ที่มาของฉายาอสูรอัคคีของซ่างกวันหงนั้นมาจากความมุทะลุและความโเี้อย่างไร้เหตุผลของเขานั่นเอง
ที่เขามายังอาณาจักรชูอวิ๋นในคราวนี้แต่เดิมก็มาเพื่อล้างแค้นอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะแผนการของหลินไป๋ชวนละก็เขาคงไม่มาเสียเวลาอะไรแบบนี้แน่ๆ
ตอนนี้เขาถูกหลินอี้ยั่วโมโหจนะเิจิตสังหารออกมาอย่างเกรี้ยวกราดจากนั้นก็ออกคำสั่งฆ่าออกมาแทบจะทันทีตามด้วยยอดฝีมือของตระกูลซ่างกวันกว่าห้าสิบกว่าคนก็เร่งพลังที่มีกลิ่นอายแห่งความชั่วร้ายนั่นออกมาเพียงเสี้ยวพริบตา พวกเขาก็แปรเปลี่ยนไปเป็ลูกสมุนปีศาจของอสูรอัคคีเสียแล้วพวกมันพลันพุ่งเข้าใส่ศัตรูทันที
ในขณะเดียวกันด้านหลังของซ่างกวันหงนั้น เ้าชายสามัญชนซ่างกวันอวิ๋นก็ได้ยกคันธนูในมือของตนขึ้นพร้อมกับง้างออก พลันยิงออกไปใส่พวกของหลี่จิ้งและต้วนเทียนหยาอย่างรุนแรงจุดมุ่งหมายของเขาก็คือ้าจะสกัดไม่ให้ทั้งสองคนเข้าไปช่วยเหลือหลินอี้นั่นเอง
เหล่ายอดฝีมือระดับเซียนเทียนขั้นท้ายกว่าห้าสิบคนนั้นแต่ละคนล้วนมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับระดับหัวหน้าองครักษ์ของอาณาจักรชูอวิ๋นทั้งนั้นเสียงโห่ร้องอันน่ากลัวของพวกมันนั้นราวกับเสียงของเกลียวคลื่นแห่งความตายที่ถาโถมเข้ามาจนน่าสิ้นหวัง
หลินอี้ที่เป็แค่ยอดฝีมือระดับเซียนเทียนขั้นท้ายจะต้านทานศัตรูระดับนั้นได้อย่างไร
คนของฝ่ายชูอวิ๋นต่างก็หน้าถอดสีกันเป็แถบๆ
โดยเฉพาะเหล่าขุนนางข้าราชการฝ่ายบุ๋นอย่างพวกของท่านนายกรัฐมนตรีสื่อซือินั้นถึงกับร้องครางออกมาด้วยความปวดร้าว
ในสายตาของพวกเขาแล้ว การกระทำของหลินอี้แบบนั้นมันไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตายเลยอีกทั้งยังทำให้สถานการณ์ที่แต่เดิมก็ตึงเครียดอยู่แล้ว ปะทุขึ้นมาทันที
จิตสังหารของพวกตระกูลซ่างกวันตอนนี้ถูกหลินหยางกระตุ้นจนเดือดพล่านราวกับูเาไฟที่กำลังะเิปะทุออกมาก็ไม่ปานเกรงว่าคนทั้งหลายที่อยู่ในที่แห่งนี้คงต้องตกเป็เครื่องสังเวยให้แก่ความเกรี้ยวกราดนี้แล้ว
เอาเถอะ... ช่างเถอะ...
คิดรับใช้ชาติบ้านเมืองอย่างซื่อสัตย์แล้วอย่างไรก็คงหลีกหนีความตายไม่พ้นอยู่ดี...แต่ผู้าุโหลินผู้นี้ก็หุนหันพลันแล่นเกินไปหน่อย...
