เล่มที่ 4 บทที่ 101
วันนั้นที่จวนของฮูหยินหลิง แม่รองเฉิน้าให้นางพบกับอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาท แต่อนุหนิง้าขวางฮูหยินหลิงแม้จะต้องทำลายนางก็ตาม นั่นเพื่ออะไรหรือ?
ย้อนนึกถึงคืนนั้น อนุหนิงบอกว่า นางรอวันนี้เป็เวลาสิบกว่าปีแล้ว ทำให้มู่หรงฉิงมีความคิดบางอย่างในใจ อนุหนิงรับใช้องค์ชายรัชทายาทราชวงศ์ก่อนโดยตรงหรือไม่? ถ้าเป็เช่นนั้น ทำไมนางถึงได้แต่งงานกับมู่หรงอั้น? นอกจากนี้นางยังแต่งงานโดยมีฟางซ่านหยวนเป็พ่อสื่อ
ถ้าอนุหนิงรับใช้องค์ชายรัชทายาทราชวงศ์ก่อนโดยตรง แล้วแม่รองเฉินล่ะ? ผู้ที่อยู่เื้ัแม่รองเฉินคือใคร? ถ้าหาก้าเข้าใกล้เป้าหมายมากยิ่งขึ้น ดูเหมือนว่า่นี้นางจำต้องใส่ใจอนุหนิงเป็ระยะๆ แล้ว
คิดได้ดังนั้น มู่หรงฉิงพูดกับจ้าวจื่อซินด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ต่อจากนี้จงให้ความสำคัญกับการเคลื่อนไหวของอนุหนิง หากมีการเคลื่อนไหวผิดแปลกเป็พิเศษ โปรดแจ้งให้ข้าทราบทันทีด้วย”
หลังจากพูดจบก็เห็นเฉินเทียนหยูกวักมือเรียกนาง มู่หรงฉิงจึงก้าวเท้าเดินออกไป
จ้าวจื่อซินมองตามแผ่นหลังของนางด้วยรอยยิ้มกว้างจนดวงตาหรี่โค้ง “ชิงยวี่ เ้าดูนางสิ สั่งการข้าในเวลานี้ได้อย่างสบายมากขึ้น”
ชิงยวี่รู้สึกประหลาดใจกับคำพูดของจ้าวจื่อซิน เขาคิดในใจ เ้านายถูกคนเรียกใช้ เ้านายกลับมีความสุขมากเช่นนั้นเลยหรือ? เ้านายอย่าต่ำตมเช่นนั้นจะได้หรือไม่?
สีหน้าของชิงยวี่เผยความคิดของเขาออกมา จ้าวจื่อซินถอนสายตาออกจากมู่หรงฉิงแล้ว ถึงกับถอนหายใจเบาๆ หลังจากเห็นสีหน้าของคู่สนทนา จากนั้นวางมือลงบนไหล่ของชิงยวี่ “ชิงยวี่คนดี เ้ากล้าที่จะพูดสิ่งที่คิดในใจของเ้าออกมาหรือไม่? หือ?“
“ข้า…” ชิงยวี่รู้สึกเ็ปที่ไหล่ เขาร้องไห้อยู่ในใจ เ้านาย ท่านทำเช่นนี้ช่างไม่สมเหตุสมผลมากเกินไปแล้วกระมัง? หรือข้าจะคิดในใจของข้าไม่ได้เชียวหรือ?
