เล่มที่ 1 บทที่ 7 แม่น้ำหยิน
ทางตอนใต้ของหุบเขาอวี้เหิงที่ห่างออกไปร้อยลี้* มีสถานที่แห่งหนึ่งที่ปกคลุมไปด้วยความเหน็บหนาวและไอมรณะ ว่ากันว่าที่แห่งนี้เป็จุดเชื่อมต่อไปยังจิ่วโยว หลายพันปีมานี้ มีไอมรณะมากมายแทรกซึมขึ้นมาจากพื้นดิน ทำให้บริเวณรอบๆรัศมีสิบลี้กลายเป็น้ำแข็งไปหมด จึงถูกจัดให้เป็หนึ่งในสามสถานที่ลงทัณฑ์ของสำนักเวิ่นเจี้ยน สำหรับลงโทษเหล่าศิษย์ที่ทำผิดกฎสำนัก
(*ลี้ หมายถึง 0.5 กิโลเมตร)
ซ่งเทียนสิงเดินทางมาถึงพร้อมกับถือป้ายคำสั่งของผู้าุโแห่งหุบเขาเทียนสิง และพาหลินเฟยฝ่าความหนาวเย็นจนมายังวังใต้พิภพที่อยู่ลึกลงไปนับพันจ้าง*
(*จ้าง หมายถึง 3.33 เมตร)
อากาศภายในวังใต้พิภพหนาวเย็นจนน่าใ น้ำแข็งแผ่นหนาปกคลุมทั่วทั้งผนังหิน เมื่อกวาดสายตามองไป เห็นแต่น้ำแข็งที่ยาวสุดลูกหูลูกตา กระแสไอเย็นพัดมากระทบใบหน้า ช่างหนาวเสียดราวกับถูกมีดกรีด ต่อให้ซ่งเทียนสิงมีป้ายคำสั่งคุ้มกาย แต่เมื่อครั้นก้าวเข้ามา ก็อดไม่ได้ที่จะเป่าลมร้อนใส่มือเพื่อคลายหนาว
“ศิษย์น้องหลิน เรามาถึงแล้ว เป็อย่างไรบ้าง งดงามมากทีเดียวเลยใช่ไหม?”
ถึงแม้มือจะแดงเพราะความหนาวเย็น แต่ซ่งเทียนสิงกลับรู้สึกยินดี...
แน่นอนว่าเขาอยู่หุบเขาเทียนสิงมาเป็สิบปี ส่งศิษย์ต้องโทษมาลงทัณฑ์ไม่น้อยกว่าสิบคน ทุกคนย่อมต่างพากันอ้อนวอนขอให้ปล่อยพวกเขาไป
“คารวะศิษย์พี่ซ่ง” หลังจากที่พวกเขาเดินเข้าไป ก็มีเหล่าศิษย์ที่เฝ้าเวรออกมาต้อนรับ ดูแล้วน่าจะอายุราวๆยี่สิบปีเห็นจะได้ หนึ่งในพวกเขาดูเหมือนจะมีคนที่รู้จักซ่งเทียนสิง พอเห็นว่าศิษย์จากหุบเขาเทียนสิงมา ก็รีบเดินเข้ามาส่งยิ้มทักทาย
‘ไม่แปลกใจเลย...’
