แสงภายในห้องมืดสนิท มู่หรงอวี้เอนพิงอยู่กับหมอนใบใหญ่ ดวงตาทั้งสองปรือลงน้อยๆ สีเขียวคล้ำบนใบหน้าจางลงบ้างแล้ว เพียงแต่ดวงหน้ายังคงขาวซีด
ขนตาของเขาขยับเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยปากถาม “องค์รัชทายาทคาดเดาได้ว่าคุณชายชุดทองเป็องค์ชายสามของแคว้นหนานเยว่?”
กุ่ยหยิงตอบกลับ “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ที่บังเอิญก็คือ มู่หรงอวี้เองก็คาดเดาถึงฐานะของคุณชายชุดทองได้เช่นกัน เพียงแต่เขาคิดว่าบางทีอาจจะยังมีความเป็ไปได้อื่นอีก
ความสามารถในการคาดเดาของนางไม่มีใครเทียบได้จริงๆ
“คนสกุลเยว่ที่เหลือที่จับได้มาจะจัดการอย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ?” กุ่ยหยิงมองท่านอ๋อง ใบหน้าของท่านอ๋องเต็มไปด้วยความพึงพอใจ คิดไปแล้วท่านอ๋องก็คงจะพอใจกับสิ่งที่องค์รัชทายาททำพอสมควร
“ลงโทษสถานหนักเพื่อเค้นถามพวกเขาว่าเยว่จิ่งเฉินส่งอาวุธลับของกองทัพตรวจสอบอาวุธกลับไปยังแคว้นหนานเยว่แล้วหรือไม่” ดวงตาของมู่หรงอวี้วาววับ แววตาลึกลับซ่อนเร้น
“เื่นี้ยังต้องเค้นถามอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ? เยว่จิ่งเฉินตอนที่ได้อาวุธลับไปก็คงจะรีบส่งกลับแคว้นในทันที”
“เยว่จิ่งเฉินไม่มีรากฐานที่แคว้นหนานเยว่ ทั้งยังไม่มีคนที่เชื่อถือได้ เขาจะส่งอาวุธลับกลับไปแล้วปล่อยให้ผู้อื่นได้หน้าไปได้อย่างไร? ความดีความชอบยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ เขาย่อมต้องนำไปถวายแก่ฮ่องเต้แคว้นหนานเยว่ด้วยตนเอง เพื่อจะได้รับความชื่นชมจากฮ่องเต้หนานเยว่”
“ที่ท่านอ๋องพูดนั้นถูกต้อง กระหม่อมรู้แล้วว่าจะต้องทำอย่างไร”
“เอาหัวของเยว่จิ่งเฉินกับศพคนของตระกูลเยว่ส่งไปที่แคว้นหนานเยว่ ให้ฮ่องเต้ของหนานเยว่ดูด้วยตาตัวเอง”
มู่หรงอวี้กระพริบตาน้อยๆ หางตาเจือความร้ายกาจแสดงถึงความสามารถในการโจมตีจิตใจได้อย่างน่าครั่นคร้าม
หัวใจของกุ่ยหยิงพลันกระตุก ตอบรับด้วยความหวาดหวั่น “กระหม่อมจะไปจัดการตามรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงอวี้พูดขึ้นอีก “เื่ที่เปิ่นหวางฟื้นแล้วให้เก็บไว้เป็ความลับก่อน อย่าเพิ่งแพร่งพรายออกไป”
กุ่ยหยิงรับคำสั่งแล้วจากไป แต่ขบคิดจนสมองแทบแตกก็ไม่เข้าใจ เหตุใดท่านอ๋องไม่ยอมให้ผู้ใดรู้ว่าเขาฟื้นขึ้นมาแล้วเล่า?