ความเ็ปที่ไหล่ของเขาเพิ่มมากขึ้น ชิงยวี่จึงตัดสินใจทันทีทันใด “เ้านาย ท่านมีทั้งความกล้าหาญและมีความรู้มากกว่าคนทั่วไป ทั้งความรู้และทักษะการต่อสู้ ท่านก็มีเหนือกว่าทั้งหมด คิดว่าฮูหยินน้อยค้นพบความสามารถของเ้านาย จึงให้เ้านายรับผิดชอบงานที่สำคัญมาก นี่เป็การพึ่งพิงเ้านายของฮูหยินน้อย นอกจากนี้ยังเป็การยอมรับเ้านาย ท่านไม่ควรทำให้ฮูหยินที่คาดหวังในตัวเ้านายต้องผิดหวังถึงจะถูก”
“อืม ไม่เลว เ้าพูดได้ดี นี่คือสิ่งที่เ้าคิดในใจใช่หรือไม่?” จ้าวจื่อซินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ และความแข็งแกร่งจากมือของจ้าวจื่อซินก็คลายลงอยู่หลายส่วน
ชิงยวี่ยืดตัวตรงมองจ้าวจื่อซินอย่างไร้เดียงสา เขาคิดในใจ การตัดสินใจในท้ายที่สุด จุดยืนของเขายังไม่แน่วแน่มากพอ ถ้าเขากล้าที่จะพูดออกมาว่า 'เ้านาย ท่านต่ำตมกว่านี้ได้หรือไม่? ' เขาจะกราบและนับถือตนเอง
ทว่านั่นเป็เพียงจินตนาการ เมื่อต้องเผชิญกับการใช้อำนาจอย่างไม่สมเหตุสมผลของจ้าวจื่อซิน ชิงยวี่ทำได้แค่พยักหน้าโดยไร้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี พร้อมพูดว่า “นี่คือสิ่งที่ผู้น้อยคิดในใจ ฮูหยินน้อยมีความหวังต่อเ้านายสูงมาก พวกเรามาทำงานด้วยความพยายามด้วยกันเถอะ และต้องไม่ทำให้ฮูหยินน้อยต้องผิดหวังโดยเด็ดขาด”
“ใช่ เยี่ยงนี้สิ ถึงจะว่านอนสอนง่าย สมกับที่เป็คนเคียงข้างข้า จุดยืนจะต้องแน่วแน่มั่นคง” จ้าวจื่อซินตบไหล่ของชิงยวี่พลางยกมุมปากกลายเป็รูปโค้ง ก่อนเดินไปยังทิศทางของคนสองคนที่กำลังอบเสื้อผ้า สังเกตจากฝีเท้าอันรวดเร็วและเบาหวิวของเขา บ่งชี้ให้เห็นว่าเขาอารมณ์ดีเป็อย่างมาก
เฉินเทียนหยูอบเสื้อผ้าและสวมใส่เสร็จเรียบร้อย ชิงยวี่ก็ได้ทำความสะอาดปลาที่อวบอ้วนเสร็จเช่นเดียวกัน เขาล้วงเอาอวัยวะภายในออกจากนั้นเสียบกิ่งไม้
เฉินเทียนหยูเห็นว่ากำลังจะย่างปลา เขาจึงหยิบปลาขึ้นมาอย่างมีความสุข และย่างมันอย่างชำนาญ
จ้าวจื่อซินย่างไปพลาง แต่สายตาของเขากลับมองมู่หรงฉิงที่กำลังย่างปลาอย่างจริงจัง เมื่อเห็นนางจ้องมองตัวปลาด้วยสีหน้าสงสัยจึงเอ่ยถามอย่างเป็กันเองว่า “เ้ามักจะย่างปลาบ่อยๆ หรือ?”
“ก็ไม่นะ” มู่หรงฉิงส่ายศีรษะ และเอ่ยตอบอย่างจริงจังมาก “นี่เป็ครั้งแรก”
“พรวด!” สุราที่จ้าวจื่อซินเพิ่งดื่มพุ่งออกมาทันควันหลังจากได้ยินคำพูดของมู่หรงฉิง เขาสำลักและไอ แม้เห็นว่าใบหน้าของชิงยวี่เต็มไปด้วยสุรา เขาก็ไม่ได้สนใจ แค่เอ่ยถามมู่หรงฉิงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสับสนว่า “ย่างปลาครั้งแรก เ้าก็ยังสามารถแสร้งทำเป็ใจเย็นได้ถึงเพียงนี้ มู่หรงฉิง เ้ามีความสามารถ”
โชคดีที่เขาถาม ไม่เช่นนั้นอีกสักพักปลาหลายตัวจะต้องเสียหายด้วยมือของนางเป็แน่
และแล้วก็เป็ไปตามที่จ้าวจื่อซินคาดไว้ ปลาในมือของมู่หรงฉิงถูกนางทำลายจริงๆ เขาส่ายศีรษะพลางหัวเราะอย่างติดตลก “เห็นว่าเ้าเป็ผู้เชี่ยวชาญในด้านการทำอาหาร ไม่คาดคิดเลยว่า ชื่อเสียงที่เ้าสร้างขึ้นมาจะถูกทำลายด้วยปลาตัวนี้”
ครั้นเผชิญหน้ากับการเยาะเย้ยของจ้าวจื่อซิน มู่หรงฉิงพลอยรู้สึกกระดากอายเล็กน้อย แม้ว่านางจะทำอาหารที่ทำจากปลาได้ แต่นางไม่เคยย่างปลามาก่อน เห็นๆ อยู่ว่าปลายังไม่สุก แต่ไม่ทันระวังก็ทำปลาไหม้เสียแล้ว? หลังจากเลื่อนสายตามองเฉินเทียนหยูที่มองนางด้วยความขบขัน จึงเห็นว่าปลาของเฉินเทียนหยูนั้นเป็สีทองเหลืองอร่ามเหมือนกันกับจ้าวจื่อซินทำให้คนเห็นแล้วเป็ต้องน้ำลายสอ
“น้องหญิงโง่มาก น้องหญิงย่างปลาก็ไม่เป็ แต่ถึงอย่างไรข้าจะไม่รังเกียจน้องหญิง น้องหญิงกินกับข้า” ท่าทีของเฉินเทียนหยูที่เอ่ยเป็เชิงว่า 'ข้าจะไม่มีวันทอดทิ้งเ้า' ทำให้มู่หรงฉิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ นางพูดด้วยความรู้สึกขบขัน “ฉิงเอ๋อร์ ขอบคุณท่านพี่ที่ไม่ทอดทิ้งฉิงเอ๋อร์ ฉิงเอ๋อร์จะไม่สุภาพนะ อีกสักพัก ถ้าฉิงเอ๋อร์กินปลาย่างทั้งหมด แล้วท่านพี่จะทำอย่างไรหรือ?”
