ท่านลุงหลิวยืนขึ้นคิดจะดุด่าบุตรชาย น่าเสียดายเสี่ยวเตายืนขึ้นก่อน เขาะโท้าทายว่า “นอกจากข้าแล้ว ยังจะมีใครล่าจิ้งจอกขาวให้เสี่ยวหมี่อีก? หากไม่มี เช่นนั้นเหตุใดข้าจะล่าไม่ได้”
เขาพูดเช่นนี้ แต่สายตากลับมองตรงไปยังเฝิงเจี่ยน
ต่อให้ทุกคนจะโง่แค่ไหนก็ดูออกว่าเสี่ยวเตากำลังถามใครอยู่ ทุกคนจึงเงียบไม่ปริปาก แม้แต่คนที่คิดจะโน้มน้าวให้เขาเลิกพูดก็ปิดปากเงียบในเวลานี้เช่นกัน
ไม่มีใครตาบอด ยามปกติเสี่ยวหมี่ใกล้ชิดกับเฝิงเจี่ยนมาก เฝิงเจี่ยนเองก็ดูแลปกป้องเสี่ยวหมี่อย่างดี ใครๆ ต่างดูออกว่าคนทั้งสองมีความรู้สึกดีๆ ให้กัน แต่ไม่ว่าใครก็เดาได้ว่าสถานะของเฝิงเจี่ยนสูงส่ง จึงรู้สึกขัดแย้งเล็กน้อย กลัวว่าเสี่ยวหมี่จะโดนรังแก ยามนี้เมื่อเสี่ยวเตาเอ่ยท้าทายออกมาโต้งๆ พวกเขาจึงคิดอยากจะใช้โอกาสนี้ทดสอบความสามารถของเฝิงเจี่ยน ให้เขาได้รู้ว่าการจะเด็ดบุปผาอันดับหนึ่งของหุบเขาหมีไม่ใช่เื่ง่าย
เสี่ยวหมี่อึ้งไปเล็กน้อย ในร่างนี้มีดวงิญญาของนางที่เป็คนในยุคปัจจุบันสิงสู่อยู่ ยังไม่สามารถเข้าใจเื่ในยุคนี้ได้เต็มร้อย ก็แค่ขนจิ้งจอกหนังจิ้งจอกตัวเดียว เหตุใดทุกคนถึงมีท่าทีเปลี่ยนไปเช่นนี้?
อีกอย่าง นาง้าหนังกระต่ายมาทำตุ๊กตาต่างหาก นางไม่ได้อยากได้หนังจิ้งจอกขาวเสียหน่อย
นางคิดจะอ้าปากถามแต่ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรไม่ถูกต้อง ตอนที่กำลังลังเลอยู่นั้น ก็ได้ยินเฝิงเจี่ยนที่นั่งอยู่ข้างกายเอ่ยขึ้นเรียบๆ “ก็แค่จิ้งจอกขาวตัวเดียว จะยากอะไร”
เสี่ยวเตากำลังรอประโยคนี้อยู่พอดี ดวงตาของเขาวาววับจนน่ากลัว จึงเอ่ยยั่วไปอีกประโยค “เอ่ยวาจาเกินจริงใครก็ทำได้ หากแน่จริงก็ต้องลองขึ้นเขาไปล่ามา”
“ได้ พรุ่งนี้เจอกันบนเขา”
เฝิงเจี่ยนยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีท่าทีหวาดกลัวแม้แต่น้อย เขารับคำท้าอย่างง่ายดาย ราวกับว่าการขึ้นเขาล่าสัตว์ที่แสนจะเสี่ยงอันตรายนั้นเป็แคเพียงการเดินวนรอบสวนดอกไม้หลังบ้านง่ายๆ เท่านั้น
ตอนนี้เองเสี่ยวหมี่ถึงเพิ่งเข้าใจ ที่จริงแล้วนางต่างหากที่เป็ ‘เหยื่อที่แท้จริง’ ที่เฝิงเจี่ยนและเสี่ยวเตา้าล่า
เื่นี้ทำให้นางรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็วิตกกังวล คิดจะอ้าปากพูดอะไรกลับหาเสียงตัวเองไม่เจอ
แต่เฝิงเจี่ยนกลับกุมมือนางแน่นอยู่ใต้โต๊ะ ให้ความรู้สึกอบอุ่นและมั่นคง
“กินข้าวเถอะ ว่างๆ ก็ลองคิดดูว่าได้ขนจิ้งจอกขาวมาแล้วจะเอามาทำเสื้อคลุมแบบไหน”
“อืม”
งานเลี้ยงในคืนนี้ยังคงดำเนินต่อไปแต่ก็เงียบลงกว่าตอนแรกมาก ในความเงียบนั้นก็เหมือนมีประกายไฟบางอย่าง เหมือนทุกคนกำลังลอบพิจารณาเฝิงเจี่ยนและเสี่ยวเตา ดูอย่างไรเฝิงเจี่ยนที่ราวกับบัณฑิตอ่อนแอไม่น่าจะใช่คู่ต่อสู้ของเสี่ยวเตา
ส่วนเด็กหนุ่มคนอื่นที่ยามปกติสนิทสนมกันดีก็ถึงกับลอบให้กำลังใจเสี่ยวเตา ถึงขนาดเสนอว่าจะให้คันธนูใหม่ที่เพิ่งทำขึ้นกับเขา อีกคนก็บอกว่ามีดสั้นบ้านเขาเพิ่งลับใหม่คมกริบ...
