อูหลันฮวาล้างหน้าบ้วนปากแล้วก็เดินออกมาจากห้อง
"ต้าเหนียงจื่อจะออกเดินทางเมื่อไรเ้าคะ"
นางพูดช้าๆ ใช้ความพยายามพอสมควร แต่การออกเสียงก็ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากแล้ว
เหลียนเซวียนกวาดมองนางเล็กน้อย
ตัวสูง รูปร่างผอม ผิวคล้ำ เครื่องเคราใบหน้าดูอาจหาญคล้ายบุรุษอยู่บ้าง ดูไม่เหมือนหญิงทรงพลังที่สามารถต้านทานโจรป่าอย่างห้าวหาญ
"ฝนตกอยู่ ซ้ำยังต้องต้มยา ไหนเลยจะออกเช้าได้ ไปต้มยามาให้เหลียนเซวียนก่อน" เซวียเสี่ยวหรั่นวิ่งเข้าไปในห้องเหลียนเซวียน รื้อยาออกมาสองห่อ
"พี่สาว ข้าไปเอง" เซวียเสี่ยวเหล่ยเดินออกมาจากห้อง
เหลียนเซวียนใช้สายตาคมกวาดมองอีกครา
ตัวเตี้ยว รูปร่างผอม ผมแห้ง ตาโต ใบหน้าซูบจนแก้มตอบ ดูก็รู้ว่าเป็เด็กที่รับความลำบากมามาก
ติดตามพวกเขามาเกือบหนึ่งเดือนยังผอมแบบนี้ พื้นฐานร่างกายน่าจะย่ำแย่พอสมควร
ต้องจัดยาบำรุงให้กินอย่างต่อเนื่องอีกหลายชุด
"ข้าจัดการเองดีกว่า เสี่ยวเหล่ย เ้าพาอาเหลยไปปลดทุกข์เถอะ" เซวียเสี่ยวหรั่นไม่ได้ส่งยาให้ แต่มอบหน้าที่อื่นให้เขาไปทำแทน
ระหว่างทางได้รับการอบรมสั่งสอนจากเซวียเสี่ยวเหล่ย อาเหลยจึงเรียนรู้ที่จะไม่ปลดทุกข์เรี่ยราดตามอำเภอใจ
เซวียเสี่ยวเหล่ยพยักหน้าทันที แล้วกลับห้องจูงอาเหลยไปสุขา
"หลันฮวา เ้าไปสั่งอาหารเช้า โจ๊กซี่โครงหมู ปาท่องโก๋ น้ำเต้าหู้ ซาลาเปา หม่านโถวอย่างละชุด ให้เสี่ยวเอ้อนำมาส่งที่ห้องเหลียนเซวียน
ปรกติพวกเขาสี่คนก็กินข้าวที่ห้องของเหลียนเซวียน
"เ้าค่ะ" อูหลันฮวารับคำ หมุนตัวไปปิดประตูก่อนเดินไปห้องโถง
เซวียเสี่ยวหรั่นกอดห่อยาวิ่งไปที่ห้องครัว
เหลียนเซวียนยืนอยู่ตรงระเบียงมองพวกเขาที่กำลังยุ่งอยู่กับหน้าที่ของตน
ฝนด้านนอกยังคงตกซู่ซ่า ลมโชยเข้ามาทางระเบียงเป็ครั้งคราว
ละอองฝนเล็กๆ ที่มาพร้อมกับไอเย็นจับต้องบนใบหน้าของเขา
เหลียนเซวียนทอยิ้มบางเบา เงยหน้ารับละอองฝนที่สาดเข้ามา
เสี่ยวเอ้อของโรงเตี๊ยมยกอาหารเช้าตั้งโต๊ะเรียบร้อย เซวียเสี่ยวหรั่นก็ออกมาจากห้องครัว ยาต้มอยู่บนเตาเล็ก นางให้เงินคนงานในครัวสองอีแปะ บอกให้เขาช่วยเป็ธุระดูไฟให้สักครู่
"กินข้าวๆ วันนี้ยังมีงานต้องทำอีกมาก ต้องรีบหน่อย"
นางกวักมือเรียกทุกคนให้มากินอาหารเช้า
"อาเหลย เ้าจะกินซาลาเปาหรือหม่านโถว"
เซวียเสี่ยวหรั่นหยิบส่วนของตนเองขึ้นมาให้อาเหลยเลือกก่อน
อาเหลยเลือกซาลาเปา
เซวียเสี่ยวหรั่นย่อมจะวางหม่านโถวในชามของเหลียนเซวียน