“กินก็กินสิ ในแม่น้ำมีปลาจำนวนมาก แค่จับยากเล็กน้อย แต่ถ้าน้องหญิงอยากจะกิน แม้จะจับยากแค่ไหนก็ต้องจับ น้องหญิงจะกินมากแค่ไหน ข้าจะจับมากเท่านั้น” หลังจากพูดอย่างภาคภูมิใจ เฉินเทียนหยูก็ส่งปลาจนถึงริมฝีปากของมู่หรงฉิง “อ้า น้องหญิงกิน”
เฉินเทียนหยูรักภรรยาของตนเองมากซึ่งทำให้ชิงยวี่ที่อยู่ด้านข้างรู้สึกประทับใจกับความรักและการทะนุถนอมนั้น เขาคิดในใจว่า คุณชายรองเฉินคนนี้เป็คนที่เข้าใจคนจริงๆ คนโง่งมกลับรู้วิธีที่จะเอาใจคน เขาไม่้าให้เ้านายของเขารู้จักที่จะรักคนอื่นมากมาย แต่อย่างน้อย อย่าเอะอะก็บีบไหล่ของเขาก็เพียงพอแล้ว เขาวิตกกังวลจริงๆ ว่า วันใดหนึ่งไหล่ของเขาจะหักเนื่องจากถูกเ้านายบีบ
ระหว่างที่ชิงยวี่ประทับใจ อีกด้านจ้าวจื่อซินมองดูบรรยากาศอันอบอุ่นของทั้งสองคน และเขาก็รู้สึกไม่สบายใจเป็อย่างมาก เขาคิดว่าถ้าไม่มีเฉินเทียนหยู คนที่จะได้อยู่ในบรรยากาศอบอุ่นกับนางคนนั้นจะต้องเป็เขาอย่างแน่นอน
เมื่อความคิดนั้นผ่านไป จ้าวจื่อซินถึงกับใ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงมีความคิดชั่วร้าย?