ทางด้านองค์รัชทายาท แน่นอนว่าไม่อาจส่งคนไปรายงานได้แล้ว
นอนมานานถึงเพียงนั้น มู่หรงอวี้ไม่มีความรู้สึกง่วงหลงเหลือแม้แต่นิด ลืมตาย้อนกลับไปคิดเื่ราวที่บึงเสวียนเยว่ ทั้งเสียงและรอยยิ้มของนางย้อนกลับเข้ามาในหัว บรรยากาศที่อ่อนโยนอ่อนหวานย้อนมาทีละฉาก...มุมปากของเขาแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยนอ่อนหวาน เต็มไปด้วยความรัก เฝ้ารอคอยปฏิกิริยาของนางในวันพรุ่งนี้...
่สายของวันต่อมา เป็อย่างที่คิด มู่หรงฉือรีบร้อนมาถึงจวนอวี้หวาง
ั้แ่เช้านางก็ได้รับข่าวจากคนที่กุ่ยหยิงส่งมาบอกว่าอาการาเ็ของมู่หรงอวี้มีการเปลี่ยนแปลง
ตอนที่นางกำลังจะเข้าไปในห้องบรรทมก็เห็นหมอประจำจวนออกมา นางจึงรีบถามด้วยความร้อนใจ “ท่านอ๋องเป็อย่างไรบ้าง? อาการาเ็แย่ลงหรือ? หรือว่าพิษเข้าสู่หัวใจ?”
“เตี้ยนเซี่ย อาการาเ็ของท่านอ๋องคงที่ เพียงแต่ว่า...ยังไม่สามารถถอนไอพิษออกมาได้ อาการจึงไม่นับว่าดีได้” หมอประจำจวนพูดออกมาอย่างหนักใจ
“เช่นนั้นไอพิษเข้าสู่หัวใจแล้วใช่หรือไม่?” นางถามอย่างกังวล
“ประมาณนั้นพ่ะย่ะค่ะ” หมอประจำจวนรู้สึกลิ้นพันกันเสียแล้ว ดวงตาทอประกายไม่กล้าสบตากับนาง
มู่หรงฉือเพียงคิดว่าเขาคงกังวลว่าจะถูกลงโทษถึงได้ลนลาน ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านั้น นางเรียกฉินรั่วมาแล้วออกคำสั่ง “เ้ารีบไปตามหมอหลวงเสิ่นมา”
ฉินรั่วรับคำสั่งแล้วรีบจากไป มู่หรงฉือรีบร้อนเข้าไปในห้อง นางกำนัลสองคนถอยออกไปเงียบๆ
ห้องบรรทมขนาดใหญ่เงียบเชียบราวกับตาย มู่หรงอวี้นอนอยู่บนเตียง ดวงหน้าซีดขาวจนน่าใ ไม่มีสัญญาณแห่งการมีชีวิตอยู่แม้แต่ครึ่ง หากไม่ใช่ว่าเขายังมีลมหายใจอยู่ นางคงจะคิดว่าเขาตายไปแล้ว ไม่อาจตื่นขึ้นมาได้อีกตลอดกาล
นางนั่งอยู่ริมเตียง สองมือกุมมือใหญ่ของเขาเอาไว้ มองบุรุษที่นอนหลับไม่ฟื้น คิดถึงมือที่มักจะฉวยโอกาสกุมมือนางอยู่บ่อยๆ คิดถึงบุรุษที่มักตอแยนางอย่างเอาแต่ใจ คิดถึงบุรุษที่วางแผนลงมืออย่างหมดจดคนนั้น...หว่างคิ้วของนางพลันเ็ปขึ้นมา น้ำตาไหลเอ่อเต็มขอบตา
มู่หรงอวี้รู้สึกถึงของเหลวอุ่นร้อนที่ร่วงหล่นลงบนมือ รู้ว่านางร้องไห้เสียแล้ว ความรู้สึกมากมายร้อยเรียงเข้าด้วยกัน ในอกความรู้สึกดีใจ สงสาร ใผสมปนเปเข้าด้วยกัน
ถึงแม้ไม่อาจหักใจให้นางเสียใจได้ แต่เขาไม่อาจยอมให้ตนเองต้องขาดทุน
มู่หรงฉือฝืนหยุดน้ำตา เขายังไม่ตายเสียหน่อย เหตุใดนางจะต้องร้องไห้?
