พลังของเคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดินนั้นมีที่มาที่พิเศษมาก คือแม้จะเข้าใจพลังทางธรรมชาติเพียงแค่ผิวเผิน ก็สามารถนำมาปรับใช้เป็พลังมหาสรรพฟ้าดินได้แล้ว
ยิ่งเป็พลังธรรมชาติที่ยากจะเข้าใจ ก็จะยิ่งทำให้ผู้ที่สามารถใช้พลังนั้นได้มีที่พลังแข็งแกร่งมากกว่าพลังธรรมชาติทั่วไป
และในทำนองเดียวกัน หากใครมีความเข้าใจในเคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดินแล้ว และสามารถตามหาสภาวะต้นกำเนิดของพลังธรรมชาติที่ตนเองใช้ได้ ก็จะสามารถเพิ่มระดับพลังของวิชาสรรพฟ้าดินที่ตนเองใช้ได้เช่นกัน
เคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดินเองก็มีการแบ่งระดับของขั้นพลังเช่นกัน
ตอนนี้หลัวเลี่ยเป็เพียงผู้ที่เพิ่งตื่นรู้พลังมหาสรรพฟ้าดิน เขาจึงยังอยู่ที่ระดับต่ำที่สุด นั่นก็คือระดับโลหะ ซึ่งพลังมหาสรรพฟ้าดินนั้นแบ่งระดับจากต่ำไปสูง ได้แก่ ระดับโลหะ ระดับสำริด ระดับเงิน ระดับทอง ระดับเพชร ระดับราชัน และระดับะ!
แต่ว่าระดับะนั้นยังเป็เพียงตำนานที่ไม่มีใครเคยพบเห็น เพราะในบรรดาผู้ที่มีพลังวรยุทธ์ระดับสูงสุด พวกเขามีระดับพลังในวิชามหาสรรพฟ้าดินเพียงระดับราชันเท่านั้น ดังนั้นเื่ที่พลังระดับะมีอยู่จริงหรือไม่นั้นไม่มีใครทราบได้
เมื่อหลัวเลี่ยรู้ว่าสามารถพัฒนาระดับพลังได้ เขาก็ไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป
เขานั่งขัดสมาธิและเริ่มตั้งสมาธิจดจ่ออยู่กับสภาวะต้นกำเนิดของพลังมหาสรรพฟ้าดินทันที
ในเวลานี้หลัวเลี่ยเข้าใจแล้วว่า ที่คนนอกไม่รู้และไม่สงสัยถึงการมีอยู่ของพลังต้นกำเนิดนี้ เป็เพราะสภาวะต้นกำเนิดของพลังมหาสรรพฟ้าดินถูกราชวงศ์แห่งแคว้นจินหลาน และเก็บซ่อนมันไว้โดยใช้คำว่าความลึกลับมาบดบังพลังที่แท้จริง
ครั้งนี้ที่เขาเลือกูเาลั่วเยวี่ยเป็ของรางวัล ก็เพราะสถานการณ์ที่ผู้คนพูดว่า เขาอาจจะเป็ศิษย์ของบรรพชนผู้ยิ่งใหญ่ ทำให้ชีวิตของเขาวุ่นวาย ดังนั้นเขาจึงอยากหาที่สงบๆ ฝึกฝนพลัง
หลัวเลี่ยกล้าพูดเลยว่า ผู้ชนะจากการประลองครั้งก่อนต้องไม่ได้เลือกูเาลั่วเยวี่ยนี้เป็ของรางวัลอย่างแน่นอน
เพราะหลัวเลี่ยไม่เคยได้ยินว่ามีชาวจินหลานคนไหนสามารถใช้พลังวิชามหาสรรพฟ้าดินได้ นี่อาจเป็เพราะราชวงศ์จินหลานซ่อนความลับนี้ไว้ดีเกินไป ด้วยหากมีคนรู้ว่าที่แห่งนี้มีต้นกำเนิดพลังของมหาสรรพฟ้าดินอยู่ เกรงว่าพลังที่อยู่ที่นี่คงหมดไปนานแล้ว
