระบี่
และสิ่งสำคัญที่สุดคือบ่าวผู้ฝึกกระบี่ผู้นี้คิดจะฆ่าเขา ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางถอย สาเหตุหลักนี้มองเห็นได้ง่ายนัก ไม่เช่นนั้น หากฉู่อวิ๋นคิดจะเอาชนะเขาขึ้นมา ก็ไม่ใช่เื่ยากอะไร
“ข้าแพ้แล้ว… คุณชายใหญ่ ข้าขอตัวก่อน”
ในเวลานี้ บ่าวเฒ่าผู้ฝึกกระบี่ที่ชื่อลุงซิ่งหน้าแดงจากการระงับโทสะ เขามองไปที่เสวี่ยหานเฟย จากนั้นก็หันหลังกลับและจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เขาเป็ถึงนักรบระดับสามในขั้นมหาสมุทรที่มีเกียรติยิ่งใหญ่ แต่กลับพ่ายให้กับชายหนุ่มในขอบเขตควบแน่นพลังปราณด้วยกระบวนท่าเดียว ภายใต้สายตาที่คอยจับจ้องอยู่ของบุคคลสำคัญหลายคนในตระกูล
เขาจะเอาหน้าไปไว้ไหน? มันน่าอับอายเกินไปที่จะอยู่ที่นี่แล้ว
“อะไรน่ะ?...มองอะไร ไปทำงานไป!” พ่อบ้านคนหนึ่งะโไล่ ทำให้คนทั้งหมดแตกตื่นและเริ่มแยกย้ายกันไป ที่นี่จึงกลับมาสงบอีกครั้ง
การลองกระบี่สั้น ๆ นี้สิ้นสุดลงแล้ว ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไป แต่ใบหน้าของพวกเขายังคงเต็มไปด้วยความทึ่ง ในทางกลับกัน ฉู่อวิ๋นหันกลับมาอย่างสงบและเดินไปยังจุดที่เคยอยู่
“ฮ่าๆ จอมยุทธ์อวิ๋น กระบวนท่ากระบี่ของท่านเปิดโลกของข้าแล้วจริงๆ” เสวี่ยหานเฟยเดินเข้ามาหาพลางหัวเราะ แสร้งทำเป็ชื่นชมฉู่อวิ๋น
“บังเอิญ” ฉู่อวิ๋นเหลือบมองไปที่เสวี่ยหานเฟย น้ำเสียงของเขาเ็า ไม่้าคุยอะไรกับคนผู้นี้อีก
บ่าวไม่มีทางลงมือฆ่าเขาโดยไม่มีเหตุผล แต่คงเพราะได้รับคำสั่งจากใครสักคนมากระมัง
ผู้บงการหลังม่านที่แม้จะไม่พูดก็รู้ได้ นอกจากคุณชายผู้อ่อนโยนและสง่างามผู้นี้ จะเป็ใครได้อีก?
“ฮ่าๆ จอมยุทธ์ถ่อมตัวนัก คุณชายเช่นข้าชอบผูกมิตรกับอัจฉริยะรุ่นเยาว์เป็ที่สุด บางทีสักวันหนึ่งเราสองจะมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันและกัน ย่อมน่ายินดีอย่างแน่นอน”
เสวี่ยหานเฟยยิ้มอ่อนโยนเบาๆ เสื้อผ้าสีขาวของเขากระพือพัด เขาสะบัดพัดขนนกแร่น้ำแข็งเบาๆ แววตาที่แอบมั่นใจในตัวเองอย่างลึกๆ ทอแสงขึ้นมาราวกับน้ำแข็งที่เย็นจัด
“โอ้? จริงหรือ? เช่นนั้นข้าก็ต้องตั้งตารอแล้ว” ฉู่อวิ๋นยิ้มเบาๆ ยืนนิ่งตระหง่านอย่างองอาจ
ชั่วครู่หนึ่ง ทั้งสองยืนตรงข้ามกัน สบตากัน ราวกับประกายไฟที่โจมตีกัน เป็การปะทะที่เงียบงัน
“ท่านพี่!” เสวี่ยหรูเยียนเดินเข้ามา สายตาดูรำคาญเล็กน้อย และพูดดุด้วยรอยยิ้ม “คุณชายอวิ๋นเพิ่งประลองเสร็จ ท่านจะมาบอกพูดเื่ตีๆ รบๆ ไม่ได้นะ มีความสุขนักหรือไร?”
