หลังจากวันหยุดพักอาบน้ำผ่านพ้น วันแห่งการเรียนหนังสือก็มาเยือน
เฉินโย่วน้อยยามเช้าก็ไปเรียนอักษรกับท่านอาจารย์ ตกบ่ายก็ไปเล่นสนุกกับน้าหลัวของนาง
หลัวอู๋เลี่ยงหลังจากที่เล่าเื่เฉินโย่วไม่อาจจะมีชีวิตอยู่ไม่ถึงวัยปักปิ่นให้ท่านอาจารย์ฟัง วิธีการอบรมเฉินโย่วของนางก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
นางเดิมทีในใจลึกๆ ก็ยังมีความหวังกับราชครู
แม้จะยังไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้ แต่บุคคลตรงหน้านางย่อมเป็ท่านราชครูตัวจริง และเป็คนตระกูลจ้งอย่างแน่แท้
ยามที่นางเล่าเื่เฉินโย่วให้เขาฟังก็เห็นเพียงดวงตาที่พลันหม่นแสงและร่างกายที่ไหวเอนราวกับจะล้มลง ทว่าก็ไม่ได้กล่าวอันใดออกมา
เมื่อเห็นเช่นนั้นความหวังที่ริบหรี่ในใจนางพลันดับมอดลงอีกครั้ง
ในทีแรกนางนั้นจงใจเข้มงวดกับเฉินโย่ว ด้วยโลกใบนี้ไม่เคยเป็ธรรมกับสตรี เช่นนั้นสตรีจะต้องมีชีวิตที่ดีให้ได้ แม้ว่ามันจะไม่ง่ายก็ตาม
ในอนาคตหากเฉินโย่วแต่งงาน นางย่อมต้องประสบเื่ราวมากมาย โดยเฉพาะหากต้องพบเจอกับความยากลำบาก ก็มิสู้ให้นางได้เรียนรู้ความเจ็บช้ำเสียั้แ่วันนี้
เพียงแต่หากว่าอนาคตนั้นไม่มีจริงเล่า
เด็กหญิงฉลาดเฉลียวแสนน่ารักเช่นนาง บนูเาลูกนี้แม้แต่ชายฉกรรจ์ที่เหี้ยมโหดที่สุดก็ยังรักนาง ยามเจอนางก็คอยแต่จะเผยอยิ้มเก้ๆ กังๆ ราวกับกำลังแสยะยิ้มแยกเขี้ยวอยู่เสมอ
บัดนี้หลัวอู๋เลี่ยงจึงเลือกวิธีการสอนนางอย่างมีความสุขแทน ความทุกข์ที่นางเคยได้รับในวัยเยาว์ก็ไม่จำเป็ต้องให้เด็กหญิงต้องมาเผชิญแบบนาง
นางเองก็มิใช่จะเลี้ยงเฉินโย่วเพื่อส่งเข้าวังเสียหน่อย
ขอแค่เพียงนางได้เติบโตอย่างมีความสุข และยังมีชีวิตอยู่ก็เป็พอ
ดังนั้นนอกจากมารยาทพื้นฐานที่นางหวังจะเห็นเด็กสาวเชี่ยวชาญจำพวกทักษะพิณ หมาก อักษร วาดภาพ นางก็หยิบมาสอนพลางเล่นสนุกกับเด็กหญิงเท่านั้น
นิสัยของเฉินโย่วโดยพื้นเพก็รักการเล่นสนุกอยู่แล้ว แค่เพียงได้ยินคำว่าเล่น นางก็พลันลิงโลดแล้ว ยิ่งกว่านั้นยังทำได้ดีเสียยิ่งกว่ายามเคี่ยวเข็ญให้นางเรียนเสียอีก
วีรกรรมของนางช่างทำให้หลัวอู๋เลี่ยงอยากจะหัวเราะก็ไม่ใช่ร้องไห้ก็ไม่เชิง
