“ให้ตายเถอะ”
เซี่ยเจิงสะดุ้งใขึ้นมาทันที ถึงอย่างไรก็มีเพียงแค่เขาคนเดียวที่รู้ว่าการกระทำนี้ของชวีเสี่ยวปอมันยั่วยวนเพียงใด ใน่อายุเช่นนี้ที่พวกเขาทั้งสองคนเพียงแค่มองตากันก็สามารถจุดประกายไฟให้แผ่ขยายลุกลามไปทั่วได้ การกระทำเช่นนี้ของชวีเสี่ยวปอก็แทบจะเป็เหมือนการราดน้ำมันลงไปในกองเพลิง
“ทำอะไรเนี่ย” ชวีเสี่ยวปอเปลี่ยนสีหน้าให้ดูจริงจังขึ้นมาทันที “นายกลืนน้ำลายทำไม” ราวกับว่าคนที่จับขาเซี่ยเจิงเมื่อครู่ไม่ใช่เขา
“ ...... ” เซี่ยเจิงกดฟันข่มอารมณ์เอาไว้ แต่ไม่สามารถตอบโต้กลับไปได้ เพราะซือจวิ้นเดินเข้ามาเป็ที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งยังนั่งลงไปที่ด้านข้างของชวีเสี่ยวปอ ถ้าหากเขาทำอะไรกับชวีเสี่ยวปอขึ้นมาจริงๆ คิดว่าซือจวิ้นก็คงจะะโขึ้นมาแล้วะโว่าไอ้คู่รักตัวติดกัน
“ได้ััถึงความกระตือรือร้นของเหล่าหลัวที่เป็เหมือนไฟลุกโชนหรือยัง? ” ซือจวิ้นสีหน้าราวกับได้ดูละครสนุก “มีความสุขเลยไหมล่ะ? ”
“มีความสุขมาก สุขสุดๆ เลย” ชวีเสี่ยวปอกลอกตา
เซี่ยเจิงไม่ได้พูดอะไรออกมา เขารู้ว่าที่ชวีเสี่ยวปอพูดมีความหมายอะไรแฝงอยู่
“ดูจากสีหน้าแล้วไม่เห็นจะเหมือนคนมีความสุขเลยสักนิด” ซือจวิ้นหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น “ทำไมโหยวเจียต้องบังคับให้นายสองคนเข้าร่วมด้วยนะ”
ชวีเสี่ยวปอหนุนแขนเอาไว้ที่ด้านหลัง พร้อมทั้งเงยหน้ามองท้องฟ้าพลางถอนหายใจยาวออกมา “ใครจะไปรู้” แต่จะว่าไปแล้ว ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยมาก แต่ชวีเสี่ยวปอกลับไม่ได้มีความคิดอยากจะถอนตัวเลยสักนิด เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ในตอนที่โค้ชหลัวถามเขาว่าอยากจะเข้าร่วมทีมโรงเรียนไหม เขาไม่ได้มีความคิดเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ความรู้สึกที่ได้เหงื่อออกทั้งตัวในสนามบาสเกตบอล เขากลับไม่ได้รู้สึกเกลียดมันเท่าไหร่นัก
ถึงขนาดที่สามารถพูดได้ว่า เขาชอบมันเลยละ
โดยเฉพาะในตอนที่มองเห็นเซี่ยเจิงยืนอยู่ข้างๆ
บางครั้งชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกว่าเขากำลังค่อยๆ เคยชินกับเหตุการณ์เช่นนี้ ค่อยๆ เคยชินกับวันเวลาที่มีเซี่ยเจิงอยู่เคียงข้างในทุกๆ วัน เขาดูเหมือนว่าจะเคยใช้ข้ออ้างเ่าั้ที่ว่า “ี้เีทำ” “ไม่อยากทำ” มาเพื่อต่อต้านและหลบเลี่ยงที่จะทำเื่เหล่านี้ แต่ตราบใดที่มีเซี่ยเจิงอยู่เคียงข้าง เขาก็รู้สึกว่ามันไม่ได้เป็เื่ที่เหลือบ่ากว่าแรงขนาดนั้น