เพราะสารท้ารบในงานเลี้ยงสกุลลู่ และเพราะรู้ว่าพรุ่งนี้จะเริ่มล่าสัตว์ได้อีกครั้งทำเอาผู้คนยากจะข่มตาหลับ
แต่พระอาทิตย์ก็ยังคงลอยขึ้นมาตามปกติไม่รีบร้อนหรือชักช้าเพราะคำอธิษฐานของใคร
พวกผู้หญิงในหมู่บ้านจัดโต๊ะบูชาวางกระถางธูป นายท่านเฝิงถือไม้เท้าเดินนำทุกคน พวกเขาฆ่าไก่ตัวผู้เพื่อเซ่นไหว้เทพเ้าแห่งขุนเขา ภาวนาให้เทพเ้าคุ้มครองให้พวกเขากลับมาอย่างปลอดภัย
เื้ัเขา บรรดาคนหนุ่มหรือคนแก่ที่จะขึ้นเขาไปล่าสัตว์ต่างคุกเข่าโขกศีรษะ จากนั้นก็ดื่มสุราฤทธิ์แรงที่ผสมเืไก่ นับว่าเป็การเสร็จพิธีบอกกล่าวเทพเ้า ขอแค่พวกเขาไม่ทำอะไรผิดกฎหรือเกินเลย การล่าสัตว์ในครั้งนี้ก็จะราบรื่น
เฝิงเจี่ยนไม่ได้คุกเข่า แต่ก็ดื่มสุราผสมเืไก่ลงไปจนหมดโดยมีสายตาห่วงใยของเสี่ยวหมี่มองมา
ครั้งนี้คนสกุลลู่ขึ้นเขาทีเดียวถึงสี่คน ก่อนหน้านี้พี่รองลู่พลาดการล่าสัตว์ไปถึงสองครั้งสองครา ครั้งนี้ย่อมไม่มีทางพลาดอีก บวกกับเสี่ยวเอ๋อซึ่งกำลังขุ่นเคืองเพราะเสี่ยวหมี่ปล่อยหลี่หลินไปโดยที่ยังไม่ให้นางได้เข้าพบไปอีกคน อีกสองคนก็คือเฝิงเจี่ยนและเกาเหริน
เสี่ยวหมี่ย่อมกังวล แต่นางห่วงแค่เฝิงเจี่ยนคนเดียว เพราะด้วยความสามารถของพี่ชายนางแล้ว นางควรจะเป็ห่วงสัตว์ร้ายบนูเามากกว่า ส่วนเกาเหรินนั้นก็ถือว่าเป็ยอดนักล่า ซึ่งหลักฐานก็มีให้เห็นั้แ่ฤดูหนาวปีที่แล้ว ส่วนเสี่ยวเอ๋อ หากไม่มีพี่รอง แม่นางคนนี้ก็ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับสกุลลู่แม้แต่น้อย นางกินข้าวของสกุลลู่แต่กลับปฏิบัติต่อตนราวกับเป็ศัตรูคู่แค้นก็ไม่ปาน เสี่ยวหมี่ย่อมยินดีที่จะโยน ‘ะเิ’ ลูกนี้ขึ้นเขาไป นางจะได้มีเวลาสงบๆ คิดทบทวนว่าจะจัดการสตรีผู้นี้อย่างไรดี
เหลือแค่เฝิงเจี่ยนที่ยามปกติเห็นแต่เขาอ่านตำราเขียนอักษร ไม่รู้จะดึงสายธนูล่าสัตว์ไหวหรือไม่...
