หลังจากฟังรายงานของขันทีตัวน้อย ฮองเฮาที่อารมณ์เสีย และมีอารมณ์ซับซ้อน ในที่สุดก็รู้สึกตัวจากภวังค์ของนาง
ฮองเฮาขมวดคิ้วเล็กน้อย นางไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น?
สิ่งที่ยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้ทำออกมาเมื่อครู่ หากเป็การปกปิดลมหายใจของตนก็ช่างมันเถอะ
แม้นางจะภูมิใจในความสงบและความอดทนของตน แต่เพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำของยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้ กลับทำให้อารมณ์ของนางสูญเสียการควบคุมไป
นางมีความรอบรู้ในทักษะการสนทนาและกลวิธีทางจิตวิทยาประเภทนี้มาโดยตลอด นางไม่เคยสูญเสียการควบคุมหรือล้มเหลว
อย่างไรก็ตาม วันนี้นางอารมณ์เสียต่อหน้ายายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้ สิ่งนี้ทำให้หน้าของนางกลายเป็เช่นไร?
ทั้งยังยอมปล่อยให้ยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้พูดเื่เก่าๆ โดยไม่รู้ตัว ฐานะมารดาแห่งแผ่นดินของนางถูกวางไว้ที่ใดกัน?
นี่มันจริงๆ เลย...ทำให้คนรู้สึกเกินจะทนได้อย่างแท้จริง!
หัวใจของฮองเฮาเต็มไปด้วยเพลิงแห่งความโกรธ จนหายใจกระหืดกระหอบ แต่นางรู้ว่าไม่จำเป็ต้องรีบร้อน ยายเด็กหน้าเหม็นอยากจะล้มนางด้วยคำพูดง่ายๆ เพียงไม่กี่คำหรือ? ช่างคิดเพ้อเจ้อเสียจริง
มู่จื่อหลิงกล่าวถึงเื่เก่าที่ผ่านมาไม่นานนักขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งยังสอนคำที่ยากจะลืมเลือนอีกครั้ง ไม่ใช่ว่ากำลังแบไต๋ [1] ของตนเองออกอยู่หรือ?
กล้าดีอย่างไรมายื่นโถที่แตกแล้วแตกอีก [2] ออกมาต่อหน้านาง!
กล้ามาก! นางอยากจะดูว่ายายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้จะมีความสามารถใช้ไข่มากระทบหิน [3] ได้อย่างไร โดยที่ไข่ไม่บุบสลายไป
เมื่อก้าวเข้าสู่ตำหนักคุนหนิงแล้ว ย่อมไม่มีเหตุให้ยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้ทำตัวไร้ยางอายและไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา
ฮองเฮาตระหนักถึงจุดประสงค์ในการเรียกตัวมู่จื่อหลิงมาในวันนี้ ทั้งยังได้อดกลั้นไว้นานแล้ว...รอไม่ไหวอีกต่อไป เช่นนั้นใช้่เวลาอาหารเย็นวันนี้เป็อย่างไร?
เมื่อตระหนักถึงสิ่งนี้ สีหน้าของฮองเฮาก็ค่อยๆ อ่อนโยนลงและกลับมาดูรักใคร่อีกครั้ง นางพูดเบาๆ ว่า “มืดแล้ว เหตุใดคืนนี้หลิงเอ๋อร์ไม่อยู่ทานอาหารเย็นกับแม่ก่อนเล่า?”
แม้ว่าฮองเฮาจะพูดเื่นี้กับมู่จื่อหลิง แต่ดวงตาของนางกลับเหลือบมองที่มู่จื่อหลิงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ด้วยไม่กล้าที่จะหยุดจ้องมองแม้สักครู่หนึ่ง
เนื่องจากฮองเฮายังคงมีอาการใจสั่นอยู่บ้างต่อดวงตาใสซื่อของมู่จื่อหลิง จากสายตาของฮองเฮานั้นมันราวกับสิ่งที่จะเข้ามาจับิญญาของนาง ทำให้คนตื่นตระหนกได้โดยตรง
ทันทีที่ฮองเฮาพูดคำเหล่านี้ หลงเซี่ยวเจ๋อก็ลูบคางและมองไปทางมู่จื่อหลิงด้วยความสนใจ
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าในใจของมู่จื่อหลิงมีความคิดหรือแผนการใดอยู่ แต่มู่จื่อหลิงเคยบอกเขาก่อนหน้านี้แล้วว่าวันนี้จะเป็อาหารที่อร่อยที่สุดที่เขาเคยกินในวังหลวง เขาจึงตั้งตารอ!