ชวีเสี่ยวปอชำเลืองมองไปยังเซี่ยเจิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ใบหน้าเขากำลังพยายามอดกลั้นเอาไว้อยู่ แล้วในหัวก็ปรากฏสามคำนี้ขึ้นมา
ตัวต้นเื่
ฝึกซ้อมอย่างต่อเนื่องมาแล้วหลายวัน
บางครั้งโหยวเจียก็มาดูบ้าง แต่ก็ไม่ได้บ่อยเท่าไหร่นัก ในตอนที่มาเธอก็มักจะยืนอยู่ข้างๆ โค้ชหลัว พูดคุยกระซิบกันอยู่ตลอดเวลา ถ้าใช้คำพูดของชวีเสี่ยวปอก็คือ “พวกนายดูสิเธอเหมือนกำลังเอาเราสองคนมาขายให้โค้ชหลัวเลยอะ แล้วก็เป็แบบที่ลดราคาให้ถูกสุดๆ ด้วยนะเนี่ย”
เซี่ยเจิง : “เหมือนมากจริงๆ เป็แบบที่ซื้อนายแถมฉันอย่างนั้นเลย”
วันนี้ตอนบ่ายเซี่ยเจิงมีเื่ทำให้ต้องไปช้านิดหน่อย เพราะว่าวันนี้ตัวแทนนักเรียนวิชาภาษาจีนไม่มา คุณครูวิชาภาษาจีนจึงดึงตัวเซี่ยเจิงให้ไปเก็บรวบรวมการบ้านของเมื่อวานมาให้ครบแล้วถึงค่อยแจกกระดาษข้อสอบ ชวีเสี่ยวปอไม่ได้รอเขาและเดินออกมาก่อนพร้อมกับซือจวิ้น
เมื่อเซี่ยเจิงจัดการเก็บรวบรวมเสร็จเรียบร้อยก็นำการบ้านไปส่งที่ห้องพักครู แล้วจึงเดินมายังสนามบาสเกตบอล แต่ทันทีที่เข้ามากลับพบว่าไม่มีคนเล่นบาสอยู่เลย กลุ่มคนยืนล้อมรอบคนคนหนึ่งอยู่ที่กลางสนามด้วยความแตกตื่นใ ซือจวิ้นที่อยู่ในนั้นกำลังะโร้อนขึ้นมาเสียงดังอย่างร้อนใจ : “ปอเอ๋อร์! ปอเอ๋อร์! ”
เซี่ยเจิงไม่รู้ว่าเขาวิ่งเข้าไปได้อย่างไร แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าเขาใช้แรงมากแค่ไหนผลักนักเรียนที่ยืนมุงอยู่ด้านนอกให้หลบออกไป ถึงขนาดที่ว่าหลังจากนั้นมีคนบ่นเขาขึ้นมาว่าเขาบ้าไปแล้ว
ภายในกลุ่มคนที่ยืนมุงดูอยู่ชวีเสี่ยวปอนอนกำลังนอนอยู่ที่พื้น ริมฝีปากและใบหน้าซีดเผือดขึ้นมาเนื่องจากทนความเ็ปเอาไว้ไม่ไหว ส่วนขาด้านล่างของเขาก็หักงออยู่ในมุมที่แปลกผิดปกติ
ในตอนที่เวินลี่รีบตามมาที่โรงพยาบาล ในห้องพักฟื้นก็เหลือเพียงแค่เซี่ยเจิง ซือจวิ้น โค้ชหลัว และโหยวเจียสี่คน เมื่อเสียงรองเท้าส้นสูงอันรีบร้อนดังขึ้นมาตรงทางเดิน เซี่ยเจิงจึงรู้สึกว่าเื่นี้คงจะไม่ง่ายแล้วละ
จนกระทั่งชวีเสี่ยวปอที่นอนอยู่บนเตียงะโขึ้นมาด้วยเสียงอันอ่อนแรงว่าแม่
“ลูก !” เวินลี่พุ่งเข้าไปที่เตียงโดยร้องไห้เล็กน้อยพร้อมทั้งเช็ดน้ำตาไปด้วย พวกเขาสี่คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นจึงต้องถอยหลังออกไปอย่างรู้สึกทำตัวไม่ถูก เพราะถึงยังไงท่าทางของผู้หญิงซึ่งแต่งหน้าจัดเต็มใส่เสื้อผ้าสีสันสดใสที่แสดงออกมาจนดูเกินจริง ทำให้พวกเขารู้สึกว่ามันไม่สอดคล้องกันอย่างอธิบายไม่ถูก
“แม่” ชวีเสี่ยวปอลากเสียงยาว “แม่ทำอะไรครับเนี่ย ผมไม่ได้จะตายสักหน่อย แค่กระดูกหัก”
