“เอ้อร์ยา ช่วยหยิบชามมาให้อาสามใบที” อันซิ่วเอ๋อร์เอ่ยปาก
เอ้อร์ยาซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดจึงลุกขึ้นอย่างว่าง่าย เดินไปหยิบชามกระเบื้องสามใบจากตู้กับข้าว
อันซิ่วเอ๋อร์ตักไข่หวานน้ำตาลใส่ชามทั้งสาม แต่ละชามมีไข่ไก่ฟองน้อยสองฟองลอยอยู่ในน้ำหวานใส นางยกสองชามไปวางบนโต๊ะในห้องโถง จากนั้นจึงเรียกต้ายากับเอ้อร์ยา “มากินกันเถอะ”
เด็กหญิงทั้งสองรีบเดินเข้ามา เมื่อเห็นไข่หวานน้ำตาลในชาม ก็มีท่าทีเก้อเขินระคนดีใจ แต่สุดท้ายก็มิอาจต้านทานกลิ่นหอมหวานอันยั่วยวนได้ จึงหยิบช้อนขึ้นมาอย่างนอบน้อม
โดยปกติแล้ว เด็กหญิงทั้งสองมักเป็ส่วนเกินที่บ้าน แม้จะเลี้ยงไก่ แต่ไข่ที่ได้ก็มักจะถูกนำไปขาย หรือไม่ก็เก็บไว้ให้อันหรงที่กำลังเรียนหนังสือเสียมากกว่า โอกาสที่เด็กหญิงทั้งสองจะได้ลิ้มรสไข่ไก่จึงมีน้อยครั้งนัก ส่วนใหญ่ต้องขอบคุณอันซิ่วเอ๋อร์ เพราะตราบใดที่อันซิ่วเอ๋อร์เอ่ยปากว่าอยากกินไข่ เหลียงซื่อผู้เป็มารดา ก็จะทำให้เสมอ และนางก็มักจะแบ่งปันให้หลานๆ ได้ลองชิมด้วย ด้วยเหตุนี้ เด็กหญิงทั้งสองจึงรักใคร่และผูกพันกับท่านอาผู้นี้เป็อย่างยิ่ง
ทั้งสองใช้ช้อนตักไข่ไก่เข้าปากคำใหญ่ ไข่แดงร้อนๆ ไหลทะลักออกมา ลวกปากจนเจ็บแปลบ แต่ก็ยังเสียดายเกินกว่าจะคายทิ้ง ทำได้เพียงอ้าปากพะงาบๆ อันซิ่วเอ๋อร์เห็นภาพนั้นจึงกล่าวเตือนด้วยรอยยิ้ม “ค่อยๆ กิน ไม่ต้องรีบร้อน”
ทั้งสองยังคงอ้าปากพะงาบๆ รอจนความร้อนบรรเทาลงบ้างแล้วจึงกลืนลงคอ ก่อนจะเอ่ยชมพร้อมกัน “ไข่ที่ท่านอาทำอร่อยที่สุดเลยเ้าค่ะ”
“ถ้าชอบก็มาบ่อยๆ สิ เดี๋ยวอาจะเลี้ยงไก่ พอมันออกไข่ จะเก็บไข่ไว้ให้พวกเ้ากินเยอะๆ เลย” อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้มเอ็นดู
ทั้งสองฟังแล้วยิ่งขวยเขิน จึงก้มหน้าค่อยๆ จิบน้ำหวาน ก่อนจะถามเสียงเบา “ท่านอาไม่กินด้วยหรือเ้าคะ”
“อาเก็บส่วนของอาไว้ในครัวแล้ว พวกเ้ากินเถอะ” อันซิ่วเอ๋อร์มองเด็กทั้งสองที่ก้มหน้าก้มตากินอย่างมีความสุขด้วยแววตาอ่อนโยน
ขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับของหวานนั้นเอง พลันมีเสียงฝีเท้าหนักๆ ดังมาจากนอกประตู ทั้งสามคนสะดุ้งเล็กน้อย หันขวับไปมอง ก็เห็นร่างสูงของจางเจิ้นอันเดินเข้ามา อันซิ่วเอ๋อร์รีบส่งสัญญาณให้เด็กทั้งสองนั่งนิ่งๆ ส่วนนางเองก็ลุกเดินเข้าไปต้อนรับ “ท่านพี่ วันนี้กลับมาเร็วนะเ้าคะ”
“วันนี้ข้าหว่านแหได้เยอะกว่าปกติ” จางเจิ้นอันตอบสั้นๆ เพียงเดินผ่านอันซิ่วเอ๋อร์ มุ่งตรงไปยังห้องครัว เมื่อเขาเดินผ่านห้องโถง เด็กหญิงทั้งสองกำช้อนเอาไว้แน่น ก้มหน้าจนคางแทบชิดอก ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามอง
จางเจิ้นอันอยู่ในครัวไม่นาน เขาเพียงเทปลาลงในอ่าง ไม่ได้เอ่ยคำใดอีก ก่อนจะเดินกลับออกไปทางเดิม รอจนเสียงฝีเท้าของเขาเงียบหายไปแล้ว เด็กทั้งสองจึงกล้าหายใจทั่วท้องและกินต่อได้
เด็กทั้งสองเป็เด็กดีมีมารยาท นอกจากจะกินไข่ไก่จนหมดเกลี้ยงแล้ว แม้แต่น้ำหวานก็ซดจนไม่เหลือสักหยด อันซิ่วเอ๋อร์รอจนพวกนางกินเสร็จ ก็ช่วยเก็บชาม แล้วจึงนั่งลง พูดคุยกับพวกนางเบาๆ “เห็นไหม อาบอกแล้วว่าท่านอาเขยของพวกเ้าใจดี”
“เ้าค่ะๆ” เด็กทั้งสองพยักหน้ารับ ในใจเพียงแต่โล่งอกที่ท่านอาเขยไม่ได้เอ่ยตำหนิเื่ที่ท่านอาทำไข่ให้พวกนางกิน
“อืม พวกเ้าคงต้องไปทำธุระต่อสินะ ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปเถอะ เดี๋ยวจะมืดค่ำเสียก่อน” อันซิ่วเอ๋อร์รู้ดีว่าที่บ้านเลี้ยงหมู และพวกนางมีหน้าที่ต้องไปตัดหญ้ามาให้หมูกินทุกวัน จึงไม่ได้รั้งพวกนางไว้ เพียงกล่าวเสริมว่า “ถ้าว่างเมื่อไหร่ก็แวะมาเล่นกับอาได้นะ บ้านเราอยู่ใกล้กันแค่นี้เอง”
เด็กหญิงทั้งสองสบตากัน แล้วก็พยักหน้ารับคำรัวๆ
อันซิ่วเอ๋อร์ยิ้มบางๆ ช่วยพวกนางถือตะกร้า พอออกจากประตูหลังบ้านแล้ว จึงส่งตะกร้าคืนให้พวกนาง แล้วฝากความว่า “พรุ่งนี้อาจะกลับไปเยี่ยมบ้านสักหน่อย ฝากบอกท่านปู่ท่านย่าของพวกเ้าด้วยว่าอาอาจจะกลับถึงบ้านช้าหน่อย ไม่ต้องเป็ห่วงนะ”
“ทราบแล้วเ้าค่ะ ท่านอา” เด็กทั้งสองพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง อันซิ่วเอ๋อร์ลูบศีรษะพวกนางเบาๆ มองตามร่างเล็กๆ ที่ถือตะกร้าเดินลัดเลาะหายเข้าไปในพงหญ้า
เมื่อหลานสาวทั้งสองไปตัดหญ้าต่อ อันซิ่วเอ๋อร์ก็หันกลับไปเผชิญหน้ากับงานพรวนดินที่ค้างไว้