แต่เหล่าขุนนางข้าราชการทั้งหลายยังไม่มีใครสังเกตเห็นสีหน้าของคนจากตระกูลเวิน
แต่ละคนนั้นล้วนยังมีสีหน้าที่นิ่งสงบมากจนผิดปกติราวกับว่าพวกเขาพร้อมจะนั่งลงดื่มชาอยู่รอมร่อแล้ว
ในสายตาพวกเขานั้นนี่เป็แค่จุดเริ่มต้นของเื่สนุกๆ เื่หนึ่งเท่านั้น
ความเร็วของเหล่ายอดฝีมือระดับเซียนเทียนนั้นไวมากจนน่ากลัวในเวลาเพียงชั่วพริบตานั้น เหล่านักฆ่าในชุดสีดำก็ได้เข้าประชิดตัวของหลินหยางแล้ว
ซึ่งมีแค่ห้าคนเท่านั้นที่พุ่งเป้ามาที่หลินหยางส่วนคนที่เหลือนั้นคิดจะข้ามผ่านหลินหยางไปจัดการพวกของหลินเฮ่ายวน
ในความคิดของพวกเขานั้น สำหรับหลินอี้แล้วการที่ทิ้งคนไว้ห้าคนเพื่อจัดการคนๆ เดียวก็นับว่าพวกเขาประเมินฝีมือของหลินอี้ไว้สูงมากพอแล้วแต่พวกเขาคิดผิด
คิดผิดอย่างมหันต์เลยด้วย
ชุดเกราะสีดำพลันปรากฏขึ้นบนตัวของหลินหยาง
ประกายแสงสีแดงเพลิงสายหนึ่งที่ดูร้อนแรงดุจดวงตะวันก็พัดเอาความมืดมนออกไปจนหมดสิ้น
จากนั้นก็มีดาบเรียวยาวที่เปล่งประกายเล่มหนึ่งเริ่มไล่ตวัดฟันแทงใส่เหล่าปีศาจร้ายอย่างเกรี้ยวกราดดุจนักรบ์
เฟิ่งอู่หวังหลี!!
หลินหยางชักดาบออกมาแล้ว
แต่เดิมระดับความสามารถของเขานั้นอยู่ระดับเซียนเทียนขั้นท้ายเท่านั้นแต่พอรวมกับเกราะิญญาเหล็กทมิฬและพลังฟ้าดินธาตุไฟเข้าไปแล้วเขาก็กลายเป็ยอดฝีมือที่ระดับเซียนเทียนด้วยกันไม่อาจต่อกรได้อีกต่อไปและการที่หลินหยางมีอาวุธระดับวิถีราชันอย่างดาบเฟิ่งอู่และเคล็ดวิชาดาบศักดิ์สิทธิ์อยู่ในด้วยแล้วเหล่ายอดฝีมือของตระกูลซ่างกวันที่ต้องมาปะทะกับหลินหยางนั้นก็ต้องพบกับผลลัพธ์ที่สามารถอธิบายด้วยคำสั้นๆ ว่า
ย่อยยับ!!
ผู้คนนั้นเห็นเพียงแค่เงาร่างของหลินหยางที่ขยับตัวอย่างรวดเร็วจนกลายเป็เพียงประกายแสงสีแดงดำเคลื่อนที่ไปมาวูบวาบดุจเปลวเพลิงเพียงพริบตาเดียวก็บุกทะลวงเข้าไปอยู่กลางดงศัตรู
ดาบเฟิ่งอู่เล่มนั้นอัดแน่นไปด้วยพลังไฟอันร้อนแรงสะบัดไปมาท่ามกลางกลุ่มของศัตรูอย่างต่อเนื่องคมดาบอันแหลมคมนั่นรวดเร็วมากเสียจนมิอาจต้านรับได้ตอนนี้จึงเห็นแต่เพียงประกายแสงสีแดงสว่างวูบวาบไปมาอยู่ทั่วทั้งบริเวณ
เป็ภาพที่งดงามยากหาสิ่งใดมาเทียบเทียม
แต่ก็ดูน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูกด้วยเช่นกัน