เพราะงานเฝ้าเวรที่ถ้ำเสวียนปิงล้วนเป็งานของศิษย์สายนอกที่เพิ่งเข้าสำนักมาไม่ถึงสองปี ยังบำเพ็ญไม่ถึงขั้นจู้จี จึงเหมาะที่จะทำงานเช่นนี้ เลยถูกไล่ตะเพิดมา โดยปกติแล้วพวกเขาไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะได้เจอศิษย์ที่มีอำนาจแบบซ่งเทียนสิงเลยสักนิด
“ศิษย์น้องซู” ซ่งเทียนสิงพยักหน้าให้ เขาพอจะจำศิษย์น้องคนนี้ได้อยู่บ้าง เขาเป็หัวโจกของกลุ่มคนที่เฝ้าเวร เคยได้ยินมาว่าเขาเข้าสำนักมาั้แ่เมื่อสิบปีก่อนแล้ว เมื่อแปดปีก่อนถูกส่งมาบำเพ็ญ เพื่อหวังให้บรรลุขั้นจู้จีพร้อมกับเฝ้าเวรที่ถ้ำเสวียนปิง แต่กลับไม่มีวี่แววจะบรรลุได้สักที ทำให้ต้องอยู่เฝ้าที่นี่มาจนถึงวันนี้ ดูท่าอาจารย์ของเขา ก็คงจะลืมไปแล้วว่าเคยมีศิษย์คนนี้
ถึงแม้การบำเพ็ญจะไม่ได้เื่ แต่เขากลับเชี่ยวชาญเื่อ่านสีหน้าผู้อื่น ทุกครั้งที่มา เขาจะกระตือรือร้นเป็อย่างดี ทุกเื่ที่ฝากฝังไว้ล้วนจัดการได้ไม่เลวเลยทีเดียว ซ่งเทียนสิงจึงค่อนข้างวางใจที่จะฝากหลินเฟยไว้กับเขา...
“นี่คือศิษย์น้องหลินแห่งหุบเขาอวี้เหิง พอดีมีเื่ผิดใจกับนายน้อยของสำนักเทียนซือ จึงถูกเ้าสำนักส่งมา ขอให้ศิษย์น้องซูช่วยดูแลด้วย”
“ได้สิวางใจได้เลย...” ศิษย์น้องซูตอบรับอย่างรวดเร็ว
“ถ้าอย่างนั้นศิษย์น้องหลิน ข้าไปล่ะ หากมีเวลา ข้าจะมาเยี่ยม”
หลังจากซ่งเทียนสิงจากไป ศิษย์ที่เฝ้าเวรหลายคนก็ขอตัวกลับไปเช่นกัน เหลือเพียงหลินเฟยกับศิษย์น้องซู
“ศิษย์พี่หลินสินะ...” บัดนี้ใบหน้าของเขาไม่ได้มีรอยยิ้มและความเคารพอีกต่อไป แต่กลับเต็มไปด้วยความเย้ยหยันดูแคลน
“ศิษย์สายในอย่างท่านคงจะไม่รู้กฎของที่นี่ ข้าจะอธิบายให้ฟัง ข้อแรกห้ามหลบหนี เป็ถึงศิษย์สายใน คงจะรู้ว่าหากหลบหนีจะมีโทษหนักเพียงใด...”
“อีกอย่าง ตอนนี้ท่านมีโทษติดตัว เื่อาหารการกินก็คงจะต้องจัดการเอาเอง เดี๋ยวข้าจะหางานให้ทำ หากทำไม่สำเร็จ ท่านคงต้องทนหิวเอาแล้วกัน เข้าใจหรือไม่?”
“หื้อ?” หลินเฟยไม่มีอาการประหลาดใจกับท่าทีของเขาเลยแม้แต่น้อย จึงยิ้มรับก่อนจะกล่าวตอบออกไปว่า
“หากศิษย์น้องซูไม่รู้ จะให้ข้าทำอะไรเช่นนั้นหรือ?”
“ไม่ต้องห่วง ท่านเป็ถึงศิษย์สายใน ต่อให้ไม่รู้ความอย่างไร ก็ไม่มีทางสั่งให้ท่านทำงานชั้นต่ำ เช่นพวกขุดแร่หรือกะเทาะน้ำแข็งหรอก...”
เขาย่อมเข้าใจความหมายคำว่าดูแลของซ่งเทียนสิง แต่พอครุ่นคิดอีกทีก็กลับเปลี่ยนใจ
“เอาแบบนี้แล้วกัน ่นี้แม่น้ำหยินมีปีศาจออกอาละวาด พวกข้าเป็ศิษย์สายนอก ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน ข้าจึงอยากขอให้ไปช่วยเฝ้าแม่น้ำหยิน หากจัดการปีศาจได้วันละสิบตน จึงมีสิทธิ์ได้รับอาหาร เช่นนี้ล่ะ เป็อย่างไร?”
