ดวงเดือนเคลื่อนคล้อยไม่อาจหยั่งรู้ว่ากี่ทุ่มกี่ยาม ถูกเมฆทมิฬบดบังไปเสียครึ่ง
แสงจันทร์กระดำกระด่าง
นอกแดนเทพประทับ
ใบหน้าหล่อเหลาของหานเซี่ยวเฟยอาบเคลือบด้วยแววเหี้ยมและโทสะ ยามอยู่ใต้แสงเช่นนี้แล้ว ดูราวกับสัตว์ป่าถูกทำร้ายจนช้ำไปเสียครึ่ง
“เ่ิู...เ้าทำให้ข้าอัปยศอดสู ข้าสาบาน จักไม่มีทางปล่อยให้เ้าลอยชายได้เป็อันขาด”
เขาคำรามเสียงต่ำชัดทุกคำ
และข้างกายเขา ในใจหญิงชุดแดงเองก็โทสะพุ่งพล่านไม่แพ้กัน
ไป๋อวี้ชิง สูงส่งปานนั้นคงเทียบชั้นกันไม่ได้ แต่เ่ิูที่เป็ ‘ตัวการก่อเหตุ’ เต็มๆ นี้ สำหรับเี๋เี่าแล้ว นางจะปู้ยี่ปู้ยำเขาอย่างไรก็ได้ตามใจนาง้า...
...
เวลาเดียวกันนั้นเอง
อีกที่ที่ต่างออกไป
บ้านตระกูลหลิว
หลิวเย่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าห้องพิพากษา เนื้อตัวสั่นไหวไม่น้อย
และคนที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ กันนี่เอง ก็คืออาจารย์ชั้นต่ำนามหลิวเหิง ที่ไม่อาจทำยโสอวดดีอย่างเมื่อกลางวันแสกๆ ได้อีกต่อไป
ตระกูลหลิวไม่ได้เส้นสนกลในเฟื่องฟูถึงปานนั้น ทั่วเมืองมีอยู่สี่สาขาซึ่งประวัติความเป็มายังไม่กี่สิบปีดีด้วยซ้ำ สองสามปีมานี้เพิ่งจะขยายขนาดกิจการ อิทธิพลการตลาดเทียบชั้นชนชั้นสูงที่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่นไม่ได้แน่ กระดูกคนละขนาดกัน เป็เื่คอขาดบาดตายที่ไม่อาจมองข้ามในรั้วเมืองลู่ินี้
หลิวเย่คือลูกชายคนโตของภรรยาคนแรกของเ้าตระกูลเย่ทั้งสามบ้าน ภาษีดีไม่หยอก ทั้งยังได้รับความรักความทะนุถนอมจากญาติผู้ใหญ่เสมอมา เวลาผ่านไป ยากที่จะหลีกเลี่ยงนิสัยโอหัง วางก้ามใหญ่โต
“ท่านปู่ เย่เอ๋อร์สำนึกผิดแล้วขอรับ”
หลิวเย่อ้อนวอนเสียงดัง
นั่งคุกเข่ามาสองชั่วโมงติดต่อกันแล้ว ถึงเขาจะมีพื้นฐานเื่บริหารร่างกาย แต่ขาสองข้างนี่ก็เหมือนจะไร้ความรู้สึกไปแล้ว อีกเดี๋ยวก็จะทนต่อไม่ไหว
“ความผิดไหน?”