อีกอย่าง เขาคือศัตรูตัวฉกาจของนาง เหตุใดนางจะต้องเสียใจด้วย? นางไม่ใช่ว่าควรจะต้องดีใจจนกู่ร้องหรือ?
แต่นางกลับไม่อาจสะกดความกังวลและความเสียใจที่อยู่ลึกๆ ข้างในได้...
“หากท่านตายไปเช่นนี้ หลังจากเปิ่นกงขึ้นครองราชย์จะหาบุรุษมาปรนเปรอ แล้วหาความสุขกับเขาทุกคืน”
“เปิ่นกงรู้ว่าท่านตามคนผู้หนึ่งมาโดยตลอด ความจริงแล้วเปิ่นกงรู้ว่านางคือผู้ใด รู้ว่านางอยู่ที่ไหน ขอเพียงท่านหายดีขึ้นมา เปิ่นกงจะบอกท่าน”
“มู่หรงอวี้ หากท่านตายไป ท่านก็แพ้แล้ว เปิ่นกงจะทำหลุมศพให้ท่านอย่างดี แต่ว่าตระกูลของท่านจะไม่อาจเป็ขุนนางได้ตลอดไป”
นางพูดเสียงแหบพร่า ถึงแม้จะแสร้งทำเป็แข็งแกร่ง แต่น้ำเสียงกลับน่าสงสารจนทำให้คนใจอ่อน
มู่หรงอวี้พูดเสียงเย็น “เ้าเอาบุรุษมาปรนเปรอกี่คน เปิ่นหวางจะฆ่าพวกมันทุกคน!”
มู่หรงฉือชะงักไป น้ำเสียงเผด็จการเอาแต่ใจนี้ เขากำลังพูดอยู่อย่างนั้นหรือ?
เขาลืมตาขึ้น พยายามจะลุกขึ้นมา นางรีบเข้าไปประคองเขาพลางพูดอย่างยินดี “ท่าน...เหตุใดจู่ๆ ถึงฟื้นขึ้นมาได้?”
เช่นนั้นสิ่งที่นางเพิ่งจะพูดไปเมื่อครู่ เขาก็ได้ยินทั้งหมดหรือ?
เขาดึงนางเข้ามาใกล้ จับคางเรียวสวยของนาง ดวงตาดำหรี่ลงอย่างอันตราย “เ้ากล้าเอาบุรุษมาปรนเปรอหรือ?”
“มีอันใดไม่กล้าเล่า? อีกอย่างเื่นี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับท่าน...อื้อๆ...”
จู่ๆ เขาก็จับหลังคอของนางก่อนจะดึงนางเข้ามาแล้วประทับจูบลงบนริมฝีปาก
การกระทำที่เอาเปรียบอย่างเกินความคาดหมายนี้ทำเอานางวางมือเท้าไม่ถูก ร่างทั้งร่างพาดอยู่บนตัวของเขาไม่อาจหลบหลีกได้ ทั้งยังไม่กล้าออกแรงขัดขืน จึงได้แต่ยอมให้เขารังแก
มู่หรงอวี้จุมพิตลงบนกลีบปากอันอ่อนนุ่มของนางอย่างร้อนแรง ดูดดึงอย่างหอมหวาน ทั้งอ่อนโยนและดุดันรุกเร้าพัวพันไปตลอด ทว่ากลับหลอมรวมเป็หนึ่งเดียวกันได้อย่างน่าประหลาด ในความอ่อนโยนแฝงไว้ด้วยความแข็งกร้าวอยู่หลายส่วน ในความร้อนแรงซุกซ่อนความอ่อนโยนเอาไว้อีกหลายส่วน ทำให้หัวใจของนางสั่นไหว
มู่หรงฉือผลักเขาออกอย่างแรง ตีลงไปบนบ่าของเขาด้วยความโมโห “ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“ซี๊ด...”
