ตอนนี้สถานการณ์ในจวนเงียบสงบ จนได้ยินเสียงใบไม้ปลิวไสวตามสายลม
มีคนไม่น้อยที่ไม่กล้าหายใจเสียงดังถึงกับต้องกลั้นหายใจ ต้องอยู่ด้านข้างยอดฝีมือเซียนสามคน แรงกดดันมีมากจนไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะรับไหว
มิอาจจินตนาการได้เลยว่าเด็กหนุ่มจั๋วอวิ๋นเซียนที่ยังไม่มีแม้แต่พลังิญญา จะสามารถเผชิญหน้ากับยอดฝีมือระดับกำเนิดปราณได้และยังใช้ซีโหลวรั่วเมิ่งเป็ตัวประกันอีก
“น้องพี่ อย่าได้วู่วาม”
จั๋วอวี้หวั่นจับมือจั๋วอวิ๋นเซียนเอาไว้ด้วยความขมขื่น ไม่ว่าอย่างไรนางก็มิอาจปล่อยให้จั๋วอวิ๋นเซียนเดินไปหาความตาย ถ้าเื่ทั้งหมดต้องมีคนแบกรับเอาไว้ เช่นนั้นจั๋วอวี้หวั่นคิดว่าคนคนนั้นต้องเป็นาง
“……”
จั๋วอวิ๋นเซียนเงียบขรึม กวาดมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโลภของผู้คนรอบด้าน ในใจรู้สึกโดดเดี่ยว ช่างเป็โลกที่สกปรกเสียจริง มิน่าเล่าบิดาถึงได้บอกเขาว่าการบำเพ็ญจิตใจยากเสียยิ่งกว่าการบำเพ็ญเซียน
จั๋วอวี้หวั่นหยิบป้ายหยกกับจี้หยกออกมาแล้วกล่าวว่า “นี่คือสิ่งที่พวกเ้า้า ข้าให้พวกเ้าได้ แต่ช่วยให้ทางรอดกับพวกเราได้หรือไม่?”
“เ้ากำลังขอร้องหรือ?”
อารองจั๋วมีความสุขมากถึงขั้นหัวเราะเสียงดัง “น่าเสียดายมันสายไปแล้ว จั๋วฟู่ไห่ไม่รู้จักกาลเทศะ กล้าไปคบหากับจั่วชินอ๋อง…”
“เ้าสองหุบปากเสีย!”
จั๋วไท่หยวนะโด้วยความโกรธพร้อมกล่าวเตือน “คำพูดบางคำไม่ใช่สิ่งที่พวกเราควรพูด ยังไม่รีบถอยไปอีก”
“ทะ…ทราบแล้ว ท่านพ่อ!”
อารองจั๋วเหงื่อไหลเยียบเย็น รีบก้มหน้าถอยไปด้านข้าง
ซีโหลวเหวินอวี่กับเสิ่นว่านโหลวมองสองพ่อลูกอย่างเฉยเมย ไม่ได้กล้ามากความแต่อย่างใด เพียงแต่เผยรอยยิ้มดูแคลนเท่านั้น
ทันใดนั้นจั๋วอวิ๋นเซียนเอ่ยปากถาม “ท่านเ้าเมืองเสิ่น ข้าอยากทราบมากว่า ตอนนี้ท่านพ่อของข้าเป็อย่างไรบ้าง? อย่าบอกกับข้านะว่าพวกท่านไม่ทราบ?”
“จั๋วฟู่ไห่หรือ?”
เ้าเมืองเสิ่นครุ่นคิดเล็กน้อย เขากล่าวพลางถอนหายใจ “พี่จั๋วนับว่าเป็บุคคลเก่งกาจสามารถ เสียดายที่ไม่รู้จักผ่อนปรนตามสถานการณ์…ตอนนี้เขาน่าจะกลับมาไม่ได้แล้ว”
ความจริงแล้วในสายตาของพวกซีโหลวเหวินอวี่ ตระกูลจั๋วไม่ได้อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย สาเหตุที่พวกเขาต้องทุ่มเทมากมายและคิดแผนการซับซ้อน ก็เพื่อต่อกรกับจั๋วฟู่ไห่เท่านั้น ขอเพียงจั๋วฟู่ไห่ล้มก็ไม่ต้องกังวลเื่จั๋วอวี้หวั่นกับจั๋วอวิ๋นเซียนสองพี่น้องอีก
“พี่หญิง ท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ…”
จั๋วอวิ๋นเซียนผลักมือพี่สาวออกเบาๆ กล่าวพลางฝืนกลั้นความโกรธ “พวกเขาไม่มีทางปล่อยท่านพ่อกับพวกเราไปหรอก…เพราะว่าต่อให้ไม่มีพวกเราตระกูลจั๋วก็ยังคงเป็ตระกูลจั๋ว”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้จั๋วอวิ๋นเซียนมองพวกจั๋วไท่หยวน
“เหอะ!”