เพลงดาบเฟิ่งอู่หวังหลีของหลินหยางนั้นเปล่งอานุภาพสูงสุดออกมาทิ่มทะลวงทุกสรรพสิ่งดุจพญาวิหคเพลิงที่บินโฉบ บางครั้งก็แพรวพราวดุจวิหคสะบัดปีกราวกับขนนกอันแหลมคมที่พุ่งทะยานออกไปทิ่มแทงศัตรูอย่างรวดเร็ว ทุกๆ หนึ่งกระบวนท่าจะสามารถกดดันให้อริร้ายต้องล่าถอยกลับไปได้
ผ่านไปเพียงครู่เดียวเท่านั้นก็มีพวกชุดดำสิบกว่าคนถูกซัดกระเด็นออกไปพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนอย่างเ็ป
นอกจากนี้ยังได้ยินเสียงเนื้อที่ถูกเผาจนไหม้เกรียมดังขึ้นบนอากาศด้วย
เพลงดาบเฟิ่งอู่หวังหลีนี้อัดแน่นไปด้วยพลังฟ้าดินธาตุไฟจำนวนมากเมื่อมันแทงถูกศัตรูแล้ว ก็จะทำให้ศัตรูรู้สึกเหมือนมีธารลาวาสายหนึ่งถูกส่งเข้าไปในร่างกาย
ชายชุดดำสิบกว่าคนนั่นพอถูกแทงเข้าให้ ก็รู้สึกว่าเืในตัวมันร้อนขึ้นจนจะเดือดอยู่แล้วพวกมันจึงทำได้แค่นอนดิ้นบนพื้นด้วยความทุกข์ทรมานแสนสาหัสเท่านั้น
โอ้โห!
เพลงดาบกระบวนท่านี้ของหลินหยางนั้นสร้างความตื่นตะลึงไปทั่วทั้งห้องโถง
ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยได้ยินแค่ว่าผู้าุโหลินท่านนี้มีความสามารถเทียบเท่ากับซูิชุนเท่านั้น แต่ใครจะคิดว่า ในเวลาสั้นๆ เพียงแค่เดือนเดียวเขากลับแข็งแกร่งถึงขนาดสามารถสยบยอดฝีมือระดับเซียนเทียนขั้นท้ายได้ในดาบเดียว
แถมนี่ยังเป็แค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
เพลงดาบสะท้านภพของหลินหยางนี่ทำเอากลุ่มของศัตรูถึงกับตื่นตระหนกหลินหยางในตอนนี้ราวกับเป็พญาวิหคที่กำลังร่ายรำอยู่ในสนามรบ ทั้งงดงามสุดแสนแต่ก็โเี้อำมหิต
ศัตรูเหล่านี้ล้วนเป็พวกฆาตกรที่ฆ่าคนโดยไม่กะพริบตาฆ่าคนจำนวนมากที่ไม่เกี่ยวข้องได้อย่างเืเย็นแต่ตอนนี้พวกมันกำลังได้รับบทลงโทษจากผลกรรมที่ตัวเองก่อด้วยดาบของหลินหยางแล้ว
และมีบางคนที่ถูกหั่วเอ๋อร์เล่นงานด้วย
ซึ่งคนพวกนั้นนับว่าซวยเป็พิเศษ
แต่เดิมหั่วเอ๋อร์ก็ไม่ใช่อสูรที่มีนิสัยดีเด่อะไรอยู่แล้วเมื่อก่อนมันเคยกินพวกสัตว์อสูรด้วยกันจนเกือบหมดทั้งเทือกเขาเมฆมรกตเลยด้วยซ้ำพอมันได้ปล่อยพลังได้รับอนุญาตให้วิวาทได้เต็มที่แล้วสภาพที่เกิดขึ้นนั้นแทบจะเรียกได้ว่าเป็นรกบนดินเลยทีเดียว
ทั่วทั้งตัวของเ้านี้นั้นเต็มไปด้วยพลังแห่งไฟอันมหาศาลเปลี่ยนให้กรงเล็บแต่ละนิ้วของมันมีสภาพดั่งดาบเพลิงหนึ่งเล่มเลยพอตวัดออกไปหนึ่งทีก็สามารถทำให้ชายชุดดำสามคนถูกตัดขาดออกเป็ห้าท่อนจนเืสาดกระจายกลายเป็ศพไหม้เกรียม
แหวะ...