ในขณะนั้นซือจวิ้นส่งสายตาไปหาเซี่ยเจิง ทั้งสองคนจึงออกจากห้องพักฟื้นมา
“ไม่ต้องมองแล้ว” ซือจวิ้นเห็นท่าทางของเซี่ยเจิงที่เดินออกมาแต่ก็ยังหันกลับไปมองอยู่เรื่อยๆ ตรงทางเดินด้านนอกกลิ่นของน้ำยาฆ่าเชื้อแรงกว่าด้านในห้องเป็อย่างมาก จนทำให้ทั้งสองคนอดไม่ได้ที่จะเดินไปตรงหน้าต่าง “คิดว่าเหล่าหลัวคงจะต้องอธิบายให้ดีๆ แล้วละ”
“อืม” เซี่ยเจิงยังคงมองผ่านเข้าไปในหน้าต่างเล็กๆ ตรงห้องพักฟื้นด้วยความเป็ห่วง โหยวเจียและโค้ชหลัวกำลังยืนอยู่ข้างๆ เตียงผู้ป่วยด้วยความรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เขามองไม่เห็นใบหน้าของชวีเสี่ยวปอ แต่เห็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆ ของขาที่ถูกใส่เฝือกเอาไว้ เซี่ยเจิงขมวดคิ้วขึ้นมา “เขาหน้าเหมือนแม่มากเลยเนอะ”
“ฮะ? ” ซือจวิ้นอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหัวเราะพลางพูดขึ้นว่า : “เหมือนมากจริงๆ ด้วย”
ทั้งสองคนยืนอยู่ด้านนอกราวๆ สิบห้านาทีได้ แล้วเหล่าหลัวก็ผลักประตูออกมาโบกมือเรียกซือจวิ้น : “ไปกันเถอะ กลับโรงเรียน”
“ชวีเสี่ยวปอ...” เซี่ยเจิงและซือจวิ้นพูดขึ้นมาพร้อมกัน
“ผู้ปกครองของเขามาแล้วไม่ใช่หรือไง? อีกอย่างเขาต้องนอนโรงพยาบาลอีกระยะหนึ่งเลยละ พวกเธอสองคนจะอยู่ที่นี่ตลอดเลยหรือยังไง? ” โค้ชหลัวอธิบายขึ้นมา : “อย่าทำให้เสียการฝึกซ้อม” หลังจากพูดจบก็ปรับสายตาไปมองเซี่ยเจิง แต่กลับพูดขึ้นว่า : “เธอยังจะซ้อมอยู่ไหม? ”
ซือจวิ้นมองเหล่าหลัวด้วยความประหลาดใจ จากที่เขารู้จักโค้ชแล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนว่าประโยคที่เหล่าหลัวพูดขึ้นมาเมื่อครู่นี้ว่า “อย่าทำให้เสียการฝึกซ้อม” มุ่งเป้ามาที่เขาคนเพียงเดียว
“ฝึกครับ” เซี่ยเจิงกำหมัดแน่น ราวกับกำลังรวบรวมพลังอย่างเงียบๆ แล้วจึงเดินตามเหล่าหลัวไป
ส่วนเวินลี่และโหยวเจียที่อยู่ในห้องพักฟื้นก็ยังคงดำเนินการพูดคุยกันอย่างสนิทสนม
ในระหว่างนั้นชวีเสี่ยวปอรู้สึกอยู่หลายครั้งว่าโหยวเจียไม่อยากพูดต่อแล้ว แต่เธอก็ไม่สามารถขัดท่าทีพูดคุยอย่างกระตือรือร้นของเวินลี่ได้ จนสุดท้ายชวีเสี่ยวปอทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาทำได้เพียงะโร้อง “โอ๊ย” ขึ้นมา
“เป็อะไรลูก? ”
ปรากฏว่าได้ผล
ทั้งสองคนหันไปมองเขาเป็ตาเดียว ทั้งสายยังดูเป็ห่วงเป็ใยอย่างมาก
“คือว่า ผมเจ็บขาครับ” ชวีเสี่ยวปอกัดฟันแสดงท่าทางเ็ป ราวกับว่าทนไม่ไหวแล้วอย่างไรอย่างนั้น “อยากนอนสักพัก”
“อ๋า” เมื่อเวินลี่ได้ยินเช่นนั้น จึงหันไปมองโหยวเจียด้วยสายตาอันเสียดายทันที “ถ้างั้นคุณครูโหยว...”