เขาสูดปาก คิ้วขมวดเข้าหากันราวกับได้รับความเ็ปเป็อย่างมาก
นางรู้ว่าตนเองตีลงไปบนาแที่ได้รับาเ็ของเขา จึงรู้สึกผิดอยู่เล็กน้อย “เปิ่นกง...ไม่ได้ตั้งใจ...”
เขากุมมือของนาง นางออกแรงดึงมือหนีแล้วไปนั่งไกลออกไปเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงเย็น “ท่านฟื้นขึ้นมานานแล้วใช่หรือไม่?”
“เป็อะไรไป?” มู่หรงอวี้มองนาง ท่าทางเ็าดูแล้วไม่เหมือนท่าทางใน่สองสามวันนี้แน่นอน
“ในเมื่อท่านอ๋องฟื้นแล้ว เช่นนั้นก็มาคุยเื่งานกันเถิด” มู่หรงฉือตีหน้าเ็า ‘ที่แม้แต่มีดก็ยังฟันไม่เข้า’ ออกมา ถามเขาว่าจะจัดการกับศพของเยว่จิ่งเฉินรวมถึงศพของผู้สมรู้ร่วมคิดคนอื่นๆ อย่างไร ยังมีพวกคนที่จับเป็ได้เ่าั้
ตอนที่นางรู้ว่าเขาสั่งให้กุ่ยหยิงเอาศีรษะของเยว่จิ่งเฉินกับศพของคนเ่าั้ส่งไปยังเบื้องพระพักตร์ของฮ่องเต้ของแคว้นหนานเยว่ ก็ถึงกับตกตะลึงไป
เมื่อย้อนคิดดูแล้ว นางยิ่งอดชื่นชมวิธีการโจมตีความแข็งแกร่งทางจิตใจของเขาไม่ได้
ถึงแม้ว่าฮ่องเต้แคว้นหนานเยว่จะไม่ได้ให้ความสำคัญต่อเยว่จิ่งเฉิน แต่ถึงอย่างไรก็เป็บุตรชายของเขา เห็นหัวของบุตรชายตัวเองกับศพอีกมากมาย เขาไม่โกรธสิแปลก การข่มขู่และตักเตือนเช่นนี้ย่อมจะสร้างความสั่นะเืในราชสำนักแห่งแคว้นหนานเยว่ได้อย่างไม่ต้องสงสัย
หัวใจของนางพองโต ในโลกนี้ไม่มีคนผู้ใดอาจหาญกล้าทำเช่นเขา มีเพียงมู่หรงอวี้ถึงจะมีความสามารถในการ ‘ท้าทาย’ แคว้นๆ หนึ่งเช่นนี้
หากเป็ผู้อื่น การทำเช่นนี้จะต้องสร้างความโกรธแค้นให้อีกฝ่ายอย่างแน่นอน เป็ไปได้ว่าจะก่อให้เกิดาระหว่างสองแคว้น
ส่วนเขาที่มีชื่อเสียงว่าเป็ปีศาจแห่งา ถึงอีกฝ่ายอยากจะเปิดศึกระหว่างสองแคว้นก็ยังต้องคิดให้ดีๆ
ในใจของนางนอกจากรู้สึกนับถือแล้วก็มีแต่ความนับถือเท่านั้น
“ศพของเยว่จิ่งเฉินจะจัดการอย่างไร?”
