หลายวันให้หลัง
ยิ่งเดินไปทางทิศตะวันออกเท่าไร หลิ่วเทียนฉียิ่งััได้ถึงจำนวนสัตว์อสูรที่เพิ่มมากขึ้น พวกเขาคงใกล้ถึงเขตใจกลางแล้ว
“เทียนฉี เ้ารู้สึกหรือไม่ หลายวันมานี้พวกเราพบสัตว์อสูรขั้นสองมากขึ้นทุกที ร้ายกาจนักอีกด้วย!” เฉียวรุ่ยพูดอย่างกลัดกลุ้ม
“พวกเราเดินทางมาห้าสิบหกวัน คงใกล้ถึงเขตใจกลางเขาเทียนมู่แล้วล่ะ เกรงว่าหลังจากนี้ สัตว์อสูรที่พบคงมีมากขึ้น เพราะสัตว์อสูรขั้นสามยังไม่ออกโรงเลยนะ!” หลิ่วเทียนฉีบอกพลางหรี่ตาเล็กน้อย
ต่อให้สัตว์อสูรขั้นสองร้ายกาจเท่าไร ด้วยพลังของพวกเขาสามคนจึงไม่ควรค่าให้กังวลนัก แต่ขั้นสามย่อมไม่เหมือนกัน ในหมู่พวกเขา ผู้ที่มีวิชาต่อสู้มือเปล่าดีสุดคือเสี่ยวรุ่ย แต่เขาเพิ่งถึงระดับฝึกปราณขั้นเก้า ห่างจากระดับสร้างรากฐานไปก้าวหนึ่ง ส่วนวิชาต่อสู้มือเปล่าของต่งเฟิงนั้นย่ำแย่นัก วิชาพลังทิพย์ก็ธรรมดา
ส่วนตน แม้ชีวิตก่อนมีร่างกระดูกเหล็กหนังทองแดง แต่น่าเสียดาย ดันถูก์เก็บคืนกลับไป เมื่อข้ามมิติมาฝั่งนี้ ร่างผอมแห้งของหลิ่วเทียนฉี ช่างอ่อนแอไม่ธรรมดาจริงเชียว! แย่นักที่สามปีมานี้เขายุ่งอยู่กับการร่ำเรียนวิชายันต์กับวิชาพลังทิพย์ ร่างผอมแห้งนี้จึงยังไม่ทันได้ฝึกฝน ฉะนั้น วิชาต่อสู้มือเปล่าย่อมไม่ได้เื่ หากพบสัตว์อสูรขั้นสามเข้าจริงล่ะก็ ต้องเปลืองแรงลงมือสักพักเลยล่ะ
“ขั้น ขั้นสามหรือ?” ต่งเฟิงที่เดินอยู่ด้านหลังทั้งสองคนได้ยินคำนี้ ก็อดหดคอไม่ได้
“สหายผู้ฝึกตนต่ง เตรียมโอสถเสริมพลังทิพย์ไว้สักหน่อยเถอะ ไม่เช่นนั้น เมื่อถึงเวลา พวกเราพบสัตว์อสูรขั้นสามเข้าคงลำบากแน่!” หลิ่วเทียนฉีมองอีกฝ่าย บอกอย่างจริงจัง หากวิชาต่อสู้มือเปล่าไม่ได้เื่ ก็ได้แต่อาศัยวิชาพลังทิพย์
“อื้อ ข้ารู้แล้ว วางใจเถอะเทียนฉี! ข้าจัดการเอง” เื่สู้เขาย่อมไม่ไหว แต่เื่โอสถไม่มีปัญหา
พูดคุยไปพลาง เดินหน้าไปพลาง ทั้งสามคนหาได้รู้สึกเบื่อหน่ายไม่