ยิ่งถ้านางนั้นสัญญาว่าถ้าหากเรียนรู้เื่แล้วจะอนุญาตให้ลงไปเที่ยวเล่นด้านล่างูเาได้ เด็กหญิงก็จะยิ่งลิงโลด ทั้งยังเรียนรู้ไวยิ่งกว่าเดิม
อีกไม่นานนักก็จะถึงวันหยุดพักอาบน้ำอีกแล้ว
ในวันนี้เฉินโย่วตื่นเช้าเป็พิเศษ
่นี้บริเวณชายแดนนั้นมีคนจากราชสำนักมาเยือนมากเหลือเกิน
มิรู้ว่าเกิดเื่อันใดขึ้น เหล่าพ่อค้าวาณิชที่สัญจรเพื่อค้าขายมิเพียงจะต้องมีคาราวานมายืนยัน ยังต้องมีสิ่งที่เรียกว่าหลักฐานเพื่อยืนยันตัวตนอีกด้วย หากไม่มีหลักฐานยืนยันตัวตนก็จำต้องมีทะเบียนภูมิลำเนาของตนมายืนยัน
จะว่าไปแล้วการเคลื่อนไหวในนี้ก็ว่ากันว่าเป็คำแนะนำจากองค์หญิง
เพียงแค่ตรัสแนะนำออกมาก็ะเืเลือนลั่นทั้งแผ่นดิน
เหล่าบัณฑิตแคว้นเชินต่างก็พากันประพันธ์กลอนเพื่อสรรเสริญองค์หญิงว่าเป็ดั่งเทพธิดา แม้กระทั่งกิริยาก็ราวกับนาง์
แม้ว่าจะเป็เพียงหลักฐานยืนยันตัวธรรมดาๆ ทว่าคนยุคก่อนกลับไม่คิดถึงเื่นี้มาก่อน อีกทั้งกลยุทธ์นี้ยังสามารถป้องกันแคว้นเชินจากเหล่าคนที่คิดจะเข้ามาก่อความวุ่นวายให้ไม่อาจอำพรางตัวตนได้อีก เพราะชาวแคว้นเชินนั้นล้วนแต่มีหลักฐานยืนยันตัวตน
ทั้งการตามหาตัวบุคคลผ่านหลักฐานยืนยันตัวตน และทะเบียนภูมิลำเนา
ทว่ากลุ่มปัญญาชนในราชสำนักต่างก็เห็นถึงความนัยที่ซ่อนอยู่ในหลักฐานยืนยันตัวตนและทะเบียนภูมิลำเนาว่า นับแต่นี้ที่ดินที่ราษฎรได้ไว้นั้นย่อมจะถูกล่วงรู้โดยง่าย
ไม่ว่าจะหมู่บ้าน อำเภอ หรือเมืองก็ล้วนแต่จัดการง่ายขึ้น ทั้งผลในการจัดการนั้นยังชัดเจนขึ้น
ที่ใดค้าขายดีหรือไม่ดี ก็เพียงแค่ตรวจดูทะเบียนภูมิลำเนาว่าประชากรบริเวณนั้นเพิ่มขึ้นหรือลดลง เพียงเท่านี้ก็ย่อมกระจ่าง
ยามที่กลยุทธ์นี้ถูกประกาศออกไป ผู้ที่ตื่นเต้นที่สุดเห็นจะเป็ชาวบ้านยากจน
ด้วยเพราะองค์หญิงนั้นตรัสไว้ว่าเมื่อทุกคนมีหลักฐานยืนยันตัวตนแล้ว ทุกคนย่อมจะเป็คนเท่ากัน
เพียงประโยคเดียวก็ทำให้บัณฑิตจากครอบครัวยากจนทั้งใต้หล้าพากันน้ำตาคลอไปตามกัน ต่างพากันสรรเสริญพระองค์หญิงให้เป็เทพธิดาที่ลงมาจุติ
ประโยคที่เป็เพียงบทสนทนาขำขันของพระองค์หญิงอีเหรินนั้นทำให้เืในกายของเหล่าบัณฑิตเดือดพล่าน ทั้งขุนนางและประชาชนทั่วทั้งแคว้นต่างก็ฮึกเหิมเช่นกัน
นายท่านสามก็เต็มไปด้วยความยินดี