การจะสื่อสารกับต้นกำเนิดของพลังมหาสรรพฟ้าดินนั้น สิ่งสำคัญไม่ใช่พลังวรยุทธ์และสติปัญญา แต่เป็การตั้งมั่นตามหาเส้นทางอันมุ่งไปสู่สภาวะต้นกำเนิดของมหาสรรพฟ้าดิน
โดยสื่อสารผ่านทางูเาลั่วเยวี่ยแห่งนี้
ปกติแล้วผู้คนทั่วไปคงมองว่า การที่หลัวเลี่ยเลือกที่นี่เป็เพราะไอพลังของเศษศิลาที่ใช้อุดผืนฟ้าตอนที่โฮ่วอี้ยิงดวงอาทิตย์ตกลงมา
ด้วยเหตุผลนี้ แสดงว่าชาวจินหลานไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของต้นกำเนิดแห่งมหาสรรพฟ้าดิน พวกเขาคิดว่าที่นี่เป็แค่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ให้คนนอกเข้ามา ดังนั้นจึงยอมรับและให้รางวัลชิ้นนี้แก่หลัวเลี่ย
ใครเล่าจะรู้ว่าที่นี่ไม่ได้เป็เพียงสถานที่ยิงดวงอาทิตย์ แต่เป็ที่ที่มีกลิ่นอายโลหิตของอีกาทองสามขาที่เกี่ยวข้องกับแพนด้าน้อยปั้น
และหากเป็เช่นนี้จริงๆ ก็แสดงว่าหลังจากนี้จะไม่มีผู้ใดในราชวงศ์จินหลานที่จะสามารถสื่อสารกับต้นกำเนิดพลังมหาสรรพฟ้าดินได้อีกแล้ว
และต้นกำเนิดพลังมหาสรรพฟ้าดินนี้ ก็เป็สิ่งที่ทำให้พลังของวิชามหาสรรพฟ้าดินมีความสมบูรณ์
เมื่อหลัวเลี่ยคิดได้เช่นนี้ หัวใจของเขาก็เต้นเร็วขึ้นด้วยความตื่นเต้น
หากตื่นเต้นจะยิ่งทำให้จิตฟุ้งซ่าน ดังนั้นหลัวเลี่ยจึงรีบปรับสภาพจิตใจของตนเองให้สงบลงทันที
กลิ่นอายโลหิตของอีกาทองคำสามขาเกิดจากการที่มันถูกยิงด้วยลูกธนูตายอยู่ที่นี่
เพราะมันถูกยิงจนถึงแก่ความตาย ทว่าตอนที่มันกำลังจะตายนั้น มันมีอารมณ์ทางลบที่รุนแรงเกิดขึ้น ทั้งอารมณ์โกรธ เกลียด เศร้า และขมขื่น
เมื่อหลัวเลี่ยขบคิดถึงเื่นี้แล้วเขาก็เกิดความสับสนขึ้นเล็กน้อย
เมื่อมองย้อนกลับไปถึง่ชีวิตที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน
แต่หากจะพูดถึงเหตุการณ์ที่มีอารมณ์ใกล้เคียงกันนั้น เขาก็คิดว่ามีอยู่สองครั้งที่เขาคล้ายจะมีอารมณ์ประมาณนั้นอยู่บ้าง
ครั้งแรก เป็ตอนที่เขาได้ยินว่าเสวี่ยปิงหนิงอาจหลับใหลไปตลอดกาล เหตุการณ์นี้ทำให้เขามีอารมณ์ในด้านลบอย่างรุนแรง
และครั้งที่สอง ก็คือตอนที่ไป๋หลี่ชาง้าแย่งตราราชันข่งเชวี่ยไปจากเขา
นอกเหนือจากสองเหตุการณ์นี้ เขาก็ไม่มีประสบการณ์ที่มีอารมณ์รุนแรงอีกแล้ว
หลัวเลี่ยนั่งขัดสมาธิอย่างเงียบๆ และเริ่มนึกย้อนไปถึงอารมณ์ในตอนที่เผชิญกับสองเหตุการณ์นั้น