เดินไปเรื่อยๆ ฉับพลัน หลิ่วเทียนฉีหยุดฝีเท้าลง
“เป็อะไรเทียนฉี?” เฉียวรุ่ยเห็นคนรักมีสีหน้าเคร่งเครียดจึงถามอย่างกังวล
“อย่าขยับ มีเ้าตัวใหญ่มา!” หลิ่วเทียนฉีพูดพลางเอายันต์วิเศษระดับสามกองใหญ่ออกมา
เฉียวรุ่ยกับต่งเฟิงได้ยินเช่นนั้น พวกเขาระวังตัวขึ้นมาทันที
“เทียนฉี ใช้ยันต์อำพรางกาย พวกเราซ่อนตัวเถอะ!” ต่งเฟิงได้ยินเสียงแผ่นดินสั่นไหว เขากลืนน้ำลายหลายอึก หวาดกลัวจนอยากถอยหนี สัญชาตญาณบอกเขาว่า เ้าตัวใหญ่นี่จัดการไม่ง่าย
“ตัวนี้เป็เ้าตัวใหญ่ อำนาจกดดันแข็งแกร่งนัก มันไม่ใช่ขั้นสอง ต่อให้พวกเราซ่อนตัวก็ไม่แน่ว่าจะหนีพ้น!” พูดถึงตรงนี้ ใบหน้าหลิ่วเทียนฉีแสดงความกังวลออกมา
“ไม่ใช่ขั้นสอง ถ้าเช่นนั้น หรือว่าจะเป็ขั้นสาม?” ต่งเฟิงได้ยินยิ่งหน้าซีด
“เฮ้อ เ้าขี้ขลาดเช่นนี้ แล้วจะวิ่งมาสอบเข้าวิทยาลัยเซิ่งตูทำไมฮะ?” เฉียวรุ่ยเห็นท่าทางหวาดกลัวของต่งเฟิงก็ว่าอย่างไม่เกรงใจ
“ข้า ข้ามาเรียนหลอมโอสถนี่ ไม่ได้มาเรียนสังหารสัตว์อสูรสักหน่อย!” ต่งเฟิงพูดจบ ใบหน้าฉายชัดถึงความหงุดหงิด
ทดสอบแบบนี้ไม่ยุติธรรมสักนิด จริงไหม? เขาไม่ใช่ทั้งผู้ฝึกกระบี่และผู้ฝึกยุทธ์ เขามาสอบเข้าวิทยาลัยโอสถนะ อาศัยอะไรถึงต้องมาสอบขึ้นเขาสังหารสัตว์อสูรกันเล่า? สอบเข้าเพียงหลอมโอสถก็พอแล้วไหม!
“เฮ้อ เ้านี่จริงๆ เลย!” เฉียวรุ่ยได้ฟังคำตอบเช่นนั้น ถึงกับหมดคำพูดไปชั่วขณะ
หลิ่วเทียนฉีได้ยินเสียงแผ่นดินะเืจากไกลมาใกล้ด้วยเสียงที่ดังขึ้นทุกที เขารีบหยิบยันต์อำพรางกายสามแผ่นออกมา
“แปะไว้เถอะ แต่แปะยันต์แล้วก็อย่าได้ประมาท นี่เป็สัตว์อสูรขั้นสาม ยันต์อำพรางกายใช่ว่าจะหลอกมันได้!”
“อืม เข้าใจแล้ว!” ต่งเฟิงพยักหน้า รีบร้อนรับยันต์มาแปะไว้บนร่าง
“ในเมื่อไม่แน่ใจ เช่นนั้นพวกเราลอบโจมตีเสียเลยไม่ดีกว่าหรือ อาจกำจัดมันได้นะ?”
หลิ่วเทียนฉีได้ฟังคำพูดของเฉียวรุ่ยก็พยักหน้า “ข้าคิดเช่นนี้เหมือนกัน ลงมือก่อนได้เปรียบ!”