แม้ว่าก่อนหน้าเขาจะกำชับทุกคนอยู่เสมอว่าต่อไปห้ามเรียกที่แห่งนี้ว่าค่ายอีก แต่ให้เรียกว่าหมู่บ้านไป๋กู่ และเขานั้นไม่ใช่นายท่านสาม แต่คือท่านหวัง ทว่าเหล่าคนที่ผ่านมานั้นก็ยังคงมองว่าพวกเขาเป็โจร ยามกล่าวถึงก็ยังคงเรียกที่แห่งนี้ว่าค่ายไป๋กู่ ไม่ใช่หมู่บ้านไป๋กู่
บัดนี้เบื้องบนออกนโยบายเช่นนี้ออกมาก็เป็่เวลาเหมาะเจาะที่หมู่บ้านของเขาจะได้ล้างมลทินให้ตนเอง
ระยะนี้นั้นนายท่านสามเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับเื่ดินของแคว้นจิง ความดีใจที่สุมอกนั้นทำให้เขามิอาจข่มตาหลับได้ ด้วยกลัวว่าจะถูกจับได้ หากพวกนั้นใช้ข้ออ้างเื่พวกเขาเป็โจรก็อาจจะทำให้หมู่บ้านแห่งนี้ย่อยยับไปตามกัน
ปัจจุบันค่ายแห่งนี้พัฒนาขึ้นได้ไม่เลว แม้จะไม่ได้ชิงทรัพย์อีก แต่นายท่านสามนั้นก็ไม่ได้หละหลวมเื่การบริหารคนแม้แต่น้อย บนเขาแห่งนี้ทุกคนจึงล้วนมีหน้าที่ต่างกัน อะไรที่ยังต้องฝึกฝนก็ให้ฝึกฝนกันไป
ทั้งหน่วยปล้นและหน่วยลาดตระเวนในอดีตนั้นก็ยังคงเก็บไว้ ทั้งยังพัฒนาขึ้นกว่าเดิม
หากไม่มีเื่ร้ายแรง กำลังที่มีนั้นย่อมพอที่จะปกป้องูเาลูกเล็กของพวกเขาไว้ได้ ทว่าบัดนี้กลับมีดินดำเพิ่มขึ้นมาจึงทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไป
ทว่าขอเพียงแค่พวกเขาไม่ไปยั่วแหย่ใครเข้า ย่อมจะไม่มีใครมาหาเื่พวกเขาถึงหน้าประตูเป็แน่
สิ่งที่สามารถรับประกันได้มากที่สุดในตอนนี้จึงเป็การมีตำแหน่งทางราชการ
ในอดีตเื่นี้คงจะเป็ไปได้ยากนัก ด้วยตำแหน่งขุนนางนั้นคงมิอาจให้ชาวบ้านจากหมู่บ้านธรรมดามาเป็ได้
ทว่าบัดนี้นั้นต่างออกไป พอดีกับที่ราชสำนักเพิ่งประกาศเื่นโยบายทะเบียนภูมิลำเนา
หลังจากหน่วยลาดตระเวนไปสืบเสาะเื่นี้มาก็พบว่าบัดนี้ขุนนางในแต่ละพื้นที่ล้วนเปรียบเทียบผลงานกันจากเขตการดูแลของตนว่ามีคนปักหลักอยู่มากเท่าใด ยิ่งคนมีทะเบียนภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่นั้นมากเท่าใดก็ยิ่งหมายถึงความเจริญรุ่งเรืองของตน การตกรางวัลจากราชสำนักก็จะยิ่งหนักตามเช่นกัน
นายท่านสามนั้นดูเบิกบานผิดวิสัย รู้สึกราวกับยามกำลังสัปหงกแล้วมีคนส่งหมอนมาให้ พลันรู้สึกดีต่อองค์หญิงที่มีนามอะไรสักอย่างนั้นอย่างบอกไม่ถูก
พระองค์ช่างเป็คนดีจริงๆ