หลายคนกินปลาย่างด้วยความคิดของตัวเอง ทางด้านปี้เอ๋อร์กับชุ่ยเอ๋อร์กลับถูกเป้ยหนิงดึงให้เดินตามเข้ามา
ครั้นเห็นเป้ยหนิง มู่หรงฉิงถึงจำได้ว่า จ้าวจื่อซินได้จี้จุดเซวียของอีกฝ่ายและทำให้หมดสติ มิหนำซ้ำตอนนี้เป้ยหนิงยังจ้องมองจ้าวจื่อซินด้วยหน้าตาโกรธขึ้งราวกับว่าจะทิ่มแทงเขาด้วยสายตา มู่หรงฉิงจึงเหลือบมองจ้าวจื่อซินด้วยความเห็นอกเห็นใจปราดหนึ่งพร้อมคิดในใจ เ้าแสวงหาความสุขด้วยความสามารถของตนเองเถอะ
ปรากฏว่าทันทีที่เป้ยหนิงมาถึงตรงนี้ นางก็โยนสาวใช้ทั้งสองลงกับพื้น และไม่รู้ว่าหยิบขวดอะไรออกมา หมายจะโยนใส่จ้าวจื่อซิน ดูเหมือนว่าจ้าวจื่อซินจะมีตาอยู่ที่แผ่นหลังอย่างไรอย่างนั้น เมื่อเห็นว่าขวดนั้นจะพุ่งเข้าใส่ เขาก็ยกมือโบกไป สิ่งนั้นจึงลอยกลับไปหาเป้ยหนิงซึ่งเ้าตัวหลบไม่ทัน ส่งผลให้ทุกสิ่งที่อยู่ในขวดกระจัดกระจายบนร่างของเป้ยหนิง และมันก็ตามมาด้วยเสียงหัวเราะของเป้ยหนิง
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า จ้าวจื่อซิน เ้ามัน… ฮ่าฮ่า… สารเลว… ฮ่าฮ่าฮ่า …”
เป้ยหนิงหัวเราะไม่หยุดถึงกับหายใจไม่ทัน สุดท้ายนางจึงล้มลงกับพื้นและกลิ้งตัวอย่างต่อเนื่อง เฉินเทียนหยูมองดูเป้ยหนิงอย่างไม่เข้าใจ จากนั้นหันมองมู่หรงฉิง “น้องหญิง เกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงเลวคนนี้หรือ? ทำไมนางถึงได้หัวเราะตลอดเลย”
เฉินเทียนหยูถามมู่หรงฉิงด้วยความสงสัย ทางด้านมู่หรงฉิงนั้นมองไปที่เป้ยหนิงผู้ซึ่งกำลังนอนกลิ้งและหัวเราะถึงกับหายใจไม่ทันอยู่บนพื้น ก่อนเลื่อนสายตามองจ้าวจื่อซินผู้ซึ่งยังคงสงบราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น นางถอนหายใจ จ้าวจื่อซิน, ผู้ชายคนนี้เมื่อกลายเป็คนเลวขึ้นมา ช่างเป็เื่ยากที่จะต้านทานจริงๆ
ครั้นเห็นว่าดวงตาของเฉินเทียนหยูมีแต่ความสงสัย มู่หรงฉิงจึงคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่งและพูดว่า “อืม นางมีความสุขมาก นั่นคือเหตุผลที่นางหัวเราะ”
หลังจากตอบเช่นนั้น มู่หรงฉิงก็คืนปลาย่างให้กับเฉินเทียนหยู ก่อนที่จะลุกขึ้นและเดินไปหาเป้ยหนิง “มียาแก้พิษหรือไม่?”
“ข้า ฮ่าฮ่า... ข้าเพิ่งทำ... ฮ่าฮ่า หายแล้ว...” หลังจากพูดประโยคหนึ่งอย่างยากลำบาก เป้ยหนิงก็หัวเราะพร้อมน้ำตา
มู่หรงฉิงมองเป้ยหนิงอย่างจนคำพูด ต่อมานางก็เข้าใจความหมายของ ‘การจะทำอะไรก็ตาม ไม่ควรทำรุนแรงจนเกินไป ควรจะมีทางออกและมีการเผื่ออะไรไว้บ้าง’ หากเป้ยหนิงไม่ทำอย่างที่สุด ในเวลานี้นางคงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มียารักษา
ถอนหายใจเบาๆ และมองเป้ยหนิงอย่างจนปัญญา “ข้าก็ไม่มีวิธีแก้แต่ว่าอีกสักพักท่านอาจารย์จะมาที่นี่แล้ว ท่านอาจารย์จะสามารถแก้ปัญหาให้เ้าได้อย่างแน่นอน”
เมื่อพูดถึงหมอเทวดา หมอเทวดาก็มาในทันใด ทันทีที่พูดจบจึงได้ยินเสียงหาวนอนของหมอเทวดา “สาวน้อยฉิง ทำไมเ้าถึงชอบเรียกข้าในเวลากลางดึกเสมอ?” เวลานี้เห็นๆ อยู่ว่า เขาควรจะนอนหลับและอยู่ในความฝัน แต่กลับต้องมาหาเ้าเสมอ
ระหว่างพูด สายตาของเขาก็กวาดมองคนที่นอนกลิ้งด้านข้างมู่หรงฉิง และเมื่อเห็นเป้ยหนิงหัวเราะในสภาพสะบักสะบอม ใบหน้าของเขาก็เปี่ยมไปด้วยความสงสัย “ดึกดื่นเช่นนี้ เ้าจะเห่าหอนให้ได้อะไรขึ้นมาหรือ?”