แม้ว่าวันนี้จะไม่มีฮองเฮา ตราบใดที่มู่จื่อหลิงรับประทานอาหารกับเขา หลงเซี่ยวเจ๋อก็รู้สึกว่าอาหารในวังนั้นอร่อย
ฮองเฮาสามารถบรรเทาความโกรธอันไม่รู้จบในใจของนางได้ในเวลาอันสั้น แน่นอนว่ามันคู่ควรกับตำแหน่งผู้อยู่ใต้ผู้เดียว ทว่าอยู่เหนือคนนับหมื่นอย่างแท้จริง
ทั้งการนิ่งสงบและการอดกลั้น รวมทั้งความนึกคิดและกลอุบายเช่นนี้ช่างน่ากลัวจริงๆ
อย่างไรก็ตาม ภูผาสูงยังมีที่สูงกว่า ทุกสิ่งล้วนมีข้อยกเว้นบางประการอยู่เสมอ
ฮองเฮาถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน แต่ด้วยอำนาจที่มีแล้วจึงไม่อาจปฏิเสธได้
แน่นอนว่ามู่จื่อหลิงไม่คิดที่จะปฏิเสธอยู่แล้ว นางเพียงพยักหน้าอย่าง ‘น่ารักน่าเอ็นดู’ เท่านั้น “ได้”
มู่จื่อหลิงไม่ได้พูดคำที่สุภาพเป็พิเศษแม้แต่คำเดียว
แม้ว่าในเวลานี้ฮองเฮาจะใจดีพอที่จะปล่อยนางไป แต่ก็ยังไม่อาจปล่อยไปได้ ด้วยทุกสิ่งล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ของนาง
ฮองเฮาพยักหน้า รอยยิ้มอ่อนๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง มันเป็รอยยิ้มที่อ่อนโยน แต่ลึกลงไปในดวงตาเยือกเย็นคู่นั้น มันเป็การเยาะเย้ยที่เยือกเย็นและชั่วร้าย
ในสายตาของผู้อื่น ฮองเฮาในยามนี้ยังคงสง่างาม อ่อนโยน และใจดี
แต่ยามนี้ มันสายเกินไปแล้วที่ฮองเฮาจะหลบซ่อนจากสายตาของมู่จื่อหลิง ทั้งยังไม่อาจจ้องมองนางได้อีกแล้ว ดังนั้นดวงตาของมู่จื่อหลิงจึงจ้องมองไปยังฮองเฮาอย่างไม่เกรงกลัวโดยไม่ลังเล
มู่จื่อหลิงมองไปที่ฮองเฮาด้วยรอยยิ้ม และมีการเยาะเย้ยอย่างไม่ปิดบังในดวงตาของนาง
นางเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่ฮองเฮากำลังคิดอยู่ในยามนี้ และดูเหมือนว่าทุกความรู้สึกของฮองเฮานางจะสามารถรับรู้มันได้จากการมอง
แม้ว่าฮองเฮาจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อรักษารูปลักษณ์ที่มีคุณธรรมและเปี่ยมด้วยความรัก แต่หัวใจของนางก็เต็มไปด้วยความโกรธ และมันส่งผลต่อใบหน้าที่อ่อนโยนนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้นั้แ่ต้นจนถึงบัดนี้ พระพักตร์ของฮองเฮาจึงเปลี่ยนแปลงไปมาเหมือนจานสี
ั้แ่แรกเริ่มจนถึงในยามนี้ มู่จื่อหลิงมองเห็นแววตาที่งุนงง ทั้งยังไม่เต็มใจรับความพ่ายแพ้ของฮองเฮา...จนถึงยามนี้ นางยังคงเยาะเย้ยอย่างนุ่มนวลและแน่วแน่