เสียงทรงอำนาจล่องลอยมาจากในห้องใหญ่
“หลานไม่ควรแส่หาเื่ไปท้าทายเ่ิู...” ตอบพลางสั่นเทาไปทั้งตัว
“หลานโง่ เ่ิูแล้วอย่างไร ยังไม่รู้ตัวอีกว่าตัวเองผิดอะไร!” เสียงชราเรืองอำนาจคำรามดัง
หลิวเย่หาอาจหาญเถียงไม่ ตัวสั่นสะท้านด้วยกลัวจับจิต
“ตระกูลหลิวข้าเปิดกิจการมาชั่วนาตาปี อุปสรรคแสนเข็ญ แต่ก็ยืนหยัดแข็งแกร่งไม่ล้มครืน เพราะทำข้อตกลงมากมายและคบสหายไว้มากมี ผู้ใหญ่มีแต่จะให้พวกเ้าคนรุ่นหลังคอยรับลาภปาก แต่พวกเ้ากลับไม่ฟัง วันๆ นึกแต่จะหาเื่ใส่ตัวไปทั่ว...” เสียงบุรุษสูงวัยยังดังไม่หยุดหย่อน “เ่ิูตัวคนเดียว ผ่านเวลาจะฝึกวรยุทธ์ไปแล้ว ต่อให้พร์เพียบพร้อมก็ไม่มีทางข่มขู่ตระกูลหลิวเราได้ ที่ข้าให้เ้าคุกเข่านั้น เป็เพราะเ้ามันโง่ ธุรกิจต้องหาผลประโยชน์เป็ที่ตั้ง ไร้ผลประโยชน์จะมีแต่เื่เสีย ห้ามทำเช่นนั้นเด็ดขาด ถ้ายังไม่ปรับปรุงนิสัยเหลือหลายของเ้าเสีย ต้องมีสักวันที่ไปแตะต้องคนที่มิอาจแตะ ถ้าเวลานั้นมาถึงข้าทำได้แค่ต้องเสียสละเ้าเพื่อดับไฟโกรธ ถึงข้าจะรักและทะนุถนอมเ้ามานาน แต่ไม่อาจทำลายผลประโยชน์ที่ตระกูลเราสร้างขึ้นมาได้เพื่อเ้าแค่คนเดียว เข้าใจหรือเปล่า?”
“หลานเข้าใจแล้วขอรับ...” เด็กหนุ่มยังตัวสั่นเป็เ้าเข้า
“ลุกขึ้นเถอะ”
หลิวเย่โอบเสาด้านข้างช่วยพยุงตัวเองให้ลุกขึ้น
หลิวเหิงที่นั่งมองสถานการณ์มาโดยตลอดชักละล้าละลัง “อาสาม ข้า...”
“หุบปากไป!” เสียงตวาดเกรี้ยวจากในห้องประชุม “หลายปีมานี้ข้าเสียทั้งเงินทองทั้งทรัพย์สินไปไม่รู้เท่าไรถึงได้คุ้มหัวอาจารย์ไม่มีแก่นสารอย่างเ้าให้ชูคออยู่ในสำนักกวางขาวต่อได้ เพื่อผลประโยชน์มากมายที่จะตามมา ไม่คิดเลยว่าไอ้ไร้สมองเยี่ยงเ้า จะยอมขายความเป็อาจารย์เพราะเื่ขี้ประติ๋ว เลี้ยงเสียข้าวสุก สมควรตายๆ ไปเสีย!”
“อาสามโปรดพิจารณา อาสามโปรดพิจารณา เื่นี้มีผู้นั้นแทงข้างหลังอยู่ด้วย ไม่เช่นนั้นแล้ว...” หลิวเหิงขอความเมตตาอย่างร้อนรน
“ฮึ โชคดีที่เ้าเย่เอ๋อร์มันเข้าสำนักได้ เื่นี้ยังพอมีทางแก้ไข ข้าลงโทษริบเงินเ้าเป็เวลาหนึ่งปีเต็ม อย่าไปแพร่งพรายตื้นลึกหนาบางเื่นี้ให้ใครได้รู้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นได้ตายไม่มีหลุมแน่!”
สั่งเฉียบขาดดั่งคำประกาศิต
“ขอรับ ขอรับ ขอรับ...” หลิวเหิงรับคำเป็พรวน
ครู่ต่อมา
หลิวเหิง หลิวเย่สองอาหลานประคับประคองกันออกจากอาคาร ทุลักทุเลเหลือเกิน
“เื่อะไร...จะปล่อยให้จบแบบนี้ได้วะ!” หลิวเหิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เขาเกลียดชังเ่ิูเข้าไส้
หลิวเย่ไม่พูดอะไร
แต่ั์ตานั้นฉายแววอาฆาต
...