ฝ่ามือของนางยังคงแสบร้อน แม้จะใช้ผ้านุ่มๆ รองมือแล้ว ก็ยังช่วยบรรเทาได้ไม่มากนัก สุดท้ายกว่าจะถึงเวลาใกล้ค่ำ นางก็พรวนดินได้เพิ่มเพียงแค่แปลงเล็กๆ เท่านั้น แต่อันซิ่วเอ๋อร์ก็ไม่ได้ท้อแท้ นางมองผลงานหยาดเหงื่อของตนในวันนั้น แล้วครุ่นคิดว่าจะปลูกอะไรดี
อืม...ท่านพี่ชอบกินของรสขม ปลูกมะระให้เขาก่อนดีกว่า แล้วก็ปลูกบวบ พวกนี้เป็ไม้เลื้อย ถึงที่ดินแปลงนี้จะเล็ก แต่ก็น่าจะปลูกได้หลายต้นเชียวล่ะ ดีกว่าต้องเสียเงินไปซื้อหา ดูเหมือนว่าวันนี้จะได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า พรวนดินไปทีละเล็กละน้อยทุกวัน ในไม่ช้า ที่ดินผืนนี้ก็จะกลายเป็แปลงผักเขียวชอุ่มได้
นางล้างมือที่เปรอะเปื้อนดิน แล้วจึงเข้าไปทำอาหารเย็น วันนี้นางตัดสินใจแล้วว่าจะต้องเริ่มประหยัดมัธยัสถ์ ดังนั้นมื้อเย็นจึงทำอย่างเรียบง่าย เพียงแค่นำน้ำข้าวข้นๆ ที่เหลือมาอุ่นให้ร้อน แล้วนำข้าวสวยไปผัดกับไข่ใส่เกลือเล็กน้อย
นางกะเวลาได้อย่างแม่นยำ พอจัดเตรียมอาหารเสร็จ จางเจิ้นอันก็กลับมาพอดี เห็นเขานำปลาไปเทลงในอ่างตามปกติ นางก็รีบไปตักน้ำสะอาดมาให้เขาล้างมือล้างหน้า
ขณะที่ยื่นผ้าซับหน้าให้ จางเจิ้นอันก็พลันเหลือบไปเห็นฝ่ามือที่แดงก่ำของนาง เขาจึงคว้าข้อมือนางไว้ทันที อันซิ่วเอ๋อร์ดิ้นอยู่สองสามที แต่ก็สู้แรงเขาไม่ได้ นางไม่อยากให้เขาเห็นตุ่มน้ำพองบนฝ่ามือ จึงกำมือแน่น
จางเจิ้นอันออกแรงบีบที่เรียวนิ้วเล็กน้อย ด้วยความเจ็บแปลบ ฝ่ามือนางก็จำต้องคลายออก เขากุมมือนางพลิกดู เห็นฝ่ามือที่เคยขาวผ่องอ่อนนุ่ม บัดนี้กลับแดงก่ำไปทั้งฝ่ามือ ทั้งยังมีตุ่มน้ำพองใสปรากฏขึ้นหลายจุด คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเย็น “ฝ่ามือเ้าไปโดนอะไรมา”
น้ำเสียงเ็าของเขาทำให้อันซิ่วเอ๋อร์ใจหายวาบ นางเหลือบมองเขาอย่างหวาดกลัว เห็นดวงตาคมกริบคู่นั้นลึกล้ำเป็ประกาย ก็รีบหลบสายตา แล้วก้มหน้าตอบตามความจริง “วันนี้ข้าไปพรวนดินมาเ้าค่ะ ไม่คิดว่ามือจะเป็เช่นนี้”
พูดจบนางก็รีบอธิบายต่อ “ท่านไม่ต้องเป็ห่วงนะเ้าคะ ข้าไม่ใช่คุณหนูที่ไม่เคยทำงานบ้าน เพียงแต่พ่อแม่มีข้าตอนอายุมากแล้ว ท่านก็เลยรักใคร่เอ็นดูข้าเป็พิเศษ ทำให้ไม่ค่อยได้ทำงานเกษตรที่บ้านเท่าไร แต่ข้าจะค่อยๆ เรียนรู้ ข้าเรียนรู้เร็วมาก อีกไม่นานข้าก็จะทำเป็ทุกอย่างแน่นอนเ้าค่ะ”