ทุก่เวลาของการเปลี่ยนแปลง มู่จื่อหลิงมองเห็นมันในสายตาของฮองเฮาและมีความสุขอยู่ในใจ
ฮองเฮาที่รัก จงทะนุถนอม่เวลาสุดท้ายเล็กๆ น้อยๆ นี้เพื่อภาคภูมิใจในตนเองไปเถิด รอเมื่อเ้าไปถึงโต๊ะอาหาร...เวลาที่เหลือของเ้าในวันหน้าจะมีเพียงความเสียใจ และเ้าจะต้องใช้มันอย่างเชื่อฟัง ทั้งยังไม่มีวันลืมมันได้ตลอดกาล
“ชิวเหลียนอยู่ก่อน คนอื่นถอยออกไปได้” ฮองเฮาโบกมือและส่งสัญญาณให้นางกำนัลและขันทีออกไปก่อน เหลือนางกำนัลเพียงผู้เดียวที่อยู่รับใช้นาง
“เพคะ เหนียงเหนียง” นางกำนัลและขันทีค่อยๆ ถอนตัวออกไป
สำหรับความกระตือรือร้นของฮองเฮาที่ส่งขันทีและนางกำนัลออกมานั้น มู่จื่อหลิงแอบกล่าวในใจว่า นี่คือสิ่งที่ข้า้า
ในเวลานี้ ฮองเฮากำลังคิดหาวิธีทรมานมู่จื่อหลิง แต่นางไม่ได้สังเกตเลยว่ามู่จื่อหลิงผู้ซึ่งพูดจาฉะฉานเมื่อครู่นี้ ในยามนี้กลับดูเชื่อฟังมากจนผิดสังเกต
อย่างไรก็ตาม จากมุมมองของฮองเฮา การรับปากของมู่จื่อหลิงที่ออกมาอย่างง่ายดายนั้น มันช่วยนางได้มาก
ดูเหมือนว่ามู่จื่อหลิงจะตกลงอย่างง่ายดายจนเกินไป มุมปากของฮองเฮาก็ยกขึ้นเล็กน้อย ราวกับว่าอารมณ์มัวหมองหายไปแล้ว
นางหันมาส่งยิ้มบางๆ “เซี่ยวเจ๋อไม่ได้ไปเข้าเฝ้าเสด็จย่าที่ตำหนักโซ่วอันมานานมากแล้ว นางพูดถึงเ้าทุกวี่วัน หาได้ยากนักที่เ้าจะอยู่ในวัง ยังไม่สายมากนัก ยามนี้เ้าลองไปตำหนักโซ่วอันดูเป็อย่างไร”
ฮองเฮาทรงสนับสนุนอย่างโจ่งแจ้ง แม้แต่คนโง่ยังรู้ว่ามีเื่ใด
เมื่อได้ยินคำพูดนี้หลงเซี่ยวเจ๋อก็ชะงักไปในทันที
เมื่อครู่นี้มู่จื่อหลิงทำให้ฮองเฮาโกรธเคืองเป็อย่างมาก และยามนี้ฮองเฮากำลังเตรียมจัดงานเลี้ยงหงเหมิน หลงเซี่ยวเจ๋อจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าฮองเฮากำลังจงใจพยายามกันเขาออกไป
เขาย่อมต้องเชื่อว่ามู่จื่อหลิงสามารถรับมือกับมันได้ ดังนั้นเขาจึงไม่กังวลเลยว่ามู่จื่อหลิงจะได้รับความคับข้องใจใดๆ
แต่ถึงแม้เขาจะไม่กังวล เขาก็จะไม่ไปเช่นกัน การแสดงนี้ยังสนุกได้แค่ครึ่งเดียว และแน่นอนเขา้ารับชมั้แ่ต้นจนจบ อีกทั้งเขายังทนหิวมานานหลายวัน ท้องของเขายังไม่อิ่มเลย
หลงเซี่ยวเจ๋อลุกขึ้นยืนในทันที ก่อนแสร้งทำเป็เสียใจ “เสด็จแม่ ได้เวลาอาหารแล้ว เหตุใดท่านจึง้าขับไล่ข้าออกไป”