สำนักกวางขาว
วันนี้เป็วันเปิดเรียนวันแรกหลังปิดการทดสอบเข้าสำนัก
ศิษย์ปีหนึ่งมากมายมาแต่เช้าตรู่ อดทนรอรายงานตัวกันแทบไม่ไหว
ตามกฎของสำนักแล้ว บิดามารดาหรือกระทั่งองครักษ์คุ้มครองบุตรหลานมีสิทธิ์ส่งได้แค่หน้าประตูสำนักเท่านั้น ไม่อนุญาตให้ย่างกรายเข้าสำนัก หน้าบานประตูมียานพาหนะเนืองแน่น ทุกแห่งมีแต่บิดามารดาที่กำชับบุตรธิดาผู้ตื่นเต้นจนตัวแทบแตก
ทุกๆ ปีที่สำนักกวางขาวเปิดเรียนวันแรก ล้วนแล้วแต่คึกคักเป็พิเศษด้วยกันทั้งสิ้น
สองด้านของประตูหลัก มีกระจกหินสูงสิบกว่าเมตรวางอยู่ด้านละแท่น
กระจกหินแกะเจียระไนจากอัญมณีไป๋อิงอวิ๋นซึ่งหาพบพานได้ยากยิ่ง วาววับสว่างใสประหนึ่งน้ำแข็ง ยามกระทบแสงอาทิตย์ จะสะท้อนระยิบระยับเป็สีเงินอ่อนฟุ้ง มีพลังลึกลับ พินิจดูโดยละเอียดแล้วจะเห็นอักขระดำดั่งหมึกสลักอยู่
กระจกศิลายุทธ์!
วิธีแสดงผลสอบของสำนักกวางขาว
ทั้งสองด้านของกระจกศิลายุทธ์เต็มไปด้วยผู้คนแน่นขนัด
“อันดับหนึ่งที่แท้ก็คือฉินอู๋ซวง ลูกชายท่านเ้าเมืองฉินจ้าน ได้ยินมาว่ามีร่างกายเืเนื้อของอัจฉริยะเชียวนะ อายุยังไม่สิบขวบปี ก็ข้ามผ่านสุดยอดของวรยุทธ์ซะแล้ว จะเป็อันดับหนึ่งเสียคราวนี้ ถือว่าคู่ควรกับเขาแล้วล่ะ”
“ฉินอู๋ซวงเป็ความภาคภูมิใจของตระกูล นับั้แ่วันแรกที่ลืมตา ก็มีคนทั้งตระกูลคอยปูทางให้แล้ว บรรณาการทุกอย่างที่อัจฉริยะต้องมีต้องทำ จะไม่ให้เป็อัจฉริยะได้อย่างไรไหว? อันดับสองเยี่ยนสิงเทียนนี่สิน่ากลัวกว่าเป็ไหนๆ!”
“ใช่แล้ว สกุลรุนชาติยากจนแท้ๆ ยังโค่นทั้งซ่งชิงหลัว หลิวเล่ย หนานเทียนหยา เด็กเชื้อสายชนชั้นสูงทั้งหลายทั้งแหล่ได้ เ้าเยี่ยนสิงเทียนน่ากลัวไม่ใช่ย่อยเลยนะ!”
“ยี่สิบอันดับแรกก็มีแต่เยี่ยนสิงเทียนที่มาจากคนจนหรือ?”
“เอ๋? เ่ิูเล่า? ทำไมถึงไม่ติดหนึ่งในยี่สิบ? ไม่ใช่กว่ากลับมาอย่างาาหรือ สอบเมื่อวานได้เยี่ยมยุทธ์หรอกหรือ? ถูกจัดอยู่แค่อันดับยี่สิบเอ็ดนี่นะ?”
“เห็นเขาว่าเ่ิูไม่ได้สอบอยู่ด่านหนึ่งนะ”
“อะไรนะ? เป็ไปได้อย่างไร? ล้อข้าเล่นใช่ไหม ถ้าเป็อย่างนั้นจริง สอบน้อยกว่าชาวบ้านเขาด่านหนึ่ง แต่ได้ที่ยี่สิบเอ็ด ช่างน่ากลัวนัก...”
“จริงแท้แน่นอน ข้าได้ยินมากับหูเลยที่ท่านอาจารย์หลักข่งคงอนุญาตให้เ่ิูเข้าสำนักได้ทั้งที่สอบแค่ห้าด่าน!”