“์ พวกเ้าสองคนบ้าเกินไปแล้ว!” ต่งเฟิงมองทั้งสองด้วยสีหน้าตะลึง
“ต่งเฟิง อีกประเดี๋ยวเ้ากับเสี่ยวรุ่ยโจมตีมันบนพื้น ข้าจะโจมตีจากบนฟ้า พวกเราสามคนเข้าโจมตีมันด้วยกัน ไม่น่ามีปัญหามากนักหรอก”
“อืม เข้าใจแล้ว!” ต่งเฟิงได้ฟังแผนของหลิ่วเทียนฉี เขารีบพยักหน้า
หลิ่วเทียนฉีแปะยันต์วายุไว้บนขา ลอยตัวขึ้นฟ้า บินอยู่กลางอากาศ
เฉียวรุ่ยกับต่งเฟิง หนึ่งซ้ายหนึ่งขวาตั้งท่าโจมตี รอคอยสัตว์อสูรตัวใหญ่
ไม่นาน มนุษย์หมาป่าร่างสูงสองเมตรครึ่ง มีศีรษะสามหัว มันเดินตัวตรงเข้ามา
หลิ่วเทียนฉีเห็นเ้าตัวใหญ่หน้าตาอัปลักษณ์เป็อย่างยิ่งอดกลอกตามองบนไม่ได้ พลางคิด ‘สัตว์อสูรในโลกแห่งการฝึกตนแห่งนี้ ทำไมหน้าตาถึงทำให้ทนมองไม่ได้เช่นนี้นะ!’
หลิ่วเทียนฉีเพิ่มระดับความสูงที่บินก่อนเข้าใกล้อีกฝ่ายอย่างเชื่องช้า
มนุษย์หมาป่าที่กำลังเดินอยู่คล้ายััได้ถึงปราณทิพย์ที่เข้าใกล้จึงหยุดฝีเท้า หันมองซ้ายมองขวา
“ตูม...”
หลิ่วเทียนฉียกมือ ยันต์วิเศษกำหนึ่งถูกเขวี้ยงใส่ศีรษะข้างซ้ายของมนุษย์หมาป่าทันที
“เอ๋งๆๆ...”
ศีรษะด้านซ้ายถูกะเิกลายเป็เืเนื้อเละเทะ มนุษย์หมาป่าร้องครวญครางขึ้นมา
เฉียวรุ่ยกับต่งเฟิงเห็นหลิ่วเทียนฉีลอบโจมตีสำเร็จก็รีบใช้พลังทิพย์โจมตีเข้าใส่
เฉียวรุ่ยปล่อยกระบี่อัคคีแถวหนึ่งออกมา โจมตีศีรษะที่ได้รับาเ็ของมนุษย์หมาป่าต่อ ส่วนต่งเฟิงปล่อยเถาวัลย์ถี่ยิบกองโตออกมารัดแขนขาของมันไว้
“ทุบ!” หลิ่วเทียนฉีตวาดคำหนึ่ง ขว้างลูกคิดของตนออกไปทุบศีรษะอีกหัวหนึ่งของมนุษย์หมาป่า
“เอ๋งๆ...”
มนุษย์หมาป่าััได้ถึงแสงสีทองวูบหนึ่งบินเข้ามา จึงสะบัดกรงเล็บขาหน้าปัดลูกคิดร่วงลงพื้น
“เอ๋งๆ...”
มนุษย์หมาป่าเห็นกรงเล็บถูกแสงสีทองทึ้งหนังเนื้อไปก้อนหนึ่งก็ส่งเสียงร้องครวญคราง สะบัดกรงเล็บอีกครั้ง โจมตีเข้าใส่หลิ่วเทียนฉี
“อ๊ะ เทียนฉี...” เฉียวรุ่ยะโ เขาเหวี่ยงขวานขั้นสามเล่มหนึ่งฟันเข้าใส่ขาของมัน
“เอ๋งๆ...”