“ได้เลยค่ะ” โหยวเจียพยักหน้าขึ้นมาทันที เธอพูดคุยจนปากแห้งผากไปหมดแล้ว พอชวีเสี่ยวปอพูดคำนี้ขึ้นมาจึงทำให้คำมีโอกาสได้ปลีกตัวออกมาพอดี “คุณแม่ของเสี่ยวปอไว้วันหลังพวกเราค่อยคุยกันใหม่นะคะ พอดีที่โรงเรียนคุณครูยังมีเื่ที่ต้องไปสะสางอยู่น่ะค่ะ”
“อย่างนั้นเหรอ” เวินลี่ลุกขึ้นยืน อันที่จริงเมื่อครู่เธออยากจะพูดว่า ถ้างั้นพวกเราไปเปลี่ยนที่คุยกัน แต่ในเมื่อโหยวเจียพูดขึ้นมาเช่นนี้แล้ว เธอจึงทำได้เพียงไปส่งโหยวเจียที่หน้าประตูห้องพักฟื้น : “รบกวนคุณครูแล้วค่ะ”
ชวีเสี่ยวปอได้ยินรางๆ เหมือนว่าทั้งสองคนจะพูดร่ำลากันที่หน้าประตูอีกสักสองสามประโยค หลังจากเสียงปิดประตูจึงดังขึ้น ในที่สุดก็กลับเข้าสู่ความสงบอีกครั้งหนึ่ง
เซี่ยเจิงก็คงจะไปแล้วละมั้ง?
ก่อนไปเล่นบาสเกตบอล ชวีเสี่ยวปอวางโทรศัพท์ทิ้งไว้ในห้องเรียน ตอนนี้อยากจะส่งข้อความไปหาก็ทำไม่ได้ แต่ไปแล้วก็ไม่เป็อะไร ถ้าหากอยู่ต่อนี่สิ กลับจะทำให้ดูแปลกอย่างเห็นได้ชัด
เพียงแค่ในที่สุดแล้วการแข่งขันบาสเกตบอลลีกมัธยมปลายก็ไม่มีวาสนากับเขาแล้ว
คุณหมอพูดเอาไว้ชัดเจนมากว่า ไม่ค่อยร้ายแรงเท่าไหร่ แต่ต้องพักฟื้นดูอาการที่โรงพยาบาลก่อน ทั้งยังต้องหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ โดยเด็ดขาด ก่อนหน้านี้ตอนที่ชวีเสี่ยวปออยู่ต่อหน้าโหยวเจียเขาอยากจะต่อต้านการเข้าร่วมการแข่งขันบาสเกตบอลลีกมัธยมปลายเป็ที่สุด ทว่าเมื่อได้ยินคุณหมอพูดออกมาแบบนี้แล้ว ความรู้สึกที่เหลือเอาไว้ให้เขากลับมีเพียงแค่ความเสียดาย
“คิดอะไรอยู่น่ะ? ” เวินลี่เดินกลับเข้ามา “ขาเจ็บมากเลยเหรอ? ”
“พอไหวครับ” เมื่อโหยวเจียไปออกไป ชวีเสี่ยวปอจึงไม่ได้แกล้งเจ็บแล้ว ประเด็นหลักก็คือถ้าหากยังแกล้งเจ็บต่อไปเขากลัวว่าเวินลี่จะรับไม่ไหว “แต่แค่แข่งบาสไม่ได้แล้ว”
“ยังจะคิดถึงเื่เล่นบาสอยู่อีก !” เวินลี่เบิกตากว้างจ้องเขาอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็พูดขึ้นมาอีกครั้งว่า : “เมื่อกี้ครูของลูกก็พูดกับแม่แล้วว่า ลูกสนใจการแข่งขันครั้งนี้จริงๆ ”