ไม่รอให้ฮองเฮาได้เอ่ยคำ หลงเซี่ยวเจ๋อก็นิ่วหน้าลงอย่างไม่พอใจอีกครั้ง และกล่าวว่า “ยิ่งไปกว่านั้น ไม่เคยมีผู้ใดไปขอเข้าเฝ้าในยามค่ำคืน”
จะเล่นตลกอันใด การแสดงที่หายากเช่นนี้ เขายังดูมันไม่พอเลย เขาจะจากไปได้อย่างไร
นอกจากนี้ เขาดูสนิทสนมกับไทเฮาเฒ่าผู้นั้นมากหรือ? เขาโตถึงเพียงนี้แล้ว เว้นแต่ยามต้องไปคารวะไทเฮาสองสามครั้งในยามที่เขายังเป็เด็กแล้ว เขาก็ไม่เคยไปที่นั่นอีกเลย
ฮองเฮาตรัสอย่างอดทนว่า “ข้าจะขับไล่เ้าออกไปได้อย่างไร? เพียงแต่เ้าไม่ได้อยู่ในวังบ่อยนัก เสด็จย่าของเ้าทรงตรัสถึงเ้ามาสองสามวันแล้ว นั่นเป็เหตุผลที่แม่ขอให้เ้าเข้าไปคารวะนาง”
“เสด็จแม่ ไม่อยากให้ข้าร่วมเสวยอาหารเย็นกับท่านหรือ?” หลงเซี่ยวเจ๋อแสร้งทำเป็เศร้าใจ แต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะลอบกลอกตา
ชิ! ไทเฮาเฒ่าจะพูดถึงเขาได้หรือ? เป็เช่นนั้นจริงคงเกิดเื่แปลกประหลาดแล้ว
ฮองเฮา้าให้เขาจากไป แต่นางไม่อาจหาเหตุผลที่เหมาะสมได้ จึงขอให้เขาไปเข้าเฝ้าไทเฮาเฒ่า นอกจากนี้เขาเกรงว่าหากเขาไปเข้าเฝ้าจริงๆ หญิงชราจะอายุสั้นลงเสียเปล่าๆ
“ไร้สาระ แม่จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร...” ฮองเฮากำลังจะดุ แต่กลับถูกหลงเซี่ยวเจ๋อขัดจังหวะอีกครั้ง
“ใช่ ท่านไม่ชอบให้ข้าร่วมโต๊ะเสวยกับท่านเป็แน่ ไม่อย่างนั้นท่านจะไม่ขับไล่ข้าออกไปในเวลาอาหารเช่นนี้ ท่านเชิญเพียงพี่สะใภ้สามมาเท่านั้น ไม่ได้อยากเชิญข้ามา เสด็จแม่ทรงลำเอียง” หลงเซี่ยวเจ๋อลืมตาขึ้นแล้วพูดเื่ไร้สาระ พูดออกมาด้วยท่าทางตื่นตระหนกโดยไม่เว้น่ ไม่แม้แต่จะหายใจ
“วันนี้ที่แม่เชิญพี่สะใภ้สามของเ้ามา เป็เพราะมีเื่ของหญิงสาวที่ต้องพูดคุยกัน เ้าลองบอกมาว่าชายหนุ่มเช่นเ้าจะอยู่ฟังด้วยเหตุใด?” เห็นได้ชัดว่าฮองเฮาเต็มไปด้วยอารมณ์และยืนกรานให้หลงเซี่ยวเจ๋อจากไป
อย่างไรก็ตาม นางไม่รู้ว่านางกำลังเผชิญหน้ากับสิ่งที่ยากที่สุด ด้วยหลงเซี่ยวเจ๋อนั้นช่างเ้าเล่ห์
“ไม่สน อย่างไรข้าก็ไม่ไป” หลงเซี่ยวเจ๋อไม่ยอมไป ทำตัวเหมือนเป็เด็กเอาแต่ใจ ก่อนจะลุกขึ้นไปกอดเสาข้างกายตนทันที
มุมปากของมู่จื่อหลิงกระตุกเล็กน้อย นางส่ายหัวอย่างอดไม่ได้
ฮองเฮาผู้เปี่ยมเมตตาผู้นี้กำลังหาเื่ใส่ตัวไม่ใช่หรือ?