พอมันถูกตัดขาข้างหนึ่ง ร่างกายพลันซวนเซเล็กน้อยประหนึ่งเขาลูกย่อมๆ ก่อนคุกเข่าลงกับพื้น
“เฮ้ย...” เฉียวรุ่ยกับต่งเฟิงที่ยืนอยู่บนพื้นร้องใ พวกดเขารีบถอยหลังหนี
“เอ๋งๆๆ...”
คล้ายถูกหาเื่จนโมโห ศีรษะด้านขวาของมนุษย์หมาป่าอ้าปากกว้างสีแดงสดออก พ่นหมอกน้ำแข็งคำโตออกมาเบื้องหน้า
“อา หนาวนัก!” เพียงครู่เดียว เฉียวรุ่ยกับต่งเฟิงกลับถูกแช่แข็ง ทั้งร่างถูกเกล็ดน้ำแข็งจับ ปรากฏเป็รูปร่างมนุษย์ในทันที
“เสี่ยวรุ่ย ต่งเฟิง รีบหนีเร็ว มันเห็นพวกเ้าแล้ว!” หลิ่วเทียนฉีตวาดลั่นแล้วขว้างยันต์ทองแผ่นหนึ่งเข้าใส่ศีรษะที่พ่นหมอกน้ำแข็ง
“เอ๋งๆๆ...”
แสงสีทองเส้นแล้วเส้นเล่าโถมเข้าใส่ ศีรษะด้านขวาถึงได้รับาเ็หนักอีกหน มนุษย์หมาป่าร้องครวญครางหนัก สะบัดร่อนกรงเล็บ ตบเข้าใส่ต่งเฟิงกับเฉียวรุ่ยที่อยู่บนพื้นสุดชีวิต
“วิ่ง!” เฉียวรุ่ยดึงต่งเฟิง สองคนรีบร้อนวิ่งหนีจากฝ่ามือของปีศาจ
“แฮ่!” มนุษย์หมาป่าเห็นว่าหนึ่งฝ่ามือตบไม่ตายจึงโกรธเกรี้ยว มันถลึงดวงตาขุ่นคลักสองดวงจนกลม ตบอีกหนึ่งฝ่ามืออย่างโเี้
เห็นฝ่ามือที่สองกำลังเข้าใกล้ ต่งเฟิงก็รีบปล่อยเถาวัลย์หลายเส้นออกมามัดกรงเล็บของมัน รั้งไม่ให้กรงเล็บใหญ่ตกลงบนร่างของพวกเขา
“เฮอะ!” เฉียวรุ่ยคำรามลั่น ขวานฟันเข้าใส่กรงเล็บหมาป่าข้างนั้นอย่างรวดเร็ว
“เอ๋งๆ...” มนุษย์หมาป่าร้องอย่างเ็ป ถูกเฉียวรุ่ยฟันขาดหนึ่งนิ้วทั้งอย่างนั้น
“พรวด...” เืหมาป่าสาดทั่วร่างเฉียวรุ่ย เขาโผร่างกระโจน อีกหนึ่งขวานฟันเข้ากลางฝ่ามือของมัน
“เอ๋งๆ...” มนุษย์หมาป่าส่งเสียงกรีดร้อง สะบัดมือวูบหนึ่ง เฉียวรุ่ยกับต่งเฟิงก็ถูกฟาดปลิวออกไป
“เสี่ยวรุ่ย!” หลิ่วเทียนฉีร้องอย่างใ ยิงลูกบอลวารีขนาดใหญ่ใส่มนุษย์หมาป่า ขวางอีกฝ่ายไม่ให้โจมตีทั้งสองคนอีกครั้ง