ภาพตรงหน้าที่โหดร้ายอำมหิตขนาดนี้ทำเอาขุนนางบางคนถึงทนไม่ไหวจนอ้วกออกมาแต่ภาพนี้กลับทำให้เหล่าทหารองครักษ์และพวกของเหวินไท่เป่ยส่งเสียงเชียร์อย่างยินดี
ยอดมากท่านหั่วเอ๋อร์!
เหล่าคนของตระกูลเวินพากันส่งเสียงสรรเสริญกันดังสนั่นพอพวกของเหวินไท่เป่ยพอจะเข้าใจสถานการณ์แล้วก็พร้อมใจกันช่วยเยินยอเ้านกนั่นด้วยทันที
สุดยอดมากเลยท่านหั่วเอ๋อร์!!
“ฮ๋าฮ่า!! แค่นี้น่ะ ธรรมดา!” หั่วเอ๋อร์เป็พวกยุง่าย พอด้านหลังส่งเสียงเชียร์ขึ้นมาแบบนี้แล้วมันยิ่งคึกขึ้นยิ่งกว่าเดิม
ระดับพลังของเ้านกนี่แต่เดิมก็สูงกว่าหลินหยางอยู่หนึ่งระดับอยู่แล้วนั่นก็คือระดับอวิ้นหลิงขั้นต้น พอมาตอนนี้มันสามารถะเิพลังของอสูรเทวะออกมาได้อย่างเต็มที่แล้ว ยิ่งทำให้มันในตอนนี้ เข้าใกล้ความแข็งแกร่งในระดับที่สามารถสั่นคลอนทั้งอาณาจักรชูอวิ๋นเหมือนสมัยก่อนได้แล้วมันไล่ล่าเหล่าคนชุดดำจนพวกมันร้ำร้องอย่างน่าสมเพช สภาพอนาถสุดขีดเลย
แค่ยกเดียวเท่านั้น
ยอดฝีมือระดับเซียนเทียนของตระกูลซ่างกวันก็ถูกฆ่าตายไปมากถึงยี่สิบสี่คนแล้วส่วนคนที่เหลือนั้น ตอนนี้อย่าว่าแต่จะคิดไปฆ่าคนเลยแค่จะหนีเอาชีวิตรอดจากคมดาบคมเล็บของศัตรูนั่นก็ยากแล้ว
เพลงดาบของหลินหยางนั้นราวกับเป็ฝ่ามือขนาดใหญ่ที่ตบเข้าใส่หน้าของพวกตระกูลซ่างกวันจนความโอหังของพวกมันนั้นสลายหายไปไม่เหลือแม้แต่น้อย
ไม่ว่าจะซ่างกวันหง หลินไป๋ชวนหรือเฉินเฉาเกอที่เมื่อครู่เพิ่งยิ้มเยาะศัตรูนั่นตอนนี้พวกมันเริ่มรู้สึกหวาดกลัวแล้ว
พวกเขาแทบไม่อยากจะเชื่อกันเลยว่า หลินอี้ที่เมื่อหนึ่งเดือนก่อนยังมีพลังแค่ระดับเซียนเทียนอยู่นั้นจะสามารถใช้เพลงดาบที่ทรงพลังแบบนี้ได้อย่าว่าแต่พวกนักฆ่าชุดดำเ่าั้เลยแม้แต่ซ่างกวันอวิ๋นและยอดฝีมือระดับอวิ้นหลิงอีกคนยังกลัวจนหัวหด
แม้แต่ตัวพวกเขาเองก็ยังไม่แน่ว่าจะสามารถรับมือกับเพลงดาบนี้ได้
ในเวลาสั้นๆ แค่หนึ่งเดือน ไอ้หนูนี่มันแข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้ได้อย่างไรกัน!
แล้วไอ้ดาบระดับวิถีราชันนั่นมันอย่างไรกัน!
แถมยังมีเพลงดาบนั่นอีกในที่นี้มีใครรู้จักเพลงดาบนั่นบ้างไหมนี่?