“ไม่มีปัญหา” หลินเฟยตอบรับอย่างไม่ลังเล ถึงอย่างไรเ้าศิษย์น้องคนนี้ก็คงคิดจะเอาใจซ่งเทียนสิง ไม่ยอมให้ข้าอยู่สุขสบายเป็แน่ ต่อให้ไม่รับงานนี้มา ก็คงใช้วิธีอื่นมากลั่นแกล้ง ไม่สู้ตอบคงจะดีกว่า ไม่ว่าอย่างไรก็เคยไปเยือนใต้แม่น้ำหยินนั่นมาหลายครั้งเมื่อชาติที่แล้ว…
“ในเมื่อไม่มีปัญหา ไม่เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ ศิษย์พี่แค่ต้องจัดการปีศาจวันละสิบตน และตัดเอากรงเล็บมันมาแลกอาหารก็พอ
ข้ายังมีเื่ต้องจัดการ ขอตัวก่อน...”
“ไปดีมาดีนะ”
หลังจากที่มองอีกฝ่ายจากไปไกลจนพ้นสายตาแล้ว หลินเฟยทิ้งตัวนั่งลงในห้องที่แสนคับแคบ ก่อนจะหยิบเอาตะเกียงหลิวหลีที่ไม่สมบูรณ์ออกมา
“ยังดีที่แย่งเนื้อจากปากเสือ*ชิงตะเกียงนี้มาได้ ซ่อมแซมมันสักหน่อย คิดว่าน่าจะใช้ต่อกรกับเหล่าปีศาจแม่น้ำหยินได้”
(*แย่งเนื้อจากปากเสือ หมายถึง แย่งของล้ำค่ามาจากผู้ที่แข็งแกร่ง)
ชาติที่แล้วหลินเฟยมีเพียงกายเนื้อธรรมดา แค่คิดจะเอาชนะเ้าแห่งเหวทมิฬ ความเสี่ยงและความอันตรายที่พบเจอก็ยากเสียที่จะบรรยาย หลายครั้งหลายคราที่ถูกไล่ต้อนจนหมดหนทาง บ่อยครั้งที่รอดเคราะห์ก็เพราะหลบหนีเข้ามาที่ถ้ำเสวียนปิงนี้ ดังนั้นหลินเฟยจึงคุ้นเคยกับแม่น้ำหยินที่อยู่ใต้พิภพนี้เป็อย่างดี
ไอหยินเสวียนยิงถือกำเนิดจากน้ำพุเหลืองจิ่วโจว เป็สิ่งที่มีไอหยินรุนแรง เป็จุดภูมิศาสตร์ที่มีชีพจรเสวียนยิงของสำนักเวิ่นเจี้ยน ไอเหล่านี้แทรกซึมผ่านพื้นดินขึ้นมา ก่อเกิดเป็ถ้ำเสวียนปิงอันหนาวเหน็บ นอกจากนี้ยังพาไอมรณะใต้น้ำพุเหลืองออกมาด้วย เมื่อสองสิ่งมาเจอกันจึงหลอมรวมเป็แม่น้ำหยินสายนี้ที่เต็มด้วยพลังหยิน มีปีศาจมากมายถือกำเนิดขึ้น หากไม่ใช่เพราะปีศาจพวกนั้นอ่อนแอ ทำให้ไม่มีจอมปีศาจขั้นเยาหวังถือกำเนิดขึ้น ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นอีก
ต่อให้ไม่มีปีศาจขั้นเยาหวัง แต่ปีศาจใต้แม่น้ำหยินก็ยังสามารถทำให้ผู้คนหวาดกลัวได้ พวกมันชอบจู่โจมเป็ฝูง ด้วยการบำเพ็ญตบะจู้จีขั้นสูง คิดว่าคงไม่สามารถรับมือไหวจริงๆ…
จะว่าไป ที่ศิษย์น้องซูเลือกงานนี้ให้หลินเฟยทำ ก็เพราะเขาไม่คิดว่าหลินเฟยจะทำสำเร็จ แค่อยากแกล้งให้อดข้าวเท่านั้น เพราะแบบนี้จึงจะทำภารกิจที่ซ่งเทียนสิงมอบให้สำเร็จ