เห็นเขายังคงนิ่งขรึม ทั้งยังแผ่ไอเ็าออกมาจนน่าหวั่นเกรง อันซิ่วเอ๋อร์ก็ยิ่งร้อนใจ อธิบายต่อเสียงสั่นเล็กน้อย “ตุ่มพองนี่ดูน่ากลัว แต่จริงๆ แล้วไม่เป็อะไรมากหรอกเ้าค่ะ เดี๋ยวอีกไม่กี่วันก็หายเอง ไม่ต้องไปหาหมอ ไม่ต้องเสียเงิน ท่านอย่าโกรธข้าเลยนะเ้าคะ”
“เ้าคิดว่าข้าโกรธเื่นี้รึ” เห็นนางพร่ำอธิบายยืดยาว จางเจิ้นอันก็ยิ่งรู้สึกขุ่นเคืองในใจอย่างบอกไม่ถูก เขาเองก็ไม่รู้แน่ชัดว่าตนเองกำลังไม่พอใจเื่อะไรกันแน่
“ถ้าเช่นนั้น ท่านโกรธเื่อันใดหรือเ้าคะ” อันซิ่วเอ๋อร์ถามอย่างระมัดระวังที่สุด “หรือว่าเป็เพราะ...วันนี้หลานสาวข้ามา แล้วข้าทำไข่หวานน้ำตาลให้พวกนางกิน ท่านก็เลยโกรธ?”
จางเจิ้นอันฟังนางคาดเดาไปต่างๆ นานาแล้วก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดระคนอ่อนใจ “ในสายตาเ้า ข้าเป็คนใจแคบถึงเพียงนั้นเชียวรึ?”
“ท่านไม่ได้ใจแคบเลยเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์รีบส่ายหน้า ยังคงประจบเอาใจเขาอย่างเต็มกำลัง ถึงขั้นจงใจลดเสียงลง พูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนระคนประจบว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านบอกข้ามาเถิดเ้าค่ะ ว่าข้าทำสิ่งใดผิดไป ข้าจะได้แก้ไข นะเ้าคะๆ”
จางเจิ้นอันก้มหน้าลงเล็กน้อย จ้องมองไปที่นาง แล้วจึงกล่าวว่า “ต่อไปห้ามไปพรวนดินอีก”
“หา?” อันซิ่วเอ๋อร์ทำหน้างุนงง “แต่ถ้าเช่นนั้น แล้วเราจะเอาผักที่ไหนกินกันเล่าเ้าคะ”
จางเจิ้นอันมองดวงตาคู่สวยที่ฉายแววกังวลระคนสับสนของนาง จึงตอบว่า “พรุ่งนี้ข้าจะไปพรวนให้เอง พอใจหรือยัง”
“พอใจเ้าค่ะ!” อันซิ่วเอ๋อร์ยิ้มกว้างทันที ดวงตาเป็ประกายระริกอย่างเ้าเล่ห์ “ลูกผู้ชายพูดแล้วห้ามคืนคำนะเ้าคะ นี่ท่านสัญญาเองนะ ข้าไม่ได้บังคับท่านสักนิด”
“ไม่คืนคำ” จางเจิ้นอันพยักหน้ารับ อย่างไรเสียเขาก็นับว่าเป็บุรุษอกสามศอก เอ่ยคำใดแล้วย่อมเป็คำนั้น ไม่มีทางผิดคำพูดในเื่เล็กน้อยเพียงเท่านี้แน่นอน