“ฮ่าๆ เป็ข้าที่เสียมารยาทแล้ว ขอโทษด้วย” เสวี่ยหานเฟยยกยิ้มอย่างเชื่องช้า หรี่ตาลง และควบคุมพลังปราณของตน
“หน้าเนื้อใจเสือ” ฉู่อวิ๋นก่นด่าในใจ รู้สึกรังเกียจคนตรงหน้ามากยิ่งขึ้น
หลังจากทั้งสามคนสนทนากันสักพัก ไม่นานเสวี่ยหานเฟยก็รีบออกจากลานไปอย่างรวดเร็วโดยอ้างว่าไม่อยากอยู่รบกวนพวกเขา ในขณะที่เสวี่ยหรูเยียนยังคงรั้งอยู่ที่นี่ต่อ
“คุณชายอวิ๋น ยามทิวามอมเมาผู้คน คุณหนูเช่นข้าอยู่เป็เพื่อนท่านที่นี่ พูดเื่สนุกๆ ของเมืองชุยเสวี่ยให้ท่านฟังดีกว่า” เสวี่ยหรูเยียนเคลื่อนกายอย่างสง่างาม นั่งลงบนเก้าอี้หยกริมทะเลสาบ
ตอนนี้ สายตาที่บุตรสาวของตระกูลเสวี่ยมอง “อวิ๋นชู” ยิ่งแปลกมากขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาของนางทอประกายด้วยความชื่นชมและคลั่งไคล้
ที่แน่นอนๆ คือหลังจากการลองกระบี่ในครั้งนี้ เสวี่ยหรูเยียนสนใจฉู่อวิ๋นขึ้นมาแล้วจริงๆ
“ก็ได้ เช่นนั้นก็ลำบากคุณหนูเสวี่ยเล่าให้ข้าฟังแล้ว” ฉู่อวิ๋นยกยิ้มตอบ เขาอยากทราบข่าวฉู่ซินเหยาอยู่พอดี และตอนนี้เป็โอกาสที่ดีที่สุด
ใน่ดึก พายุ่สั้นๆ ผ่านไป อากาศย่อมสงบ แต่ในจวนตระกูลเสวี่ยอันโอฬารนี้ มีทั้งคนที่มีความสุขและคนที่โศกเศร้า
การมาถึงอย่างกะทันหันของฉู่อวิ๋นทำให้หลายคนตื่นตัว แต่ละคนต่างก็มีความคิดเป็ของตัวเอง
“คุณชายใหญ่! เป็ข้าที่ประมาทเอง! ข้าทำให้ท่านต้องอับอาย...”
ในห้องวิจิตรหรูหรา บ่าวผู้ฝึกกระบี่ในชุดดำคุกเข่าลงและก้มหน้าขอโทษซ้ำๆ รู้สึกละอายใจอย่างยิ่ง
“ลุงซิ่ง ท่านไม่ต้องโทษตัวเองหรอก”
เสวี่ยหานเฟยโบกพัดขนนกอย่างใจเย็นและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เดิมทีข้าคิดว่าอวิ๋นชูผู้นี้จะปลอมตัวเป็คนป่า คิดวิธีขับไล่พวกขโมยม้าเพื่อหวังว่าจะได้รับความไว้วางใจจากหรูเยียน และแอบเข้ามาในจวนตระกูลเสวี่ยเพราะแผนชั่ว”
“แต่ไม่คิดว่าแม้ข้าจะลองเชิงอยู่หลายครั้ง เขาก็ยังประคองตนเองกลับมาได้ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ บ่าวผู้ฝึกกระบี่ในชุดดำก็ขมวดคิ้วและถามว่า “ถ้าเช่นนั้น... อวิ๋นชูผู้นี้ก็เป็เพียงคนป่าที่มีความสามารถจริงๆ หรือขอรับ?”