บอกได้คำเดียวเลยว่า แข็งแกร่ง
ทั่วทั้งสนามพลันตกลงสู่ความเงียบสงบ
แต่ความเงียบครั้งนี้ดูจะแตกต่างไปจากความเงียบตอนก่อนหน้านี้อยู่บ้าง
พวกของหลินไป๋ชวนที่ตอนก่อนหน้านี้ยังโอหังอวดดีข่มขู่ว่าจะฆ่าคนทั้งหมดที่อยู่ในนี้ ตอนนี้มันกลับถูกเพลงดาบของหลินหยางสะกดเอาไว้เสียแล้วถึงแม้ว่าพวกเขาจะยังไม่ได้พ่ายแพ้โดยสิ้นเชิงก็ตามแต่สีหน้าของพวกเขาตอนนี้กลับบูดบึ้งราวกับถูกตบเข้าที่หน้าจังๆ ก็ไม่ปานเจ็บซีดถึงทรวงเลยทีเดียว
หลังจากหลินหยางเก็บดาบของตัวเองเข้าไปแล้วก็พึมพำออกมาว่า
“ข้าแค่อยากจะแสดงความคิดเห็นเองจะมาขัดขวางกันทำไม...”
ความคิดเห็นบิดามันสิ!
เหล่าขุนนางนั้นเคยเห็นยอดฝีมือมาก็หลายคนแต่คนที่ปากไม่มีหูรูดแบบนี้ พวกเขาก็เพิ่งจะเคยเจอเป็ครั้งแรกเหมือนกัน
แต่สีหน้าของหลินหยางตอนนี้ดูจริงจังไร้ซึ่งวี่แววล้อเล่นอยู่เลยเขาค่อยๆ เดินเข้าไปหาเหล่าตัวตนดั่งอสูรนั่นทีละก้าว ทุกก้าวที่เขาเดินออกไปบรรยากาศก็ค่อยๆ หนักอึ้งตามไปด้วย
ราวกับพระตำหนักแห่งนี้ไม่ใช่โรงเชือดของหลินไป๋ชวนอีกต่อไปแต่เป็สนามรบที่เหล่าวีรชนของชูอวิ๋นกำลังจะกำราบศัตรูชั่วผู้ปองร้ายต่ออาณาจักร
หลินหยางมองไปทางหลินไป๋ชวน
“เ้าน่ะมันพวกไม่รักดีในหัวมีแต่เื่ชั่วๆ ระหว่างเ้ากับองค์จักรพรรดิจะมีบุญคูณความแค้นเท่าไรข้าไม่รู้หรอกนะแต่ดูสิ่งที่เ้าทำวันนี้สิ ทั้งฆ่าคนบริสุทธิ์ ทั้งรังแกผู้อ่อนแอ โชคดีจริงๆ ที่คนที่ได้ขึ้นเป็จักรพรรดิไม่ใช่ขยะอย่างเ้า!”
ด่าได้ดี!!
ด้านหลังนั้นเหวินไท่เป่ยลุกขึ้นปรบมือชื่นชมหลินหยางโดยไม่สนใจาแของตัวเองเลย
หลินไป๋ชวนที่ถูกด่าแบบนั้นเข้าไปก็โมโหจนหัวแทบไหม้
แต่หลินหยางนั้นไม่สนใจจิตสังหารที่อีกฝ่ายปล่อยออกมาเลยแม้แต่น้อยพลันหันไปมองทางซ่างกวันหง
“ส่วนเ้าในหัวมีแต่ขี้หรืออย่างไร! เห็นชีวิตของคนอื่นไร้ค่ายิ่งกว่าต้นหญ้าริมทางอย่างนั้นหรือ?ฟังจากคำพูดงี่เง่าที่พูดออกมาจากปากของคนบ้าๆ อย่างเ้าแล้วไม่แปลกใจเลยทำไมซ่างกวันเฟยมันถึงได้โตมามีนิสัยแบบนั้น ที่มันตายในอาณาจักรชูอวิ๋นน่ะบอกได้คำเดียวเลยว่า สมควร!!”
โอ้วววว!!
คำด่าของหลินหยางนั้นทำเอาเหล่าคนของอาณาจักรชูอวิ๋นเืร้อนขึ้นมาไม่น้อย
ผู้าุโหลินน้อยผู้นี้นี่นอกจากจะมีฝีมือที่กล้าแข็งแล้ว ฝีปากของเขาก็คมปาดไม่แพ้ใครเลยทีเดียว!