เฉียวรุ่ยยื่นมือกระชากยันต์อำพรางกายบนร่างออก กำขวานในมือด้วยความโกรธเกรี้ยว เขาพุ่งเข้าหามนุษย์หมาป่า ฟันขวานใส่กรงเล็บที่ได้รับาเ็ของมันต่อ
ต่งเฟิงเอายันต์หลากหลายกองโตออกมาขว้างใส่กรงเล็บอีกข้างหนึ่งเช่นกัน
“ตูมๆๆ...” เสียงะเิพรวนหนึ่งดังขึ้นอีกหน
“หยดวารีจงเป็น้ำแข็ง!” หลิ่วเทียนฉียิงลูกบอลน้ำแข็งกลางฝ่ามือเข้าใส่ศีรษะหัวสุดท้ายของมนุษย์หมาป่าพร้ะโกนลั่น
“เถาวัลย์หนาม!” ต่งเฟิงตวาดขึ้น ปล่อยเถาวัลย์หนามออกมารัดร่างของมนุษย์หมาป่าไว้
“ฮ่า ขวานผ่าบรรพต!” เฉียวรุ่ยยกขวานในมือขึ้นเหนือหัว ฟันเข้าใส่ขาของมนุษย์หมาป่าอย่างแรง
“เอ๋งๆ...” ในที่สุด มนุษย์หมาป่าก็ถูกการโจมตีสลับกันของทั้งสามคนจัดการลงได้
“อา...” หลิ่วเทียนฉีเห็นมนุษย์หมาป่าล้มลงกับพื้นเสียที จึงดึงยันต์อำพรางกายบนร่างออก ร่อนลงบนพื้น
“เทียนฉี!” เฉียวรุ่ยเห็นหลิ่วเทียนฉีมีสีหน้าซีดเผือด เขารีบเข้าไปพยุงอีกฝ่าย
“มา โอสถเสริมพลังทิพย์ กินคนละเม็ด!” ต่งเฟิงพูดพลางเอาโอสถออกมาให้สองชุดอย่างใจกว้าง
ทั้งสองคนรับมาก่อนจะกลืนลงไป
“เฮ้อ สังหารสัตว์อสูรขั้นสามนี่มันเหนื่อยเสียจริง!” ต่งเฟิงพูดก่อนถอนหายใจแ่เบาทีหนึ่ง
“พวกเ้าสองคนเป็อย่างไรบ้าง? ไม่ได้รับาเ็นะ?” หลิ่วเทียนฉีมองทั้งสองแล้วถามขึ้น
“ไม่เป็ไร ข้าแค่เสียพลังทิพย์ไปบ้าง!” ต่งเฟิงส่ายศีรษะบอก
“ข้าก็ไม่เป็ไร!” เฉียวรุ่ยส่ายศีรษะตอบกลับเช่นกัน
“ฮ่าๆๆ สหายผู้ฝึกตนทั้งสามลำบากแล้ว!” ทันใดนั้น ผู้ฝึกตนคิ้วโจรตามุสิกสี่คนเปล่งเสียงขึ้น พวกมันพากันเดินออกมาจากในเรือนยอดต้นไม้
“พวกเ้า? พวกเ้าจะทำอะไร?” เฉียวรุ่ยมองทั้งสี่คนอย่างระแวงขึ้นมาทันที ในใจคิด ‘คนเหล่านี้ต้องมีเจตนาไม่ดีแน่ เมื่อครู่พวกเขาโจมตีสัตว์อสูรขั้นสาม ไม่ยักเห็นเข้ามาช่วย พอพวกเขาสังหารเสร็จกลับรีบวิ่งออกมา หรือคิดจะฆ่าเพื่อแย่งสมบัติกัน?’