ในเวลานี้ ดวงตาของเสวี่ยหานเฟยหรี่ลง สายตาของเขาเ็าและดุดันราวกับหนามน้ำแข็ง พูดด้วยน้ำเสียงเ็า “ถ้าเขาไม่โกหก ย่อมเป็สิ่งที่ดีที่สุด ข้าเองก็หวังว่าหรูเยียนจะหาสามีที่สมใจได้”
“แต่ถ้าเขาหลอกลวงครอบครัวเราและมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง ข้าย่อมไม่ปล่อยเขาไปแน่!”
พูดจบ ดวงตาของเสวี่ยหานเฟยก็แข็งกร้าว พลังปราณของเขาเพิ่มขึ้น เสียง “แกร็ก” ดังขึ้นชัดเจน ทั้งห้องถูกปกคลุมไปด้วยผลึกน้ำแข็งหนาๆ
หนาว เหน็บหนาวยิ่งนัก
บ่าวผู้ฝึกกระบี่ในชุดดำตัวสั่นด้วยความหนาวเย็น พลังทั้งหมดในร่างกายของเขาแข็งตัว เ็ปทรมานยิ่ง...
ณ สวนหลักจวนตระกูลเสวี่ย ห้องผู้นำตระกูล
“ท่านพ่อ อวิ๋นชูผู้นี้ ท่านคิดว่าอย่างไรเ้าคะ?” เสวี่นหรูเยียนถามชายวัยกลางคนอย่างเขินอายและรอคอยคำตอบ
"ฮ่าๆ หรูเยียนของเราก็อายเป็ด้วยหรือ?”
คิ้วของเสวี่ยจิงหงโค้งมนดูสง่างาม เขาหัวเราะเบาๆ ทำให้ใบหน้าของเสวี่ยหรูเยียนยิ่งแดงขึ้น
จากนั้นก็เอนหลังกับเก้าอี้ พยักหน้าและเอ่ยว่า “เ้าหนุ่มคนนี้อายุยังน้อยนัก อยู่ในขั้นขอบเขตควบแน่นพลังปราณแต่กลับเอาชนะนักรบขั้นมหาสมุทรได้ด้วยกระบี่เดียว โดดเด่นยิ่งนัก! พร์ที่ว่าย่อมไม่น้อยหน้าใครอย่างแน่นอน”
“เช่นนั้นก็ดีเ้าค่ะ” เสวี่ยหรูเยียนหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “พูดตามตรง ลูกสาวมีความประทับใจที่ดีต่ออวิ๋นชู เพราะภูมิหลังของเขาไม่อาจหยั่งรู้ พร์ด้านพลังยุทธ์ของเขาก็สูง ดังนั้น...”