เฝิงเจี่ยนเปลี่ยนมาสวมอาภรณ์ที่รัดกุม ทั้งยังพับขากางเกงขึ้นมาผูกไว้ด้วยเชือกเพื่อความสะดวกคล่องตัว สวมรองเท้าหนังกวาง เส้นผมถูกมัดรวบไว้ด้วยผ้า ด้านหลังแบกกระบอกใส่ลูกศร ข้างเอวมีมีดล่าสัตว์ มือถือคันธนู นับว่าแปลกตาแต่ก็ยังหล่อเหลาเช่นเคย
เสี่ยวหมี่อดมองเขาขอบตาแดงก่ำน้อยๆ ไม่ได้ นางลังเลเล็กน้อยสุดท้ายก็กำชับว่า “พี่ใหญ่เฝิง ข้าไม่ได้้าจิ้งจอกขาว ท่านกลับมาอย่างปลอดภัยก็พอ”
“ของทุกอย่างในใต้หล้านี้ เ้าจะไม่ชอบไม่้ามันก็ย่อมได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องล่ามันกลับมาวางแทบเท้าเ้า”
เฝิงเจี่ยนทดสอบดีดดึงสายธนูจนเกิดเสียงดัง
เกาเหรินที่ยืนอยู่ข้างๆ อดกลอกตาไม่ได้ เขาเขยิบเข้ามาตรงหน้าเสี่ยวหมี่ โอ้อวดว่า “เสี่ยวหมี่ หนังจิ้งจอกไม่เห็นดีเลย ข้าล่าหนังเสือขาวให้เ้าดีกว่า ดีหรือไม่?”
เสี่ยวหมี่กำลังว้าวุ่นใจไม่มีที่ระบายอยู่พอดี พอได้ยินเขาพูดเช่นนี้จึงถือโอกาสเคาะศีรษะเขาไปทีหนึ่ง
“อย่าโอ้อวดนักเลย ปกป้องคุ้มครองคุณชายเ้าให้กลับมาปลอดภัยก็พอ ขอแค่เ้าทำได้ วันหน้าเ้าอยากกินอะไรก็บอกมาได้ ข้าจะทำให้ทุกอย่าง”
คิดไม่ถึงเกาเหรินได้ยินแล้วกลับไม่ดีใจนัก เพียงตอบรับด้วยการส่งเสียงหึในจมูก
หมอกขาวในยามเช้าคอยๆ สลายไปเพราะแสงแดดที่สาดส่องลงมา ราวกับเปิดทางเข้าสู่ป่าทึบ บรรดานักล่าทั้งหลายทยอยเดินเข้าไปจนลับตา
อาจเพราะปีนี้พวกเขาไม่ขาดแคลนอาหารเครื่องนุ่งห่ม การล่าครั้งนี้จึงไม่รีบร้อนนัก แทบจะเป็การล่าสัตว์แข่งขันกันมากกว่า
เสี่ยวหมี่กำลังยุ่งอยู่กับการร่างแบบเครื่องใช้ต่างๆ แล้วนำไปให้ท่านลุงหลิวช่วยทำ ทำให้คนสกุลหลิวที่กำลังจิตใจไม่สงบรู้สึกสงบขึ้นเพราะมีงานให้พวกเขาทำ อีกทั้งยังแน่ใจได้ว่าไม่ว่าครั้งนี้เสี่ยวเตาจะแพ้หรือชนะ เสี่ยวหมี่ก็จะยังปฏิบัติกับพวกเขาเหมือนเดิม