ด้วยวันนี้เป็วันหยุดพักอาบน้ำ
เด็กหนุ่มที่ดูรูปงามที่สุดทั้งยังดูเป็สุจริตชนที่สุดบนูเาพ่วงด้วยนายท่านสามและเหล่าปาชายหลังค่อม อาสาเป็ตัวแทนคนทั้งหมู่บ้านไปยื่นเื่การทำทะเบียนภูมิลำเนาให้ทุกคน
กระทั่งเฉินโย่วน้อยด้วยเพราะ่นี้ทำผลงานได้ค่อนข้างดี จึงได้รับอนุญาตให้เข้าเมืองไปด้วยเช่นกัน
ดังนั้นตะวันยังไม่ทันโผล่พ้นขอบฟ้านางก็ตื่นเสียแล้ว ทั้งยังเริงร่าะโโลดเต้น
ทว่าเพราะตื่นเช้าเกินไปจึงทำให้ระหว่างทางลงเขา นางก็ผล็อยหลับไปอีกรอบ
จวบจนเมื่อนางตื่นขึ้นอีกครั้งก็เห็นประตูเมืองอยู่รำไรแล้ว
พวกเขาจำเป็ต้องต่อแถวรอเข้าเมือง
พวกเขานั้นเพื่อจะทำให้ตนดูเรียบง่ายเสียหน่อยจึงมิได้ขี่ม้ามา แต่นั่งรถเทียมวัวคันหนึ่งมาแทน
ชายหลังค่อมนั่งอยู่ด้านหน้าเป็สารถีควบคุมวัว
นายท่านสามและเสี่ยวอู่นั้นนั่งอยู่ด้านนอก
ส่วนอาสวินนั้นร่างกายค่อนข้างอ่อนแอ ต้องตื่นเช้าเช่นนี้จึงได้นั่งในรถ ส่วนอาลู่นั้นเพราะต้องดูแลน้องสาวจึงนั่งอยู่ในรถเช่นกัน
เสี่ยวอู่ที่นั่งอยู่ด้านนอก เมื่อไม่มีโซ่เหล็กคู่ใจอยู่ข้างกายก็รู้สึกไม่ค่อยเป็ตัวเองเท่าใด
ด้วยเพราะจะต้องเข้าเมือง เสี่ยวอู่จึงจำใจต้องเก็บลูกเหล็กของตนเอาไว้ในห่อผ้าก่อน
แต่เขานั้นเคยชินกับการมีโซ่เหล็กพาดอยู่บนกายเสียแล้ว ดังนั้นจึงได้แต่ลูบห่อผ้าที่เก็บมันไว้อยู่เป็ระยะ
จากสายตาคนด้านข้างที่มองมาคงคิดว่าในห่อผ้าของเด็กหนุ่มเ้าของใบหน้ากลมที่แสนเซ่อซ่านั้นจะต้องมีของมีราคาเป็แน่ เ้าเด็กหนุ่มนี่ดูท่าแล้วก็คงจะเพิ่งได้ออกมาข้างนอกเป็แน่จึงได้เป็กังวลต่อสมบัติของตนเช่นนี้ แต่ยิ่งเขามีท่าทางเช่นนี้ก็ยิ่งเป็การเผยพิรุธเสียมากกว่า
ท่ามกลางขบวนที่ต่อแถวกันเพื่อรอเข้าเมือง หลังรถเทียมวัวนั้นมีรถม้าคันโตต่อแถวอยู่ บนรถม้านั้นมีคำว่า ‘เฉิน’ แขวนอยู่ ด้านหน้าเห็นม้าร่างกำยำสองตัวคอยลากรถ
รถม้าคันนี้นั้นดูวิจิตรหรูหรานัก กระทั่งลายบนม่านที่ปิดไว้ก็ยังดูประณีต
“นายน้อยเ้าคะ ท่านดูเ้าคนบ้านนอกนั่นสิ ไฉนจึงเอาแต่ลูบห่อผ้านั่นอยู่ได้ กลัวคนจะขโมยหรืออย่างไรกัน”
ม่านบนรถม้าพลันถูกแหวกออก รถม้าที่ตกแต่งอย่างหรูหรา และเด็กหนุ่มในอาภรณ์ยาวชั้นดีพลันปรากฏแก่สายตา เมื่อกวาดตามองก็เห็นว่าในรถมีสาวใช้ไว้จอนดำตามสมัยนิยมอีกคนหนึ่ง