เหตุการณ์ที่ทำให้เขามีอารมณ์รุนแรงที่สุดก็คือเหตุการณ์ของเสวี่ยปิงหนิง ในตอนนั้นเขาถึงกับสังหารชงจ้านหยวน เพื่อแก้แค้นแทนเสวี่ยปิงหนิงที่อาจหลับใหลไปตลอดกาลเพราะคนคนนั้น เมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้นแล้ว หลัวเลี่ยก็ค่อยๆ ััได้ถึงอารมณ์โกรธ เกลียด เศร้า ขมขื่น และะเืใจ
ในตอนที่เขากำลังจมดิ่งไปกับอารมณ์นั้น ร่างกายของเขาก็เริ่มผิดปกติ
ด้วยความช่วยเหลือจากความทรงจำในเหตุการณ์นี้ อารมณ์ของเขาก็ยิ่งจมดิ่งลงลึกยิ่งขึ้น จนถึงขั้นจินตนาการถึงผลลัพธ์ในทางที่เลวร้าย และเมื่อเห็นผลลัพธ์ที่เลวร้ายนั้น ตัวของเขาก็เริ่มเกิดไอเย็นะเืค่อยๆ แผ่ออกมาจากร่างกาย
แพนด้าน้อยปั้นที่อยู่ข้างๆ เขาสะดุ้งหนึ่งครั้ง
เพราะอารมณ์ประเภทนี้สามารถส่งผลกระทบต่อพื้นที่โดยรอบได้
แพนด้าน้อยปั้นรีบเดินไปด้านข้าง มันไม่ได้มองหลัวเลี่ย แต่กลับมองหาต้นกำเนิดของพลังมหาสรรพฟ้าดิน เพราะมันมีความรู้สึกแปลกๆ ที่ดูเหมือนว่าจะเป็การััได้ถึงต้นกำเนิดของพลังมหาสรรพฟ้าดิน
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว แต่ตอนนี้จุดที่หลัวเลี่ยนั่งอยู่กลับไม่ใช่ยอดเขาอีกต่อไป
ตอนนี้เขาปรากฏตัวอยู่ตรงกลางดวงอาทิตย์สีแดงดวงกลมที่อยู่เหนือผืนเมฆา
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้แพนด้าน้อยปั้นที่ยังคงอยู่บนยอดเขาดีใจมาก เพราะมันรู้ว่านี่เป็การแสดงถึงความสำเร็จในการสื่อสารกับต้นกำเนิดของพลังมหาสรรพฟ้าดินของหลัวเลี่ย
ต้นกำเนิดของพลังมหาสรรพฟ้าดินนี้มีพื้นฐานมาจากพลังที่โฮ่วอี้ยิงดวงอาทิตย์ และรูปร่างของแก่นพลังนั้นก็ก่อตัวขึ้นเป็หยดเืของอีกาสามขาทองคำ เพราะอีกาสามขาทองคำก็คือดวงอาทิตย์นั่นเอง
เมื่อหลัวเลี่ยยิ่งดำดิ่งลงไปในแสงสีแดงของดวงอาทิตย์ เขาก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ
เขาเหมือนถูกดึงเข้าไปในโลกที่แปลกประหลาด
ที่นี่มีแตู่เาและแม่น้ำ
ูเาก็คือพลังมหาสรรพฟ้าดินด้านูเา
และแม่น้ำก็คือพลังมหาสรรพฟ้าดินด้านนที
การจะเพิ่มระดับพลังของเคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดินนั้น เป็กระบวนการที่ต้องใช้ความเข้าใจและใช้เวลาเป็อย่างมาก แต่ตอนนี้หลัวเลี่ยคล้ายถูกบังคับให้รับรู้ถึงความลึกลับของพลังมหาสรรพฟ้าดินให้ลึกมากขึ้น
ูเาและแม่น้ำเหล่านี้ล้วนแสดงถึงความลึกลับที่ไม่เหมือนใคร
และเมื่อหลัวเลี่ยได้เฝ้าจดจ่อ ทำความเข้าใจอย่างละเอียดแล้ว ความเข้าใจที่เพิ่มมากขึ้นนั้นก็เกิดขึ้นในหัวของเขา จากนั้นดวงตาของเขาก็ปรากฏภาพขึ้นมา