ท่านป้าหลิวและกุ้ยจือเอ๋อร์ลูกสะใภ้นั่งทำงานเย็บปักอยู่พลางถอนใจไม่หยุด ไม่รู้ว่าควรคาดหวังให้เสี่ยวเตาชนะหรือว่าแพ้ดี แต่ไม่ว่าจะอย่างไรเสี่ยวหมี่ก็เหมือนว่าจะไม่มีวาสนากับครอบครัวพวกนางเลย
ตอนกลางวันยังผ่านไปด้วยดีเพราะเสี่ยวหมี่มีงานมากมายให้ทำ แต่เมื่อตกกลางคืนจิตใจนางก็ว้าวุ่นยิ่งกว่าเดิม คอยแต่จะฟังเสียงความเคลื่อนไหวนอกประตู
…
กล่าวถึงขบวนนายพรานบนูเา เดิมทียังเกาะกันไปเป็กลุ่มใหญ่ แต่เนื่องจากแต่ละคนพบเหยื่อที่แตกต่างหลากหลาย จึงค่อยทยอยแตกกลุ่มกันออกไป ดีที่แต่ละคนล้วนมีนกหวีดไม้ติดตัวไปด้วย และส่วนมากก็จับกันเป็กลุ่มละสองถึงสามคน หากเจออันตรายอะไรเข้าก็ยังรับมือได้ทัน
มีเพียงเฝิงเจี่ยนนายบ่าวที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย หนึ่งเพราะพวกเขาไม่ได้สนิทสนมกับคนในหมู่บ้านมากนัก สองเป็เพราะความขัดแย้งที่มีกับเสี่ยวเตา พวกเขาจึงค่อยๆ รั้งท้ายไปทุกที
แสงแดดเจิดจ้าในยามเช้าส่องลงมา จู่ๆ มีคนสังเกตเห็นว่าเสี่ยวเตาหายไป จึงอดถามไม่ได้ว่า “เสี่ยวเตาเจอจิ้งจอกขาวแล้วหรือ?”
คนอื่นๆ เหลือบตาไปมองเฝิงเจี่ยนนายบ่าวที่นั่งพักกันอยู่ใต้ต้นไม้ จึงลดเสียงเบาเอ่ยว่า “คอยตั้งใจฟังเสียงนกหวีดเอาไว้ เผื่อมีอะไรฉุกเฉินจะได้เข้าไปช่วยทัน”
“ได้”
“ดูสิ นั่นมันหมีลู่ [1] นี่นา”
ป่าทึบในเดือนเก้านั้นแสนจะอุดมสมบูรณ์ หลักจากได้พักการล่าไปถึงหนึ่งปี เมื่อกลับมาอีกครั้งไม่ว่าสัตว์หายากแค่ไหนก็เหมือนจะพบเห็นได้โดยง่าย กระต่ายขาวที่เสี่ยวหมี่อยากได้นักหนายิ่งไม่ต้องพูดถึง ่นี้หิมะยังไม่ตก พื้นยังไม่เป็สีขาวโพลนจึงสังเกตเห็นมันได้ง่ายกว่าเดิม
เด็กหนุ่มที่เพิ่งจะเข้าป่ามาล่าสัตว์เป็ครั้งแรกได้รับคำแนะนำให้เริ่มล่าจากกระต่ายก่อน พวกเขาเบ้ปากอย่างไม่พอใจ ตอนที่ล่ากระต่ายทั้งครอบครัวกลับมาได้นั้นกลับพบว่าเฝิงเจี่ยนนายบ่าวหายไปแล้ว
“หา คุณชายเฝิงกับเกาเหรินไม่อยู่แล้วหรือ”
“ไม่ใช่ว่าเจอจิ้งจอกขาวเข้าแล้วหรอกนะ?”