“เก็บเอาไว้ก่อน” มู่หรงอวี้เลิกคิ้วขึ้น “ถึงแม้ฮ่องเต้หนานเยว่จะไม่ให้ความสำคัญกับบุตรชายผู้นี้ แต่ว่าศพขององค์ชายถูกแคว้นอื่นยึดเอาไว้ นับเป็ความอับอายอันยิ่งใหญ่ ฮ่องเต้แคว้นหนานเยว่ย่อมต้องส่งทูตมาเจรจา”
“ตอนนี้พวกเรายิ่งสามารถเรียกร้องมูลค่าศพให้สูงขึ้นได้อีก” มู่หรงฉือยกยิ้มเย็น “เพียงแต่น่าเสียดายที่ความลับของกองทัพตรวจสอบอาวุธคงไปถึงมือฮ่องเต้แคว้นหนานเยว่เสียแล้ว”
“เ้าไม่ต้องกังวล อันที่จริงแล้วความลับในการสร้างปืนใหญ่ ภาพร่างของะุปืนใหญ่กับอาวุธลับ เมื่อสี่ปีก่อนเปิ่นหวางได้ให้แม่ทัพของกองทัพตรวจสอบอาวุธเอากลับมาแล้วนำของปลอมไปแทนที่” เขาคลี่ยิ้มเย็น
นางใมาก ทั้งใทั้งดีใจ “ความลับที่แพร่งพรายออกไปเป็ของปลอมหรือ?”
เขาพยักหน้าอย่างจริงจัง “ของจริงอยู่ที่เปิ่นหวาง”
นางไม่เข้าใจ “แต่ว่าการสร้างปืนใหญ่และะุของกองทัพตรวจสอบอาวุธหลายปีมานี้ ล้วนมาจากภาพกับสูตรปลอม เช่นนั้นจะสร้างออกมาอย่างไรหรือ?”
มู่หรงอวี้พูดด้วยท่าทางสบายๆ “ช่างฝีมือที่สร้างปืนใหญ่ ะุ และอาวุธลับไม่จำเป็ต้องใช้สูตรกับภาพร่างก็สามารถสร้างออกมาได้ เปิ่นหวางพาคนในครอบครัวของพวกเขาไปอยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัย ให้ที่พักและเครื่องนุ่งห่มแก่พวกเขาโดยไม่ต้องกังวล ช่างฝีมือเ่าั้จะกลับบ้านไปเยี่ยมครอบครัวได้ตามเวลาที่กำหนด คงไม่กล้ามีความคิดแปลกๆ ขึ้นมาหรอก”
มู่หรงฉือถึงกับหมดคำพูด ความลับที่ได้รู้ในวันนี้ทำให้นางรู้สึกว่าฟ้าปลอดโปร่งสดใสไร้เมฆหมอกอย่างยิ่ง
มู่หรงอวี้กลับมาที่ราชสำนักไม่นานก็ควบคุมกองทัพตรวจสอบอาวุธ กุมความลับของกองทัพเอาไว้ในมือ ไม่ปล่อยให้แพร่งพรายออกไป
การวางแผนอย่างลึกล้ำและมองการณ์ไกลเช่นนี้ นางถามตัวเองว่าสามารถทำได้เช่นเดียวกันหรือไม่ คำตอบก็คือไม่
ทว่าเมื่อคิดย้อนไปแล้ว นางก็คิดได้ว่า เขากุมความลับสูงสุดของแคว้นเป่ยเยี่ยนเอาไว้ เช่นนั้นก็สามารถทำตามปรารถนาได้มิใช่หรือ?
“เปิ่งกงรู้สึกว่า ท่านเก็บเอาไว้ชุดหนึ่งแล้ว ในวังก็ควรจะมีเก็บเอาไว้อีกชุดหนึ่ง” นางลองหยั่งเชิง
“เตี้ยนเซี่ยคิดจะทดสอบเปิ่นหวางหรือ?” มู่หรงอวี้ยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม
“หากท่านคิดว่าเป็การทดสอบ เช่นนั้นก็คงจะใช่”
“เดิมก็เป็ความลับของราชวงศ์ จะให้เตี้ยนเซี่ยเก็บเอาไว้ชุดหนึ่งก็ไม่เป็อันใด อีกสองวันเปิ่นหวางจะคัดลอกแล้วส่งมาให้เตี้ยนเซี่ยหนึ่งชุด”
มู่หรงฉือคิดไม่ถึงว่าเขาจะตอบรับอย่างง่ายดาย จึงตกตะลึงไป
นางพลันคิดถึงเื่หนึ่งขึ้นมาได้ ก่อนจะถามขึ้นว่า “พวกขุนนางที่สูบฝิ่นเ่าั้จะจัดการอย่างไรหรือ?”