“ท่านอาจารย์... ช่วยข้าด้วย ฮ่าฮ่า...” เป้ยหนิงเห็นหมอเทวดา นางจึงรีบดึงเสื้อคลุมของเขา เช็ดน้ำตาและน้ำมูกบนเสื้อคลุมของเขา
หมอเทวดาเห็นพฤติกรรมของนาง เขาก็ะโหนีด้วยความเร็ว และเกือบจะเตะนางออกไปแล้วแต่ยั้งฝ่าเท้าได้ทัน เนื่องจากในจังหวะที่กำลังจะเตะนางออกไปกลับถูกมู่หรงฉิงขวางไว้เสียก่อน “ท่านอาจารย์ ช่วยคลายยาพิษให้ศิษย์พี่หญิงก่อนเถอะ ส่วนเื่อื่นค่อยมาว่ากัน”
ความอาฆาตระหว่างจ้าวจื่อซินและเป้ยหนิงจึงนับว่าถูกสร้างขึ้นมาแล้วจริงๆ ฉะนั้นขณะเป้ยหนิงลุกขึ้นจากพื้น นางไม่ได้ปกปิดความรังเกียจในสายตาของนางแม้แต่น้อย
จ้าวจื่อซินไม่สนใจแววตารังเกียจของเป้ยหนิงโดยสิ้นเชิง เขายังคงย่างปลาด้วยทีท่าเชื่อมั่นในการกระทำของตัวเอง เขากระซิบกับเฉินเทียนหยูเป็ครั้งคราว เฉินเทียนหยูมองดูเป้ยหนิงด้วยสายตาแปลกๆ จังหวะที่เป้ยหนิงไปที่แม่น้ำเพื่อล้างหน้า เฉินเทียนหยูจึงพูดกับมู่หรงฉิงด้วยเสียงแ่เบาว่า “จ้าวจื่อซินบอกว่า ผู้หญิงคนนั้นเป็คนบ้า ดังนั้นน้องหญิงควรจะอยู่ห่างจากนางเล็กน้อย ไม่เช่นนั้นถ้าเกิดนางทำร้ายน้องหญิง จะทำอย่างไร?”
เฉินเทียนหยูคล้ายกลัวว่ามู่หรงฉิงจะไม่เชื่อฟัง เขาจึงขยับตัวเข้าไปประชิดกับนางเพื่อป้องกันไม่ให้มู่หรงฉิงถูกเป้ยหนิงทำร้าย
มู่หรงฉิงเพิกเฉยต่อความร้ายกาจทำร้ายคนลับหลังของจ้าวจื่อซิน นางคิดในใจว่า ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้เป็คนสารเลวนัก?
เป้ยหนิงไปแล้วก็ไม่ได้กลับมาเป็เวลานาน คิดว่านางคงจะรู้ว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจ้าวจื่อซิน จึงซ่อนตัวและระบายอารมณ์โกรธกับดอกไม้ ใบหญ้าและต้นไม้แทน ฝั่งหมอเทวดากินปลาย่างและดื่มสุราชั้นดี ซึ่งเรียกว่าสดชื่นและมีความสุข
กินไปพลาง สนทนาไปพลางโดยไม่รู้ว่าจ้าวจื่อซินมานั่งด้านข้างมู่หรงฉิงั้แ่เมื่อใด ในจังหวะที่มู่หรงฉิงกำลังประหลาดใจ กลับเห็นเขายกมือขึ้นโจมตีไหล่ทางด้านขวาของนาง เด็กสาวใและยังไม่ทันได้หลบหลีกเลี่ยง ก็ได้ยินเสียงคำรามข้างกาย ครั้นหันศีรษะไปดูก็ถึงกับตะลึงพรึงเพริด หัวใจเต้นแรง อึดใจก่อนนางรอดชีวิตจากความตายแล้วจริงๆ
ดวงตาของเฉินเทียนหยูแดงก่ำ มือทั้งสองข้างของเขาอยู่ห่างจากนางเพียงหนึ่งแขน จังหวะที่เขาถูกฟาดด้วยฝ่ามือ ชิงยวี่ก็โยนตาข่ายฟ้าออกไปมัดเฉินเทียนหยูด้วยความว่องไว จากนั้นจ้าวจื่อซินได้ลุกขึ้นไปสกัดจุดเซวียของเฉินเทียนหยูภายในเวลาที่เหมาะสมทำให้เฉินเทียนหยูไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีก
ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว เพียงพริบตาเฉินเทียนหยูจึงถูกจ้าวจื่อซินและชิงยวี่จับตัวได้ในคราวเดียว