“์ช่วย จะประหลาดเกินคนไปแล้วนะโว้ย!”
“ถ้าเ่ิูสอบหกด่านครบขึ้นมาจริงๆ ไม่กลายเป็กดหัวฉินอู๋ซวงกับเยี่ยนสิงเทียนมิด คว้าที่หนึ่งไปครองได้แบบขนหน้าแข้งไม่ร่วงเลยหรือ?”
ฝูงชนวิพากษ์วิจารณ์ออกรสออกชาติ จะรสชาติใดก็มีครบถ้วนจนหมด
เ่ิูยืนอยู่ท่ามกลางหมู่คน พอได้ยินบทสนทนาเหล่านี้แล้วก็พอใจจนมากล้น และยังผิดหวังเล็กๆ ด้วย
ดูสิ ปล่อยโอกาสอันหอมหวานหลุดลอยไปเสียแล้ว หากเขาสอบด่านเืลมปราณเข้าล่ะก็ อย่างไรเขาก็ต้องเป็ที่หนึ่ง จะฉินอู๋ซวง เยี่ยนสิงเทียน ซ่งชิงหลัวอะไรก็ตาม มิใช่ว่าถูกเขาเหยียบย่ำอยู่ใต้เท้านี้ไปแล้วหรือ...
ทว่ายังมีโอกาส รอเข้าสำนักก่อน ค่อยไปช้าๆ ก็ไม่สาย
คิดได้ดังนั้นแล้ว เ่ิูซึ่งแบกกระเป๋าโทรมเหมือนขยะก็หันหน้าเดินไปสู่ประตูใหญ่ของสำนักกวางขาว
ศิษย์ปีสองผู้เฝ้าประตูมองเ่ิูที่มาคนเดียวโดดเดี่ยว มองเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งของเขา สายตาฉายแววระแวดระวังและสงสัย
เ่ิูเพียงหัวเราะ แล้วส่งป้ายไม้หยาบสลักนามไปให้
ศิษย์คนนั้นรับมามองใกล้ๆ พอเห็นนามและผลการสอบซึ่งสลักไว้ในเนื้อไม้ ก็สีหน้าเปลี่ยนทันตาเห็น แววตาที่มองเขามีแต่ยิ้มเป็มิตร รีบส่งป้ายคืนให้เขาแล้วหลีกทางให้เข้าไปอย่างแสนสุภาพ
ขาข้างหนึ่งก้าวข้ามธรณีประตู
นี่คือครั้งแรกที่เ่ิูได้เดินเข้ามาในสำนักกวางขาว
ทางเดินจากหินมุกขาวใหญ่พาดผ่านตรงขวางเป็กากบาท ประดุจใยแมงมุมนำสู่ทิศทางแตกต่าง
สนามหญ้ากว้างใหญ่และต้นไม้นานาพันธุ์แต่งประดับอยู่ทุกที่มิว่างเว้น ยังมีูเารายล้อมด้วยน้ำตกจำลอง น้ำพุพวยพุ่ง ทุกสถาปัตยกรรมสวยสดงดงาม ปรากฏบนทัศนียภาพเลิศเลออยู่รางๆ
ลมหายใจใหม่และบริสุทธิ์สุดใจปะทะเต็มใบหน้า
ราวกับว่าหากสูดดมอากาศในสำนักนี้เพียงเฮือกเดียว จะสุขเกษมยิ่งกว่าใดทั้งมวล
อาณาเขตสำนักครอบคลุมกว้างไกล เห็นทีจะมากกว่าหมื่นหมู่* แบ่งแยกเป็หกเขตใหญ่ๆ
ศิษย์ใหม่ปีหนึ่งเยี่ยงเ่ิู ก่อนจะขึ้นระดับปีสองได้ ทำได้เพียงฝึกฝนชีวิตตัวเองอยู่เขตรอบนอกสุด แต่อย่างไรเขตนอกนี้นี่แหละ ที่อลังการสำราญใจที่สุด แสนจะสะดวกสบาย เสมือนเป็ชาววังตัวเป็ๆ
การได้อยู่ท่ามกลางทิวทัศน์เลิศเลอเช่นนี้ เป็ความรู้สึกที่การยืนอยู่ด้านนอกประตูจักไม่มีวันได้หยั่งถึง