วันนี้หลงเซี่ยวเจ๋อยากที่จะสงบลง ใน่เวลาแห่งความสนุกนี้ เขาต้องจุดไฟให้ปะทุออกมาอย่างต่อเนื่อง
ทันทีที่พูดออกมาคำหนึ่ง หลงเซี่ยวเจ๋อก็มีหลายสิบคำรออยู่
เพียงการทานอาหารให้อิ่มเท่านั้น ยังต้องทำให้มันลึกลับมากถึงเพียงนี้ ทำให้อาหารมื้ออร่อยนี้ดูราวกับที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง [4]
แต่มู่จื่อหลิงกลับไม่เข้าใจความตั้งใจที่แท้จริงของฮองเฮาที่้าให้หลงเซี่ยวเจ๋อจากไป
ด้วยในมุมมองของฮองเฮา หลงเซี่ยวเจ๋อเป็คนที่ไม่ได้ความที่สุดในบรรดาองค์ชายทั้งหมด
หลงเซี่ยวเจ๋อใช้เวลาทั้งวันด้วยการไม่ทำอะไรเลยนอกจากมีปัญหาในวังหลัง สร้างปัญหาและเพิ่มงานให้กับนาง
อย่างไรก็ตาม ฮ่องเต้กลับทำเพียงเพิกเฉยต่อสิ่งที่เขาทำและบางครั้งถึงกับยอมให้เขาทำสิ่งสุ่มๆ ในวัง อาจกล่าวได้ว่าทุกคนกลัวอันธพาลตัวน้อยที่สร้างปัญหาไปทั่วผู้นี้
แม้ว่าหลงเซี่ยวเจ๋อกับหลงเซี่ยวอวี่จะอยู่ฝ่ายเดียวกัน แต่ฮองเฮาก็ไม่สนใจหลงเซี่ยวเจ๋อแม้แต่น้อย ด้วยในความเห็นของนาง หากหลงเซี่ยวเจ๋อมาเสนอหน้าต่อหน้านางน้อยลง นางก็พร้อมที่จะจุดเครื่องหอมบูชาพระพุทธอมิตาภะ [5] แล้ว
อาหารเย็นวันนี้สำคัญมากสำหรับฮองเฮา นางจะไม่มีวันยอมให้หลงเซี่ยวเจ๋อสร้างปัญหาให้กับนาง
“เชื่อฟังเถิด แม่มีเื่บางอย่างกับพี่สะใภ้สามของเ้า หากเ้าอยากมาที่ตำหนักคุนหนิง จากนี้ไปเ้าสามารถมาได้ทุกเมื่อ” ฮองเฮามองหลงเซี่ยวเจ๋อด้วยอาการปวดหัวและหมดหนทาง ยังดีที่คนผู้นี้ ไม่ใช่บุตรชายของนาง
มู่จื่อหลิงเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นได้กลายเป็ทางตัน จึงจะช่วยพูดบางอย่าง
ผู้ใดจะไปรู้ โดยที่นางไม่ต้องพูด หลงเซี่ยวเจ๋อก็ได้กล่าวคำพูดที่ร้ายแรงอย่างมากออกมา
“เสด็จแม่ เพียงอาหารมื้อเดียวท่านก็ไม่ยอมให้ข้าร่วมโต๊ะด้วย เมื่อครู่พี่สะใภ้สามบอกว่าท่านมีเหตุผล อ่อนโยน ใจดีและมีคุณธรรม ทั้งยังสง่างามและมีน้ำใจ” หลงเซี่ยวเจ๋อเม้มริมฝีปากของเขาแกล้งทำเป็ว่ากำลังผิดหวัง
ความหมายก็คือหากวันนี้เขาไม่ได้รับอนุญาตให้ร่วมโต๊ะ ฮองเฮาก็จะกลายเป็ผู้ไม่มีเหตุผลและไม่ใช่มารดาที่ดี
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หัวใจของมู่จื่อหลิงก็สั่นสะท้านจากการกลั้นหัวเราะ หลงเซี่ยวเจ๋อเด็กคนนี้ช่างน่าเหลือเชื่อเหลือเกินที่เขาสามารถโรยเกลือลงบนาแ [6] ของผู้อื่นได้
ฮองเฮาสำลักลมในทันใด ความโกรธที่ยากจะอธิบายในใจของนางเริ่มสูงขึ้นอีกครั้ง