“ฮ่าๆๆ วางใจเถอะ พวกเราไม่ทำร้ายพวกเ้าหรอก แค่เข้ามาเปิดหูเปิดตาดูสัตว์อสูรขั้นสามตัวนี้เท่านั้น” พูดพลาง สายตาของทั้งสี่คนจับจ้องอยู่บนศพของมนุษย์หมาป่า
“ไม่ผิดแน่ เป็ขั้นสามระดับต้นล่ะ!” ผู้ฝึกตนคนหนึ่งพูด เคลื่อนไหวว่องไวเป็ลิง วิ่งไปควักผลึกอสูร
“นี่พวกเ้า เ้าโจรฉกชิง สัตว์อสูรตัวนี้พวกเราเป็ผู้สังหารนะ!” เฉียวรุ่ยตวาดลั่น เตรียมก้าวเข้าไปขวางแต่ถูกหลิ่วเทียนฉีดึงไว้
“สหายผู้ฝึกตนทั้งสี่ กฎการฝึกวิชาข้อที่สิบเอ็ดกำหนดไว้ว่า ไม่อาจใช้เหตุผลหรือข้ออ้างอันใด แย่งชิงทรัพย์สินหรือของที่ได้มาจากชัยชนะของผู้อื่น พวกเ้าไม่รู้หรือ?” หลิ่วเทียนฉีเอ่ยถามเสียงเ็า
ทั้งสี่คนได้ยินเข้าก็สบตากันทีหนึ่งแล้วหัวเราะดังลั่น
“ฮ่าๆๆ เ้าหนู เ้าโง่หรือเปล่า? นั่นเป็กฎของวิทยาลัยเซิ่งตู ไม่ใช่กฎของเขาเทียนมู่ ฟ้าอยู่สูงจักรพรรดิอยู่ไกล ที่นี่หามีอาจารย์ใหญ่เ่าั้ดูอยู่ไม่ ไม่มีใครมาพูดถึงกฎกับเ้าหรอก!”
“ใช่แล้ว ไม่มีใครมาบอกให้ทำตามหรอก กฎสิบสองข้อนั่นก็แค่สุนัขผายลม!”
“ถูกต้อง ยังไม่สู้สุนัขผายลมด้วยซ้ำ!”
“ฮะๆๆ...”
หลิ่วเทียนฉีเห็นทั้งสี่คนเหิมเกริมเช่นนี้จึงยกมุมปาก ใบหน้าเรียบนิ่งขึ้น “โง่เง่าไม่มีผู้ใดเทียม!”
“เ้าหนู เ้าว่าอะไร เ้า...” อีกฝ่ายยังไม่ทันพูดจบ ร่างของทั้งสี่คนพลันหายไปจากบริเวณนั้น
“ปึก!” ผลึกอสูรของสัตว์อสูรขั้นสามร่วงหล่นบนพื้น
“พวกเขา พวกเขาหายไปแล้ว?” เฉียวรุ่ยหันมองหลิ่วเทียนฉีที่อยู่ข้างกาย
“ถูกคัดออก ตกรอบแล้วกระมัง!” หลิ่วเทียนฉีตอบอย่างสงบ
“อ้อ!” เฉียวรุ่ยพยักหน้าเข้าใจ ในใจคิด ‘อาจารย์ใหญ่เ่าั้ช่างทำงานได้รวดเร็วจริงเชียว!’
“ไปเก็บผลึกอสูรกลับมาให้ต่งเฟิงกัน ศพของสัตว์อสูรด้วย ที่นี่กลิ่นคาวเืคละคลุ้งเกินไป พวกเราควรรีบออกไปทันที!” หลิ่วเทียนฉีสั่งเสียงเข้ม
“อืม!” เฉียวรุ่ยพยักหน้า ได้ยินอย่างนั้นจึงรีบทำตาม
“ต้องยกประโยชน์ให้เ้าแล้ว!” เฉียวรุ่ยโยนผลึกอสูรให้ต่งเฟิงแล้วเก็บศพสัตว์อสูรขั้นสามเข้าไปในกำไลของตน
“ขอบใจ!” ต่งเฟิงรับผลึกอสูรมา
“ไป!” หลิ่วเทียนฉีบอกพลางก้าวเดินเป็คนแรก สองคนที่เหลือรีบร้อนติดตาม