น่าเสียดายที่ศิษย์น้องซูไม่รู้ว่าในมือหลินเฟยมีตะเกียงหลิวหลีที่ไม่สมบูรณ์อยู่ ยิ่งไม่รู้ว่าชาติที่แล้วหลังจากสำนักเวิ่นเจี้ยนล่มสลาย หลินเฟยทุ่มเวลาศึกษาค้นคว้าวิชาหลอมศาสตราวุธมาอย่างหนัก หากถามว่าฝีมือระดับไหน คงได้แต่ตอบว่าอยู่ในระดับที่คนอย่างศิษย์น้องซูคาดไม่ถึง หากไม่มีฝีมือล่ะก็ คนธรรมดาอย่างเขา มีหรือจะสังหารเ้าแห่งเหวทมิฬให้ตายตกไปพร้อมกันได้?
ตอนที่ตาเฒ่าหยิบตะเกียงออกมา หลินเฟยก็รู้แล้วว่าที่มันไม่สมบูรณ์ก็เพราะตาเฒ่าฝีมือไม่ถึงขั้น วัตถุดิบล้วนไม่มีข้อบกพร่อง เพียงแค่มีช่างหลอมฝีมือดีสักคน ก็สามารถหลอมแยกวัตถุดิบเดิมออกมาก่อนจะหลอมมันขึ้นใหม่ อย่างน้อยอาวุธใหม่ที่หลอมก็อาจจะอยู่ในระดับอิงฝูก็ได้
พลังทำลายล้างของศาสตราวุธระดับอิงฝู ถือได้ว่าเทียบเท่าผู้บำเพ็ญระดับหย่างหยวนเลยทีเดียว หากมีอาวุธเช่นนี้ในมือ หลินเฟยก็มั่นใจกว่าครึ่ง ว่าจะเอาชนะปีศาจเ่าั้ได้
แต่ความมั่นใจอีกครึ่งที่เหลือ…
“มีไอมรณะน้ำพุเหลืองให้ใช้พอดี…” หลินเฟยหยิบกระบี่บนโต๊ะขึ้นมา ก่อนจะผลักประตูมุ่งหน้าสู่วังใต้พิภพอันหนาวเหน็บ
สมแล้วที่เป็หนึ่งในสามสถานที่ลงทัณฑ์ของสำนักเวิ่นเจี้ยน ความหนาวเย็นที่เสียดกระดูกนี้ แม้แต่หายใจยังยากลำบาก หลินเฟยต้องโคจรปราณช่วยต้านไอเย็น แม่น้ำหยินอยู่ใต้วังใต้พิภพต้องลงไปอีกนับร้อยจ้าง ใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วยามหลินเฟยถึงจะเดินพ้นออกจากอุโมงค์หินแคบๆ ที่เบื้องหน้าเป็แม่น้ำที่มีเกลียวคลื่นไหลเชี่ยว
“ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว ที่นี่ยังคงหนาวเหมือนเดิม…” หลินเฟยพึมพำ ก่อนจะโคจรพลังปราณอันอ่อนด้อยของตัวเอง ช่วยไม่ได้ ที่นี่ถือว่าเข้าเขตแม่น้ำหยินแล้ว ท่ามกลางไอเย็นเหล่านี้ยังแฝงไปด้วยไอมรณะจากน้ำพุเหลือง แค่หนาวยังพอทน แต่มันกลับแฝงไปด้วยพิษนี่สิ ถ้าไม่มีปราณคุ้มกายแล้วล่ะก็ เพียงครู่ก็คงถูกพิษจนตาย
'ซ่า!'
__________________________________________________________________________________
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้