ในรถนั้นยังมีไอน้ำจางๆ ลอยอยู่ เห็นได้ชัดว่าในระยะเวลาสั้น ๆ ระหว่างรอเข้าเมืองนั้น เด็กหนุ่มคงจะต้มชาเพื่อฆ่าเวลา ดูแล้วช่างเอ้อระเหยลอยชายเสียจริง
เด็กสาวน้ำเสียงกังวานใสดุจแก้ว หน้าตาจิ้มลิ้ม ใบหน้ารูปไข่ มีดวงตากลมโต ดูท่าแล้วคงยังจะไม่ถึงวัยปักปิ่น ลักษณะของสาวใช้เช่นนี้เป็ลักษณะที่คุณชายตระกูลใหญ่ล้วนโปรดปราน ด้วยท่าทางน่ารักไร้เดียงสาเช่นนี้ของนางนั้นช่างชวนให้คนมองแล้วรู้สึกพึงใจ
คนรอบข้างเมื่อได้ยินเด็กสาวกล่าวเช่นนี้ก็พากันหัวเราะครืน
ทว่าเ้าเด็กหนุ่มตัวโตนั้นก็ออกจะโง่งมไปเสียหน่อย
สายตาของทุกคนก็ยังคงจับจ้องไปที่รถม้า ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มประจบประแจง
“นายน้อยตระกูลเฉินออกไปท่องเที่ยวหาความรู้ บัดนี้เพิ่งจะกลับมาถึง”
“ทุ่งเลี้ยงสัตว์ของตระกูลเฉินนั้นนับว่าใหญ่ที่สุด ทั้งนายน้อยตระกูลเฉินยังนิสัยโอบอ้อมอารี รูปโฉมก็งามล้ำหาใครเปรียบ”
“นายน้อยตระกูลต้าปาซือนั้นก็หาใช่คนธรรมดาที่ใครจะเทียบได้ รถม้าตระกูลต้าปาซือก็ดูสามัญเสียที่ไหน ด้านในก็ต้มชาได้เช่นกัน หากข้าได้นั่งสักครา ชาตินี้คงได้ตายตาหลับแล้ว”
“ตระกูลต้าปาซือย่อมเป็คนดีจริงๆ ข้ายังจำปีนั้นที่เ้าเด็กหนุ่มขโมยทองไปได้ ตระกูลต้าปาซือก็ยังใจกว้างยอมปล่อยไปซะได้”
เื่ต่างๆ ถูกคนในขบวนหยิบยกขึ้นมาขึ้นมาสนทนากันจนเสียงดังเซ็งแซ่ ช่วยลดบรรยากาศความน่าเบื่อในระหว่างรอคอยได้เป็อย่างดี
ในขณะนั้นเองก็มีทหารออกมาอนุญาตให้รถมาของตระกูลเฉินเข้าไปเป็คันแรก ม้าสองตัวที่ลากรถม้าไปพ่นลมออกมาแรงๆ ระหว่างย่ำผ่านรถเทียมวัวราวกับกำลังเยอะเย้ยก็ไม่ปาน
ส่วนในรถเทียมวัวนั้น อาสวินยังคงสะลึมสะลือโถมกายพิงอยู่กับอาลู่
อาลู่นั้นกำลังจัดการผมเผ้าของเด็กหญิงที่เพิ่งตื่นนอน เขาใช้หวีจากเขากระบือเป็มันเงา วางลงไปบนผมยุ่งๆ ของเด็กหญิง เพียงไม่นานก็ดูไม่ชี้ฟูดังเดิม จากนั้นก็เอาเส้นเอ็นวัวที่พันเชือกแดงไว้มามัดรวบผมให้เด็กหญิง
เพียงเท่านี้จุกผมที่ชี้โด่ชี้เด่ราวกับดอกไม้บานสู้แสงอาทิตย์ก็เสร็จเรียบร้อย
ใบหน้าของอาลู่เผยให้เห็นรอยยิ้มบางๆ จากนั้นจึงยื่นมือไปหยิกแก้มนิ่มๆ ของน้องสาว
“ถึงแล้วเ้าขี้เซา”