เธอกินโจ๊ะซี่โครงหมู กับน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋ก็อิ่มแล้ว
เหลียนเซวียนชอบกินหม่านโถว อีกอย่างเขาก็กินจุ หม่านโถวย่อมต้องยกให้เขา
เซวียเสี่ยวหรั่นตักโจ๊กกินหนึ่งคำ ทำตาพริ้มอย่างพึงพอใจ
เหลียนเซวียนมองดูหม่านโถวที่แทบจะล้นชามออกมา ดวงตาหลุบต่ำฉายแววยิ้มอยู่หลายส่วน
เมื่อก่อนก็เป็เช่นนี้ แค่ดวงตาของเขามองไม่เห็น จึงไม่รู้สึกอะไรมาก แต่ดูจากตอนนี้ นางทำเหมือนว่าเป็เื่สมเหตุสมผลยิ่งนัก
เขาลอบมองนางที่กำลังก้มหน้าก้มตากิน
"หลันฮวา รอฝนหยุดตก ข้ากับเหลียนเซวียนและเสี่ยวเหล่ยจะไปสำนักวาณิชสกุลเมิ่ง เ้าอยู่ห้องเป็เพื่อนอาเหลย ถือโอกาสเขียนอักษรของวันนี้ไปเลยล่ะ"
เซวียเสี่ยวหรั่นกินโจ๊กเสร็จ ก็เริ่มฉีกปาท่องโก๋เป็ชิ้นเล็กๆ ใส่ลงไปในน้ำเต้าหู้ เธอชอบกินปาท่องโก๋ชุบน้ำเต้าหู้แบบนี้เป็ที่สุด
อูหลันฮวาเคี้ยวซาลาเปาอยู่ กลับทำหน้าตาห่อเหี่ยว
"ต้าเหนียงจื่อ ฝึกเขียนอักษรมันยาก"
นางฝึกพูดช้าจนชินเสียแล้ว
"ฝึกจนคล่องเดี๋ยวก็พลิกแพลงได้เอง วันหนึ่งฝึกเขียนอักษรแค่สามหน้ากระดาษ ไม่ยากเกินไปหรอก เ้าดูสิ เสี่ยวเหล่ยเพิ่งฝึกไม่นานเขาก็เขียนได้ไม่เลวแล้ว" เซวียเสี่ยวหรั่นพูดให้กำลังใจ
การเขียนอักษรด้วยพู่กันสำหรับเซวียเสี่ยวหรั่นแล้วถือว่ายากมาก แต่อย่างไรก็เคยเรียนมาหลายปี
เขียนออกมาไม่ยาก ที่ยากคือเขียนให้สวย
พู่กันอ่อนนุ่มเขียนอักษร อยากเขียนให้สวย ไม่ได้ฝึกกันแค่วันสองวัน
"คุณชายน้อยเป็บุรุษ แต่ข้าไม่ใช่" อูหลันฮวาไม่ชอบฝึกเขียนอักษรเอาเสียเลย
"สตรีก็ต้องเรียนหนังสือรู้จักอักษร ถึงจะแยกแยะถูกผิดเป็ ไม่ถูกผู้อื่นหลอกลวงเอาง่ายๆ อีกอย่าง พู่กันหมึกกระดาษก็ซื้อมาหมดแล้ว หากเ้าไม่ขุดออกมาใช้ให้สมราคา ที่จ่ายไปมากขนาดนั้นมิขาดทุนย่อยยับหรือไร"
เซวียเสี่ยวหรั่นพูดเกลี้ยกล่อมปากเปียกปากแฉะด้วยความหวังดี
อูหลันฮวาได้ยินเช่นนั้นก็ทำหน้าแข็งขัน
จริงสิ จ่ายเงินไปเยอะขนาดนั้น หากจำอักษรไม่หมดก็ขาดทุนแย่
"ต้าเหนียงจื่อ เดี๋ยวข้าจะเขียนเ้าค่ะ"
เซวียเสี่ยวหรั่นผลิยิ้ม "ถูกต้องๆ เ้าดูตัวอักษรที่ข้าเขียนเมื่อวาน ไม่ได้สวยไปกว่าเ้าเท่าไร พวกเราต่างก็พอกันนั่นแหละ ใครก็อย่าหัวเราะเยาะใครเชียว"
เหลียนเซวียนยิ้มกว้าง รับคำเสียงดัง
เหลียนเซวียนเหลือบมองสตรีที่หัวเราะอย่างโง่งมแต่เบิกบานฝั่งตรงข้าม คนที่บอกว่าศึกษาร่ำเรียนมาสิบสองปี แต่กลับเอาตนไปเปรียบเทียบกับคนที่ไม่เคยเรียนมาก่อนว่าอยู่ในระดับเดียวกัน เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรรู้สึกฉุนหรือขบขันดี