จั๋วไท่หยวนเผยสีหน้าเ็า จั๋วอวี้หวั่นจึงถอยด้วยความโศกเศร้า
ซีโหลวเหวินอวี่กล่าวอย่างเนิบช้า “หลานจั๋วเข้าใจสถานการณ์มากกว่าคนอื่น แสดงว่าสายตาของข้ามองคนไม่ผิดจริงๆ”
“พวกท่านคงเริ่มวางแผนกันมานานแล้วกระมัง?”
จั๋วอวิ๋นเซียนกล่าวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ข่าวเื่ผลหยินหยางพวกเ้าเป็คนปล่อยออกไป แม้แต่ผลหยินหยางก็เป็ของพวกเ้าเอง…จากนั้นก็ดักสังหารท่านพ่อข้า แล้วก็ให้ซีโหลวรั่วเมิ่งแต่งเข้าตระกูลจั๋ว ร่วมมือกันจากทั้งในและนอก”
“ตอนแรกข้ายังมีเื่หนึ่งไม่เข้าใจนัก ตระกูลสีแห่งต้าหนิงมีรากฐานล้ำลึก ไม่มีความจำเป็ต้องมายุ่งเื่พวกนี้…แต่ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว”
สายตาของจั๋วอวิ๋นเซียนมองไปมาระหว่างสีเฟยเยียนกับซีโหลวรั่วเมิ่ง
เสิ่นว่านโหลวกล่าวด้วยความนึกสนุก “หลานจั๋วเข้าใจอะไรหรือ?”
“ข้าคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างซีโหลวรั่วเมิ่งกับคุณหนูใหญ่ตระกูลสีอย่างสีเฟยเยียน คงไม่ได้ง่ายดายอย่างการเป็เพื่อนสนิทเท่านั้นกระมัง?”
เมื่อได้ยินคำตอบของจั๋วอวิ๋นเซียน มีคนไม่น้อยมองหน้ากัน ในสมองเกิดภาพและความคิดมากมายสับสนกันไปหมด…นายน้อยตระกูลจั๋วคนนี้กล้าหาญยิ่งนัก ไม่ว่าเื่อะไรล้วนกล้าพูดออกมา ดูท่าคงไม่อยากมีชีวิตต่อแล้ว!
ซีโหลวเหวินอวี่เผยสีหน้าขาวเผือก สายตาแฝงด้วยจิตสังหาร
จั๋วอวิ๋นเซียนไม่ได้สนใจเพียงกล่าวอธิบายต่อ “ถ้าข้าคาดเดาไม่ผิด ผู้นำตระกูลซีโหลวน่าจะรู้เื่ความสัมพันธ์ของทั้งสองั้แ่แรก ถึงได้ให้ซีโหลวรั่วเมิ่งแต่งงานกับข้า เมื่อเป็เช่นนี้ไม่เพียงสามารถสอดมือเข้ามายุ่งเื่ของตระกูลจั๋วได้อย่างถูกต้อง ยังสามารถทำให้คุณหนูใหญ่ตระกูลสีเกิดความริษยา ไม่ว่าท้ายที่สุดสีเฟยเยียนจะเสียเปรียบ หรือว่าข้าจั๋วอวิ๋นเซียนถูกตีตาย ตระกูลสีก็ต้องออกหน้า…คุณหนูสีเฟยเยียน ที่ข้ากล่าวมาถูกหรือไม่?”
“……”
สีเฟยเยียนเงียบกริบ สายตาเต็มไปด้วยความซับซ้อน
ในตอนแรกซีโหลวรั่วเมิ่งในสายตาของสีเฟยเยียนเป็คนบริสุทธิ์ใสซื่อ น่ารักนิสัยดี นางจึงไม่เคยคิดว่าซีโหลวรั่วเมิ่งจะใช้ความรู้สึกของนางมาวางแผนเช่นนี้ ต่อมาหลังจากที่ผู้าุโในตระกูลกล่าวเตือน นางถึงได้รู้ความจริงทั้งหมด
แต่ถึงแม้จะเป็เช่นนี้ สีเฟยเยียนก็ยังยอมทุ่มเทเพื่อซีโหลวรั่วเมิ่งอย่างเต็มใจ ยอมแม้ต้องคุกเข่าขอให้ท่านผู้เฒ่าในตระกูลลงมือช่วย
จั๋วอวิ๋นเซียนเว้นจังหวะพูดพักหนึ่งก่อนจะหันไปกล่าวกับเสิ่นว่านโหลวว่า “ก่อนหน้านี้ตอนที่สีเฟยเยียนมาหาเื่ข้า เ้าเมืองเสิ่นรู้ดีอยู่แก่ใจว่ากระทำเกินกว่าเหตุ แต่ก็ยังปล่อยผ่านไป เพราะอยากให้เกิดความขัดแย้งระหว่างตระกูลจั๋วกับตระกูลสี? สำหรับคนสนับสนุนของพวกท่าน ต่อให้พวกท่านไม่พูด ข้าก็เดาได้…คนที่สามารถยื่นมือไปยุ่งกับตระกูลวิถีเซียนและข้าราชการพร้อมกัน ทั้งราชวงศ์ต้าถังมีเพียงไม่กี่คนกระมัง!”