มู่จื่อหลิงเพียงผู้เดียวก็เพียงพอแล้วสำหรับนาง แต่ยามนี้หลงเซี่ยวเจ๋อกำลังปิดกั้นนางด้วยคำพูดที่เฉียบคม ซึ่งมันช่างน่าหงุดหงิดใจจริงๆ
มู่จื่อหลิงเตือนด้วยความกรุณา “เสด็จแม่ หากเขา้าที่จะอยู่ ก็ปล่อยให้เขาอยู่ และหากยังเป็เช่นนี้ต่อไป อาหารจะเย็นเสียหมดนะเพคะ”
ฮองเฮาสามารถกล่าวได้ว่าวันนี้เป็วันที่น่ารำคาญที่สุด และนางถูกขัดโดยผู้น้อยถึงสองคน
“ช่างเถอะ หากเ้าอยากอยู่ก็อยู่ไป” ฮองเฮาโบกมืออย่างเป็กันเอง แล้วจึงให้ชิวเหลียนช่วยประคองนางยืนขึ้น “ไป”
ยามนี้ยังทำอะไรได้อีก? หากเป็เช่นนี้ต่อไป ไม่เพียงแต่อาหารจะเย็นลงเท่านั้น แต่จะกินได้หรือไม่นั้นคือปัญหา แล้วแผนของนางจะเป็อย่างไร?
จะดีกว่าหากหลงเซี่ยวเจ๋อไม่สร้างปัญหา ไม่เช่นนั้น แม้ว่าฮ่องเต้จะทรงเอาใจเขา แต่นางก็จะไม่ยินยอม
มองดูแผ่นหลังที่แสดงถึงการหมดแล้วซึ่งความอดทนของฮองเฮา มู่จื่อหลิงก็ยิ้มและยกนิ้วให้หลงเซี่ยวเจ๋อ แสดงถึงการชื่นชมว่าเขายอดเยี่ยม
คนด้านหลังยิ้มเยาะ เลิกคิ้วขึ้น เชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ และยอมรับคำชมของมู่จื่อหลิงอย่างมีความสุข
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] แบไต๋ (摊牌) คำอุปมา มีความหมายว่าเปิดเผยสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดของเื่ให้อีกฝ่ายทราบ หรือการเปิดเผยให้เห็นถึงรายละเอียด
[2] โถที่แตกแล้วแตกอีก (破罐子破摔) เป็คำอุปมา มีความหมายว่าจงใจพัฒนาไปในทิศทางที่แย่ลง หรือปล่อยให้มันดำเนินไปโดยไม่แก้ไขหลังจากมีข้อบกพร่อง ข้อผิดพลาด หรือความพ่ายแพ้
[3] ใช้ไข่มากระทบหิน (拿着鸡蛋碰石头) เป็คำอุปมา มีความหมายว่าไม่ประมาณตนเองหรือไม่เจียมตัว เทียบสำนวนไทยใกล้เคียงกับไม้ซีกงัดไม้ซุง
[4] ที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง (此地无银三百两) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่าอยากปกปิดซ่อนเร้น กลับกลายเป็เปิดเผยให้โลกรู้
[5] พระพุทธอมิตาภะ (哦弥陀佛) เป็ชื่อของพระ เป็พระพุทธเ้าที่ประดับในดินแดนสุขาวดี ์ทิศตะวันตก คนจีนมักกล่าวชื่อท่านเพื่อเป็การรำลึกถึงและเชื่อว่าจะนำิญญาของตนเองไปพบเจอท่านได้
[6] โรยเกลือลงบนาแ (伤口上撒盐) เป็คำอุปมา มีความหมายว่าทำให้ความเ็ปรุนแรงขึ้นโดยเจตนา หรือเปลี่ยนว่าเข้าไปซ้ำเติม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้