หลังกินมื้อเช้าเสร็จ ยาประคบดวงตาของเหลียนเซวียนก็เสร็จพอดี
เหลียนเซวียนชะงักไปชั่วขณะ แต่ก็ยังคงนอนลงเหมือนปรกติ
เซวียนเสี่ยวหรั่นนำผ้าสะอาดชุบน้ำแกงยา แล้วบิดเอายาออกเล็กน้อย ค่อยมาประคบที่ตาให้เขา
"เหลียนเซวียน ตอนนี้ยังเหลือยาอีกแค่วันเดียว ดวงตาของท่านยังไม่หายอีกหรือ"
เซวียเสี่ยวหรั่นนึกหวั่นวิตก ยืนนิ้วมือไปกดเบาๆ บนผ้าที่ประคบบนตาของเขา
"เกือบหายดีแล้ว" เหลียนเซวียนหลับพักสายตา ััได้ถึงนิ้วมือของนางที่กดลงมาเบาๆ
"จริงหรือ" เซวียเสี่ยวหรั่นได้ยินข่าวนี้ สีหน้าก็เผยความตื่นเต้นดีใจ "เมื่อเช้าหลังตื่นนอน รู้สึกว่าเห็นชัดขึ้นกว่าเมื่อวานมากหรือไม่"
นางถามคำถามนี้กับเขาแทบทุกเช้า
เช้าวันนี้ลืมถาม กลับได้ฟังข่าวดี
"อืม ชัดขึ้นไม่น้อย" ได้ยินน้ำเสียงยินดีของนาง มุมปากของเหลียนเซวียนก็โค้งขึ้นอย่างอดไม่ได้
"เช่นนั้น... เช่นนั้นก็เห็นอักษรในสมุดฝึกคัดชัดเจนแล้วสิ?" เซวียเสี่ยวหรั่นซักต่อ
"ใช่" เหลียนเซวียนผงกศีรษะ
"ว้าว เยี่ยมไปเลย"
หลังจากโห่ร้องและวิ่งไปรอบห้อง เซวียเสี่ยวหรั่นก็วิ่งไปห้องข้างๆ บอกข่าวดีให้เซวียเสี่ยวเหล่ยกับอูหลันฮวารับรู้
ไม่ช้า ก็มีคนสามคนมายืนทำตาโตอยู่ข้างเตียง
"ดวงตาของหลางจวินหายแล้วจริงหรือเ้าคะ" อูหลันฮวาพูดเร็วขึ้นเล็กน้อย
"อื้ม เขาบอกว่าเห็นอักษรในสมุดคัดชัดเจนแล้วด้วย" เซวียเสี่ยวหรั่นยิ้มไม่หุบ
"เช่นนี้ก็ต้องหายแล้วแน่นอน อักษรในสมุดก็มิได้ใหญ่มาก" เซวียเสี่ยวเหล่ยก็ดีใจไม่แพ้กัน
เมื่อก่อนเขาเขียนอักษรเสร็จ หลางจวินเห็นไม่ชัด ตนเองไม่อาจรู้ได้ว่าอักษรของตนเองเขียนได้ดีหรือไม่ในทัศนะของเขา
ทุกครั้งที่พี่สาวเป็คนตรวจก็มักพูดแต่ว่า ดีมาก ไม่เลว ก้าวหน้ากว่าเมื่อก่อน
แต่เซวียเสี่ยวเหล่ยอยากฟังความคิดเห็นจากหลางจวินมากกว่า
"มิน่า วันนี้ดวงตาของหลางจวินถึงโชติ่กว่าทุกวัน" อูหลันฮวานึกถึงเมื่อเช้าที่ตนเองถูกเขากวาดมองปราดหนึ่ง
"ไม่ผิด วันนี้ดวงตาของหลางจวินกระจ่างเป็พิเศษ" เซวียเสี่ยวเหล่ยนึกถึงสายตาของหลางจวินที่มองตนเองเมื่อเช้า ตอนนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนถูกมองจนทะลุปรุโปร่ง
"เช่นนั้นหรือ เหตุใดข้าไม่เห็นรู้สึกอะไรเลยเล่า" เซวียเสี่ยวหรั่นถูจมูก
หรือว่าเธอมัวแต่สนใจหนวดของเขา?
ทั้งสามเสียงดังจ้อกแจ้กอยู่ข้างเตียงไม่จบไม่สิ้น
เหลียนเซวียนซึ่งนอนอยู่บนเตียงหนังตากระตุกไม่หยุด