บนทางเดินนั้นมีป้ายบอกทาง และยังมีศิษย์ปีสองคอยนำทางไปโดยตลอดด้วย เ่ิูประกบตามเหล่าศิษย์ใหม่ไปอย่างลื่นไหล เขามาถึงจุดรายงานตัวอย่างรวดเร็ว ยึดหมายเลขบนป้ายชื่อดำเนินการแยกห้องเรียน
ปีนี้สำนักกวางขาวรับศิษย์ใหม่เข้ามาเป็จำนวนสองพันคน และเด็กปีก่อนที่ยังเรียนไม่ผ่านอีกหนึ่งร้อยคน แบ่งเป็ยี่สิบเอ็ดห้อง
หลังแบ่งห้องกันเสร็จเรียบร้อย เ่ิูพบว่าห้องที่เขาอยู่นั้นคือห้องท้ายสุด ห้องที่ยี่สิบเอ็ด มีศิษย์ทั้งหมดหนึ่งร้อยคนซึ่งซ้ำชั้นจากปีที่แล้ว มีสิบเอ็ดคนจากทั้งหมดห้องพักชั้นหนึ่งที่ตึกห้า
เพราะเป็วันรายงานตัววันแรก ทุกที่ทุกทางไม่ว่ามากหรือน้อยก็มีความอลหม่านเล็กๆ
เ่ิูรับเครื่องแบบของตัวเอง เดินหาห้องตัวเองตามหนังสือ ‘คู่มือแนะแนวทางศิษย์ใหม่’ อยู่นานนมแล้วจึงเจอตึกที่ห้า
พอเขาเข้าห้องพักบนชั้นสามของตัวเองได้ ภายในก็มีเพื่อนแปลกหน้าสามคนฉุกละหุกกันอยู่ก่อนแล้ว
เ่ิูทักทายสามคนนั้นด้วยรอยยิ้ม
แต่ทั้งหมดเพียงกวาดตาเห็นเขาแวบเดียว มองเสื้อผ้าเก่ามอซอ พลันวางท่าทีไม่แยแสใดๆ เ่ิูก็มิได้โกรธเคือง เขาส่ายหน้าแล้วเดินเข้าห้องเดี่ยวของตัวเอง
ที่พักของสำนักกวางขาวเองก็น่าสนใจไม่แพ้กัน
ตึกหมายเลขห้ามีทั้งหมดสามชั้น ก่อสร้างจากอิฐ แต่ละชั้นมีห้องใหญ่ที่ดูราวกับห้องรับแขกธรรมดาอีกสิบห้อง ห้องใหญ่นั้นมีห้องเดี่ยวเล็กๆ อีกสี่ห้อง พอเป็เช่นนี้แล้ว ศิษย์ทุกคนก็มีสิทธิ์จะมีห้องของตัวเอง อยากได้ความสะดวกสบายอะไรก็มีทั้งนั้น
การฝึกวรยุทธ์ไม่ว่ากับใครก็ตาม ล้วนแต่ต้องเป็ความลับส่วนตัวกันทั้งนั้น ไม่้าใครเข้ารบกวนหรือขัดขวาง เพราะฉะนั้นการที่ศิษย์ทุกคนต้องมีห้องเดี่ยวจึงเป็เื่จำเป็อย่างยิ่ง
หลังปิดประตูลงแ่เบา เ่ิูประเมินห้องของตัวเองอย่างละเอียดยิบ
ห้องน่าจะกว้างประมาณสี่สิบกว่าตารางเมตร มีเตียงโต๊ะพร้อมเก้าอี้ ล้วนแล้วแต่ทำจากหิน แข็งแรงและเย็นเฉียบ หน้าต่างหันเข้าหาแสงอาทิตย์ ด้านนอกมีต้นหลิวขาว ใบไม้พัดไหวไปตามลม บนผนังห้องสีขาวมีริ้วลายอักขระเลือนราง ใช้เพื่อเพิ่มความแกร่งและป้องกันได้ดี
-------------------------------------
*หมู่
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้