ดวงตาด้านซ้ายมีภาพูเา ูเาลูกนี้ตั้งอยู่บนผืนดินและสูงค้ำผืนฟ้า บนยอดเขามีร่างของคนคนหนึ่ง ภูมิทัศน์ทั้งหมดเหมาะกับประโยคที่ว่า ‘ณ เขาสูงใหญ่ข้าคือยอดเขา ค้ำจุนทั้งผืนดินและแผ่นฟ้า มือทั้งสองของข้ารองรับดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ ดวงดาวทั้งหมดบนผืนฟ้าก็คือตัวข้า’
ดวงตาด้านขวามีภาพของแม่น้ำ แม่น้ำนี้คือ ‘แม่น้ำฮวงโหไหลลงมาจาก์ และไหลไปไม่หวนกลับคืน’
ไอพลังทั้งสองที่ไม่เหมือนกันนี้ยิ่งสนับสนุนให้วรยุทธ์ของหลัวเลี่ยมีความแตกต่างจากวรยุทธ์ของคนอื่น
ูเาและแม่น้ำที่อยู่รอบๆ บริเวณนี้เกิดการสั่นะเือย่างต่อเนื่อง จากนั้นพวกมันก็กลายเป็ไอพลังไหลเข้าสู่ดวงตาทั้งสองข้างของหลัวเลี่ย พลังของูเาและสายน้ำปะทะกันอย่างรุนแรง ราวกับว่าพวกมันจะทะลุฟ้าถล่มแผ่นดิน
นี่เป็สัญญาณการเติบโตของพลังมหาสรรพฟ้าดินทั้งสองด้านของหลัวเลี่ย
แต่สถานการณ์ในมุมของแพนด้าน้อยปั้นนั้นแตกต่างออกไป ทั้งผืนหญ้าและต้นไม้ที่เขียวชอุ่มอยู่บนูเา น้ำในแม่น้ำและน้ำในทะเล ทุกอย่างนี้ค่อยๆ ทรุดโทรมลง เป็ผลจากการที่หลัวเลี่ยดูดซับพลังของพวกมันมากเกินไป
เมื่อทิวทัศน์ที่สวยงามนี้พังทลายลง จู่ๆ หลัวเลี่ยก็ลุกขึ้นยืนจากตรงกลางดวงอาทิตย์สีแดง และฉากทิวทัศน์ที่สวยงามก็กลับมาปรากฏขึ้นข้างหลังเขา
มันเป็ทิวทัศน์ูเาที่สูงทะลุเมฆ และสายน้ำที่ไหลลงมาจากท้องฟ้าเพื่อชำระโลก
เมื่อประกอบเข้ากับภาพของหลัวเลี่ยที่อยู่ตรงกลางแล้ว เขาเต็มไปด้วยพลังที่แข็งแกร่ง
ูเาและสายน้ำที่มองเห็นนี้มีรัศมีสีฟ้าจางๆ อันเป็การแสดงออกถึงการเลื่อนระดับของพลังมหาสรรพฟ้าดิน จากระดับโลหะไปสู่ระดับสำริด
นับดูแล้วผู้ที่มีระดับพลังวรยุทธ์อยู่ในระดับผู้ฝึกตนที่เข้าใจเคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดิน หากนับจากแคว้นแล้ว คนผู้นั้นนับว่ามีความสามารถที่โดดเด่น หากนับจากอาณาจักร คนผู้นั้นนับว่าเป็อัจฉริยะ แต่หากนับจากทั้งแผ่นดินเหยียนหวง คนผู้นั้นก็ถือว่าไม่ได้โดดเด่นมากนัก เพราะมีคนที่สามารถทำเช่นนี้ได้ไม่น้อยเลย
แต่คนที่อยู่ในระดับพลังผู้ฝึกตนและสามารถใช้พลังเคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดินในระดับสำริดได้นี้ไม่แน่ว่าจะหาได้อีกหรือไม่
แม้ว่าหลัวเลี่ยอาจไม่ใช่คนแรกที่ทำได้ แต่อย่างน้อยเขาก็พูดได้ว่า ความสามารถของเขาไม่ด้อยไปกว่าใครอย่างแน่นอน!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้