“เช่นนั้นก็ดีแล้วเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ยิ้มหวาน มุมปากเรียวงามเผยให้เห็นลักยิ้มน่ารัก เห็นจางเจิ้นอันคลายมือออกจากข้อมือนางแล้ว นางจึงรีบยกชามไข่หวานน้ำตาลที่เย็นลงแล้วจากในครัวมาวางตรงหน้าเขา “เห็นไหมเ้าคะ ข้าดีกับท่านเพียงใด อุตส่าห์เก็บไว้ให้ท่านโดยเฉพาะเลยนะ”
จางเจิ้นอันมองไข่หวานน้ำตาลในชามตรงหน้า น้ำเชื่อมสีอำพันใส ไข่ไก่สองฟองขาวนวล ราวกับ...จางเจิ้นอันเหลือบมองใบหน้าเนียนผ่องของนางแวบหนึ่ง
เขาใช้ตะเกียบคีบไข่ขึ้นมาอย่างคล่องแคล่ว แล้วกัดเข้าไปคำใหญ่ น้ำไข่แดงอุ่นๆ ไหลทะลักออกมา เขาจึงรีบซดน้ำเชื่อมตามเข้าไปเล็กน้อย รสชาติเข้มข้นหอมหวานติดลิ้น เนื้อไข่นุ่มละมุน ละลายในปากง่ายดาย ดูผิวเผินก็เป็เพียงไข่หวานธรรมดา แต่พอได้ลิ้มลองแล้ว รสชาติกลับดีเยี่ยมอย่างน่าประหลาด จนแม้แต่คนที่ไม่ใคร่ใส่ใจเื่อาหารการกินอย่างเขา ก็ยังต้องยอมรับในใจว่าอร่อย
อันซิ่วเอ๋อร์ลอบสังเกตสีหน้าของเขาอยู่ตลอดเวลา เห็นเขากินอย่างไม่พูดไม่จา แต่มุมปากเหมือนจะยกขึ้นเล็กน้อย นางก็รู้สึกยินดีอยู่ลึกๆ ขณะที่กำลังเท้าคางมองเพลินๆ อยู่นั้น พลันมีไข่ไก่ฟองหนึ่งถูกคีบมาใส่ลงในชามข้าวของนาง
“ท่านทำอะไรเ้าคะ ข้ากินไปแล้วเมื่อตอนกลางวัน” อันซิ่วเอ๋อร์รีบปฏิเสธ
“เ้ายังไม่ได้กิน” จางเจิ้นอันเอ่ยเสียงเรียบ แต่แฝงความหนักแน่น “ไม่ต้องกังวลไป แค่ไข่ไก่ฟองเดียว ข้ายังไม่สิ้นไร้ไม้ตอกถึงเพียงนั้นหรอก”
“ท่านพี่ ท่านช่างดีกับข้าเหลือเกิน” อันซิ่วเอ๋อร์มอบตำแหน่งคนดีให้เขาอีกครั้ง ในใจรู้สึกอบอุ่นระคนยินดี รู้สึกว่าถึงแม้ภายนอกเขาจะดูแข็งกระด้างไปบ้าง แต่ก็เป็คนละเอียดอ่อนและใส่ใจนางอย่างแท้จริง
จางเจิ้นอันเริ่มลงมือกินข้าวผัดไข่ที่นางเตรียมไว้ให้ อันซิ่วเอ๋อร์กินไข่ไก่ที่เขาแบ่งให้จนหมด ก็เริ่มซดน้ำข้าวข้นๆ ในชามของตน แม้จะจืดชืดไร้รสชาติ แต่นางกลับรู้สึกว่ามันหวานละมุนในลำคอ
“ทำไมเ้าไม่กินข้าว” จางเจิ้นอันเงยหน้าขึ้นถามเมื่อเห็นนางเอาแต่ซดน้ำข้าว
“ข้าชอบกินน้ำข้าวเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ตอบพร้อมรอยยิ้มหวานหยด
จางเจิ้นอันขมวดคิ้วเล็กน้อย “หรือว่าข้าวสารที่บ้านใกล้จะหมดแล้ว”