“ตอนนี้ก็ต้องดูแล้วล่ะว่าใครจะมีฝีมือมากกว่ากัน”
ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์กันเล็กน้อยจากนั้นก็พากันแยกย้ายไป อย่างไรเสียก็รอมาถึงหนึ่งปีแล้ว เป็โอกาสอันดีที่จะพลาดไม่ได้เป็อันขาด ไม่แน่อีกหนึ่งเดือนให้หลังหิมะก็อาจจะตกลงมาแล้ว หนึ่งเดือนอันแสนล้ำค่านี้ ต้องล่าหนังสัตว์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
…
วิ่ง วิ่งให้เร็วขึ้นอีก
เสี่ยวเตารู้สึกเหมือนว่าหัวใจจะกระดอนออกจากอกแล้ว แต่เงาสีขาวตรงหน้ายังคงห่างออกไปไกลดังเดิม แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่คิดจะยอมแพ้
จิ้งจอกขาวโตเต็มวัยตัวหนึ่ง ะโพลิ้วไหวราวกับโผบินอยู่ในพงหญ้า ขนของมันเป็สีเงินแวววาวดึงดูดสายตายิ่งนัก
หากว่าเขาล่าขนจิ้งจอกนี้กลับไปให้เสี่ยวหมี่ทำเสื้อคลุม คงจะขับใบหน้าน่ารักนั้นให้ดูงามขึ้น ให้ดวงตากลมโตคู่นั้นสุกสกาวขึ้นไปอีก
ถึงตอนนั้นเฝิงเจี่ยนคงไม่มีหน้าจะอยู่ที่นี่ต่อ แล้วเสี่ยวหมี่ก็คงหันมามองเขาบ้าง
คิดได้เช่นนี้เืลมก็ยิ่งสูบฉีด เขาสับขาอย่างไม่คิดชีวิต ไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าตนออกห่างจากกลุ่มมามากเกินไปแล้ว
เหมือนว่าจิ้งจอกขาวตัวนั้นเองก็เหนื่อยแล้วเช่นกัน จึงเอาแต่หันมามองเสี่ยวเตาไม่หยุด ดวงตาคู่นั้นดูดุร้าย มันสะบัดศีรษะกลับไปมองทางข้างหน้าอย่างโกรธเกรี้ยว
เสี่ยวเตาไม่หยุดฝีเท้า หยิบลูกศรที่สะพายหลังไว้ออกมาเตรียมจะปลิดชีพจิ้งจอกตรงหน้าได้ทุกเวลา ให้ดีควรบังคับให้ลูกศรยิงเข้าไปที่ดวงตาของมัน เช่นนี้ขนที่ได้ก็จะงดงามปราศจากรอยด่างพร้อยหรือรอยแหว่ง
แต่จู่ๆ จิ้งจอกตัวนั้นก็หยุดลงหน้าปากถ้ำแห่งหนึ่ง ถ้ำนั้นค่อนข้างลึก อาศัยแสงแดดยามโพล้เพล้ไม่อาจเห็นได้ชัดว่าด้านในมีอะไรอยู่
เสี่ยวเตาเขยิบเข้าไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง พยายามอาศัยทักษะการดมกลิ่นเพื่อแยกแยะ จู่ๆ จิ้งจอกตัวนั้นก็ปล่อยกลิ่นออกมา สายลมที่ซุกซนรีบพัดกระจายมันไปทั่วทุกทิศทาง เสี่ยวเตารีบปิดจมูกทันที ตอนที่คิดจะยกธนูขึ้นมาอีกครั้ง ก็หาจิ้งจอกตัวนั้นไม่เจอแล้ว
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามันแอบเข้าไปในถ้ำ
หากเป็ยามปกติเสี่ยวเตาคงต้องดูลาดเลาก่อน แต่ยามนี้ชัยชนะอยู่แค่เอื้อม ทำให้เขาวู่วามเกินไป
หากว่าถ้ำนี้เป็รังของจิ้งจอกขาว ไม่แน่เขาอาจจะล่ากลับไปได้มากกว่าหนึ่งตัว
เสี่ยวเตาค่อยๆ เดินลึกเข้าไปในถ้ำโดยมีท่อนไม้แตะนำทาง ถ้ำลึกจนแสงยามสนธยาส่องไปไม่ถึง
“โฮก!”
เสียงคำรามดังออกมาจากถ้ำ สั่นะเืไปทั้งป่า
นี่คือเสียงคำรามของเสือ าาแห่งป่าผืนนี้
เสี่ยวเตามองเสือสองตัวที่ประกบหน้าหลัง มือที่ขึ้นสายธนูอยู่สั่นระริก หากไม่มีผนังถ้ำอันเย็นเฉียบช่วยค้ำไว้เขาน่าจะล้มลงไปกองกับพื้นแล้ว
เขาเกิดในตระกูลนายพรานก็จริง แต่ยังไม่เคยได้ยินว่ามีใครล่าเสือ แม้แต่ท่านปู่สกุลลู่ที่มีชื่อเสียงไปทั่วอันโจวคนนั้น ก็ยังแค่ล่าหมีดำเท่านั้นเอง
เชิงอรรถ
[1] หมีลู่(麋鹿)กวางปักกิ่ง หรือ กวางเดวิด เป็สัตว์อนุรักษ์สำคัญของจีน โดยสัตว์ชนิดนี้ มีหัวเหมือนม้า เขาเหมือนกวาง กีบเหมือนวัว และหางเหมือนลา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้