เสิ่นว่านโหลวไม่ได้โกรธแม้แต่น้อย กลับกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลานจั๋วช่างเป็คนฉลาดยิ่งนัก ดูท่าทุกคนจะดูถูกเ้าเกินไปแล้ว คนที่มีสติปัญญาเช่นนี้ต่อให้เป็คนธรรมดา ความสำเร็จในอนาคตคงมิอาจประเมินได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเ้าที่ก้าวเข้าสู่เส้นทางวิถีเซียนแล้ว…ถ้าปล่อยให้เ้าเติบโต ไม่แน่ว่าอาจจะเป็เซียวอี้หรานอีกคนก็ได้ จากความฉลาดของเ้า มีแต่จะน่ากลัวยิ่งกว่าเซียวอี้หรานเสียอีก!”
จั๋วอวิ๋นเซียนกล่าวต่อด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ท่านอยากจะบอกว่า น่าเสียดายที่ข้าเปิดเผยความสามารถ ไม่รู้จักอดทน สุดท้ายต้องตายด้วยน้ำมือพวกท่านกระมัง?”
“เ้าพูดถูกแล้ว”
เสิ่นว่านโหลวพยักหน้าโดยไม่ปฏิเสธ รอยยิ้มกว้างยิ่งขึ้น “เ้าหนู เ้าคิดว่ามีตัวประกันก็ไม่ต้องกลัวสิ่งใดแล้วใช่หรือไม่? ในเมื่อพวกเราอยู่ที่นี่แล้วจะให้โอกาสเ้าลงมือได้อย่างไร? บนโลกนี้มีเื่ราวมากมายที่เ้าคาดเดาไม่ถึง…เ้ายังเด็กเกินไปและคิดว่าตัวเองเก่งเกินไป!”
เมื่อกล่าวจบเสิ่นว่านโหลวพลิกฝ่ามือโยนลูกปัดสีขาวนวลลูกหนึ่งขึ้นไปบนฟ้า มันแผ่คลื่นพลังประหลาดออกมาจากในนั้น
“สิ่งนี้มีนามว่า ‘ลูกปัดสงบจิต’ สมบัติวิเศษระดับสูง ผู้ที่มีพลังระดับต่ำกว่ารวมพลังจะมิอาจต่อต้านมันได้ ถึงแม้ความสามารถของมันจะไร้ประโยชน์ไปหน่อย แต่ใช้มันจัดการกับเด็กไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงอย่างเ้า แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว!”
เมื่อเสียงพูดจบลง คลื่นพลังประหลาดปกคลุมร่างของจั๋วอวิ๋นเซียนทำให้เขาขยับตัวไม่ได้
“น้องพี่!”
จั๋วอวี้หวั่นเห็นน้องชายโดนโจมตีจึงคิดจะลงมือช่วย แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีเงาหนึ่งปรากฏออกมาขวางนางเอาไว้ เขาก็คือปู่รองจั๋วไท่หยวน
“คุณหนูจั๋ว ทางที่ดีเ้าอย่าขยับเลย มิเช่นนั้นอย่าหาว่าปู่รองไม่เห็นแก่ความหลัง”
ขณะที่พูดจั๋วไท่หยวนก็ใส่พลังิญญาเข้าไปในร่างของจั๋วอวี้หวั่นเพื่อผนึกพลังของนางเอาไว้
“เ้า…ไอ้สัตว์เดรัจฉาน!”
จั๋วอวี้หวั่นถูกผนึกพลังิญญาจึงไม่ต่างจากคนธรรมดา นางรู้สึกโศกเศร้าและสิ้นหวัง
ลุงเยี่ยนยืนอยู่ข้างคุณหนูใหญ่เงียบๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร
……
เหมือนเวลาได้หยุดลง มิติยืนยาวไร้สิ้นสุด
จั๋วอวิ๋นเซียนราวกับจมอยู่ในความมืดไร้ก้นบึ้ง มองไม่เห็นแสงตะวัน ไม่เห็นอนาคต
หนึ่งลมหายใจ สิบลมหายใจ ร้อยลมหายใจ…
หนึ่งปี สิบปี ร้อยปี…
ในความมืดมิดมิอาจััการไหลผ่านของเวลาได้ ทว่าสมองของเขายังคงมีสติอยู่ เพียงแค่ขยับร่างกายไม่ได้ เหมือนมีมือั์ข้างหนึ่งจับร่างกายของเขาเอาไว้ ยิ่งดิ้นรนก็ยิ่งเ็ป
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร กระทั่งมีแสงสว่างขับไล่ความมืดมิด
ในสมองของจั๋วอวิ๋นเซียนเกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง แสงเก้าสายรอบตราประทับกระเรียนสีชาดเกิดปรากฏการณ์หลอมรวมกัน!
ทันใดนั้นเพลิงสีชาดปรากฏขึ้นกลางอากาศ เป็ตัวแทนของแสงสว่างและความหวัง