“ไม่ใช่เ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์รีบส่ายหน้า เมื่อเห็นแววตาอยากรู้สาเหตุของเขา นางจึงอธิบายว่า “ข้าเพียงแต่คิดว่า ตอนแต่งงาน ท่านคงเสียเงินไปมาก ข้าก็ควรจะประหยัดมัธยัสถ์ ช่วยท่านเก็บออมบ้างน่ะเ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น มุมปากของจางเจิ้นอันก็ยกขึ้นเป็รอยยิ้มเยาะหยันตนเอง อันซิ่วเอ๋อร์ถึงจะคิดคำนึงถึงเื่บ้านช่องและตัวเขา แต่มันกลับทำให้เขารู้สึกราวกับถูกนางดูแคลน เขาดูยากจนข้นแค้นถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ถึงขนาดที่ภรรยาต้องมาอดข้าวเพื่อช่วยประหยัด หากสหายเก่าของเขาล่วงรู้เื่นี้เข้า คงได้หัวเราะเยาะเขาจนฟันร่วงเป็แน่
เขายื่นชามข้าวผัดของตนเองไปตรงหน้านางอย่างเป็ธรรมชาติ ก่อนจะหยิบเอาชามน้ำข้าวของนางมาถือไว้ อันซิ่วเอ๋อร์ชะงักไปเล็กน้อย ถามอย่างประหลาดใจ “ท่าน...ไม่รังเกียจข้าแล้วหรือเ้าคะ”
จางเจิ้นอันเพียงเหลือบมองนางแวบหนึ่ง ไม่ตอบคำถาม แต่ก้มหน้าลงดื่มน้ำข้าวในชามต่อไป ในเมื่อเคยดื่มครั้งหนึ่งแล้ว จะมีอีกครั้งก็คงไม่เป็ไรกระมัง ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับภรรยาตัวน้อยที่อ่อนหวานนุ่มนวลราวสายน้ำผู้นี้ เขาคงไม่มีวันรังเกียจลง
เมื่อเห็นว่าเขาไม่แสดงท่าทีรังเกียจจริงๆ ในใจอันซิ่วเอ๋อร์ก็เปี่ยมไปด้วยความยินดี นางตระหนักได้ว่าเขาไม่ใช่คนใจแคบหรือถือสาเื่เล็กน้อยอย่างที่นางเคยคิด บางทีนางอาจจะตัดสินเขาผิดไปจริงๆ คนเราย่อมแตกต่างกัน และนางก็เริ่มรู้สึกว่า เขาคือคนที่นางสามารถฝากชีวิตไว้ได้ อย่างแท้จริง
นางก้มหน้ากินข้าวผัดที่เขาแบ่งให้ไปสองสามคำ ก็ยื่นชามกลับไปตรงหน้าเขา “ข้าอิ่มแล้วเ้าค่ะ ที่เหลือท่านกินเถอะ อย่าทิ้งให้เสียของเลย”
“อิ่มจริงๆ รึ” จางเจิ้นอันรู้สึกว่านางกินน้อยเหลือเกิน
“อืม อิ่มมากแล้วเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ยืนยันพลางลูบท้องน้อยของตนเองเบาๆ
แววตาคมเข้มของจางเจิ้นอันฉายรอยยิ้มบางเบา เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาจัดการข้าวในชามจนหมดเกลี้ยง แล้วจึงลุกขึ้นช่วยนางเก็บกวาดถ้วยชามบนโต๊ะ