“ลูกเอ๋ย เ้าอยากพูดถึงการแต่งงานตามกฎของตระกูลใช่หรือไม่?” เมื่อเห็นเสวี่ยหรูเยียนลังเลที่จะพูด เสวี่ยจิงหงจึงถามด้วยรอยยิ้มเพราะมองได้ทะลุปรุโปร่ง
ก่อนหน้านี้ ทันทีที่เสวี่ยหรูเยียนกลับมาที่จวน นางบอกเขาว่ามีคนเห็นร่างกายของแล้ว ในขณะเดียวกันก็ขอให้เหล่าผู้าุโบางคนแอบคอยสังเกตฉู่อวิ๋น เพื่อตัดสินใจว่าควรแต่งงานด้วยหรือไม่
ในระหว่างการลองกระบี่ มีผู้าุโจำนวนไม่น้อยที่ชมเชยฉู่อวิ๋นและยอมรับในคุณสมบัติของเขา
“ฮ่าๆ งานแต่งครั้งนี้ทางฝั่งผู้าุโเห็นด้วยแล้ว อีกอย่างยากนักที่หรูเยียนจะชอบใคร ทั้งอีกฝ่ายก็เป็คนมีพร์ ตราบใดที่พิสูจน์ได้ว่าเขาเป็ลูกหลานของตระกูลโบราณจริงๆ พวกเราย่อมเป็เ้าภาพจัดการให้เ้าแน่นอน"
“แล้วถ้าหากอวิ๋นชูไม่ยินยอมเล่า?” เสวี่ยหรูเยียนหรี่ตาลง และถามด้วยเสียงแ่เบา
“หึ เหตุใดเขาถึงต้องไม่ยินยอมเล่า? ไม่ต้องพูดถึงกฎของตระกูลเราก็ได้ แต่เขาได้เห็นร่างอันล้ำค่าของเ้าแล้ว คิดอยากจะหนีไปง่ายๆ หรือ? ไม่มีทาง!”
ดวงตาของเสวี่ยจิงหงเข้มขึ้น เขาพูดว่า “ไม่ว่าเขาจะไปที่ใด ข้าจะจับเขามาแต่งงานกับเ้าให้ได้!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของเสวี่ยหรูเยียนก็เปล่งประกายเอ่อไปด้วยความสุข ด้วยคำสัญญานี้ นางไม่กลัวว่าฉู่อวิ๋นจะหนีจากเงื้อมมือของตนไปได้
อัจฉริยะหนุ่มคนนี้ย่อมเป็คู่ที่์ลิขิตแน่นอน จะปล่อยไปไม่ได้!
เสวี่ยหรูเยียนยกยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ฮิๆ ถ้าท่านพี่เองก็ได้แต่งงานกับฉู่ซินเหยาเช่นกัน หากวันนั้นพวกเราสองพี่น้องจัดงานสมรสพร้อมกัน ไม่ใช่ว่าตระกูลเสวี่ยของเราจะมีความสุขเป็สองเท่าหรอกหรือเ้าคะ?”
“ฮ่าๆๆ!” เสวี่ยจิงหงหัวเราะออกมาเสียงดัง เขามีความสุขมากและพูดอย่างมั่นใจ “แน่นอน! หรูเยียนเ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะจัดการเด็กคนนั้นเอง และไม่ต้องห่วงเื่การแต่งงานของหานเฟยหรอก เื่นั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว”
“โอ๊ะ? เหตุใดท่านพ่อถึงมั่นใจนัก? คู่แข่งของท่านพี่หานเฟยก็ไม่ใช่ย่อยๆ นะเ้าคะ” เสวี่ยหรูเยียนถามอย่างสงสัย
“ฮ่าๆ ฉู่เจิ้นหนานคนนั้นเข้ามาจัดงานแต่งทั้งยังเรียกรวมพันธมิตรใหม่เก่าอย่างยิ่งใหญ่เช่นนั้น ข้าย่อมเข้าใจว่าเขา้าสิ่งใด” คำพูดของเสวี่ยจิงหงมีความนัยลึกซึ้ง เขาดูไม่กังวลเลยสักนิด
“หรือว่า ท่านพ่อกับฉู่เจิ้นหนานได้…”
“ฮ่าๆ…"
ดวงตาของเสวี่ยจิงหงเป็ประกาย เขายกยิ้มโดยไม่เอื้อนเอ่ยใดๆ ออกมา
--------------------
[1] ยังไม่ทันได้ทำอะไรก็เกิดเื่ขึ้นเสียก่อน หรือ ประมาทในพื้นที่ของคนอื่น