ซ่างกวันหงผู้เป็ใหญ่ในทวีปชี่อู่แห่งนี้ไม่เคยถูกผู้ใดมาด่าฉอดๆ ใส่หน้าแบบนี้มาก่อน
เขาเดือดขึ้นมาทันที
“หุบปากไปซะ!!”
เขาสะบัดมือออกมาโดยใส่แรงมากถึงเจ็ดส่วน
เปลวเพลิงสีน้ำเงินหม่นสายหนึ่งก็พุ่งออกไปจากฝ่ามือของเขาจากนั้นมันก็เปลี่ยนเป็หัวกะโหลกขนาดประมาณครึ่งเมตรหัวหนึ่งในพริบตาภายในรูโบ๋ตรงส่วนลูกตาของมันนั้นมีเปลวเพลิงสีฟ้ากำลังลุกไหม้อยู่อย่างน่ากลัวเสียงร้องอันโหยหวนของมันนั้นทำเอาผู้คนที่ได้ยินถึงกับรู้สึกขนลุกไปตามๆกัน
“ฝ่ามือิญญาอสูร”
ซ่างกวันหงใช้เคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างชื่อให้ตัวเขาใส่หลินหยางทันที
เคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ขั้นกลางวิชานี้เป็ที่มาของฉายาอสูรอัคคีของเขาไม่รู้ว่ามียอดฝีมือกี่คนต่อกี่คนแล้วที่ถูกกะโหลกเพลิงนี่กลืนกินเข้าไปจนกลายเป็เพียงเถ้าธุลี
ถึงเพลงดาบของหลินหยางจะมีพลังระดับอวิ้นหลิงแล้วก็ตามแต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับวิชานี้ของซ่างกวันหงแล้ว แค่นั้นมันยังไม่พอ
ในตอนนั้นเอง
ก็ได้ยินเสียงกู่ก้องของพญาวิหคดังขึ้น
แกว๊ก!
หั่วเอ๋อร์แผลงฤทธิ์อีกครั้ง
แต่เดิมแล้วพลังของมันนั้นยังด้อยกว่าซ่างกวันหงอยู่แต่ตัวมันที่เป็สัตว์อสูรเทวะแห่งเปลวเพลิงนั้น เพลิงศักดิ์สิทธิ์ของปี้ฟังเป็ดั่งดาวข่มของพลังด้านมืดอันชั่วร้ายต่างๆอยู่แล้ว
ตัวมันในตอนนี้เปล่งประกายแสงอันศักดิ์สิทธิ์ออกมาอย่างเข้มข้นจากนั้นก็พุ่งเข้าใส่หัวกะโหลกนั่นทันที จากนั้นก็มีเสียงะเิดังขึ้นครั้งหนึ่งเปลวเพลิงสีแดงและสีฟ้าที่ปะทะกันอย่างรุนแรงก็สลายหายไป
จากนั้นหั่วเอ๋อร์ก็บินกลับมายืนอยู่บนไหล่ของหลินหยางด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยวพร้อมกับทำความสะอาดขนของตัวเอง
“ด่าได้ดีเ้าหลินอี้น้อย! ท่านหั่วเอ๋อร์ผู้นี้ชอบมาก เ้าด่าต่อเลย เดี๋ยวข้าจ่ายให้ห้าเหรียญ”
หลินหยางหันไปทางเฉินเฉาเกอต่อ
มันคือคนที่ชั่วช้าที่สุดแล้ว
ในแววตาของหลินหยางนั้นเต็มไปด้วยความแค้นและความเกลียดชังที่มากมายเหลือเกิน
การหักหลังครั้งนั้นมันฝังลึกลงไปข้างในสุดขั้วหัวใจของเขาแล้วความเ็ปเมื่อครั้งที่โดนฆ่าปิดปากในวัดร้างนั่นตามด้วยแผนการชั่วร้ายของพวกตระกูลเฉินอีกมากมาย ถึงขนาดนี้แล้ว ไอ้ชั่วนี่มันยังคิดที่จะฆ่าพ่อแท้ๆของเขาอีก
คนอย่างมันต้องตายอย่างทรมาน!