เขาย้อนถาม “เ้าอยากจะจัดการอย่างไรเล่า?”
“เปิ่นกงเคยถามหัวหน้าหมอหลวงเสิ่นแล้ว การสูบฝิ่นจะทำให้เสพติด การเสพติดนี้สามารถเลิกได้ เพียงแต่กระบวนการเลิกนั้นลำบากมาก”
“เตี้ยนเซี่ยอยากให้พวกเขาเลิกฝิ่นหรือ?”
“เปิ่นกงคิดดูแล้วว่าจะใช้ชื่อของท่านอ๋องเอาตัวพวกเขาไปรวมตัวกันที่วังตากอากาศ สั่งให้พวกเขาเลิกเสีย เพิ่มองครักษ์และคนในวังเพื่อการป้องกันที่แ่า ให้หมอหลวงรับผิดชอบเื่การรักษากับยา หากเลิกเสพได้สำเร็จ ตำแหน่งหน้าที่การงานของพวกเขาจะถูกตรวจสอบ จากนั้นพวกเขาไม่อาจเป็ขุนนางได้อีกต่อไป ลูกหลานไม่อาจเป็ขุนนางได้สามรุ่น”
“เช่นนั้นก็จัดการตามความคิดของเตี้ยนเซี่ยเถิด” มู่หรงอวี้หัวเราะน้อยๆ วิธีนี้ไม่เลว “เช่นนั้นตำแหน่งขุนนางที่ว่างอยู่จะหาใครมาทดแทน?”
มู่หรงฉือยืนขึ้นด้วยท่าทางสดใส “เปิ่นกงสรรหาขุนนางที่จะมาแทนแล้ว อีกประเดี๋ยวเปิ่นกงจะสั่งให้คนเอารายชื่อของพวกเขามาให้ท่านดู”
เขาส่งนางออกไปด้วยสายตาพลางเม้มปากยิ้ม
นางอยากจะส่งคนของตนเองเข้าไปในหมู่ขุนนาง มีหรือเขาจะไม่รู้?
แต่สำหรับเขาแล้วนี่หาใช่เื่สำคัญแต่อย่างใด
ครั้นกลับมาถึงตำหนักบูรพา มู่หรงฉือก็จัดการกับเื่นี้ ใช้ชื่ออวี้หวางเรียกขุนนางที่เสพฝิ่นพวกนั้นมาที่วังตากอากาศที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเพื่อร่วมประชุม
่สายของวันต่อมา คนทั้งหมดยี่สิบคนก็เดินทางมาถึงวังตากอากาศ โดยมีผู้ดูแลของวังเป็คนจัดที่พักผ่อนให้พวกเขารอในตำหนักใหญ่
รอได้ราวหนึ่งชั่วยามก็ยังไม่เห็นอวี้หวาง พวกเขาเริ่มหงุดหงิดขึ้นมา ทั้งร้อนใจทั้งเป็กังวลจนไม่เป็สุข
อวี้หวางเรียกให้พวกเขามาที่วังตากอากาศด้วยเื่ใดกันแน่?
พวกเขาย่อมคิดไม่ถึงว่าจะเป็เื่ฝิ่นจึงพากันบ่นกระปอดกระแปด
มู่หรงฉือมาถึงในตอนเที่ยง เห็นพวกเขาบ่นกันระงมด้วยความไม่พอใจ นางไม่พูดอะไรเพียงเผยรอยยิ้มเย็นบนริมฝีปากออกมา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้