ฝั่งตะวันตกของหมู่บ้าน เงาร่างหนึ่งพยุงตัวเองอยู่ขอบกำแพงเดินโซซัดโซเซ คลำทางแล้วเดินไปถึงหลังบ้าน ดันประตูหลังที่ไม่ได้ใส่กลอนไว้เปิดออก เดินกะเผลกเข้าไปพร้อมกับล็อกประตูไว้ และเดินไปยังห้องมืดเล็กของตัวเองทันที
“เพ้ย! มารดามันเถอะ เ้าหูฉางกุ้ยลูกสุนัขใบ้นั่น ไม่นึกเลยว่าจะหน้าซื่อใจเหี้ยมเช่นนี้ ที่บ้านเลี้ยงสิ่งใดกัน ไอ๊หยา… เหล่าจื่อเจ็บจะตายแล้ว!” คลำหาหินจุดไฟออกมาจากในความมืด และจุดไฟตะเกียงน้ำมันขึ้น ขับให้เห็นใบหน้าที่บิดเบี้ยวเพราะความเ็ปออกมา เป็จ้าวเอ้อร์หม่าจื้อนั่นเอง
เขาอดทนความเ็ป และเลิกขากางเกงที่มีคราบเืเป็จ้ำๆ ขึ้นมาด้วยความระมัดระวัง าแเหนียวติดอยู่บนกางเกงเล็กน้อย พอยกขึ้นก็เจ็บจนมือเท้าสั่นระริก
กว่าจะดึงขากางเกงจนาแปรากฏออกมาไม่ง่ายเลย จ้าวเอ้อร์หม่าจื้อถึงพบว่าบนขาท่อนล่างของตนเองมีแผลเปิดอ้าอยู่สามรอย ความหนาตื้นไม่เท่ากัน แล้วยังมีเืสีแดงไหลออกมาเป็ระยะๆ
“อ่า มารดามันเถอะ ไม่นึกเลยว่าจะาแลึกเช่นนี้ นี่รอยเล็บสัตว์หรือ? เป็แมวหรือสุนัข? …รอให้เหล่าจื่อจัดการให้กระจ่างก่อนเถิด แล้วคอยดูว่าข้าจะเลี้ยงมันไว้หรือไม่” จ้าวเอ้อร์หม่าจื้อกล่าวเคียดแค้นพร้อมกับขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“โอ๊ะ…” มองาแที่เืยังคงไหลไม่หยุด จ้าวเอ้อร์หม่าจื้อไม่มีเวลาสนใจสิ่งอื่น จัดการาแขึ้นทันที
วันต่อมาสีท้องฟ้าสว่างขึ้นทีละน้อยๆ
หูฉางกุ้ยตื่นอยู่นานแล้ว กำลังซ่อมแซมรั้วลานหลังบ้านที่เสียหายอย่างกลัดกลุ้มและไม่พูดไม่จา
เมื่อคืนประสบกับโจร แม้ไม่ได้เข้าบ้านก็หนีไปแล้ว แต่ก็ก่อให้เกิดเงาดำหนึ่งชั้นภายในใจของทุกคน
ฐานะทางบ้านเพิ่งจะดีขึ้นก็ถูกคนนึกถึงคะนึงหา ไม่ว่าใจของผู้ใดก็ล้วนเป็ทุกข์ทั้งนั้น
โชคดีนักที่ที่บ้านมีแมวมีสุนัข ความสามารถเฝ้าบ้านดูแลลานไม่มีบกพร่อง เจินจูเลยไม่ได้เอาเื่ราวมาใส่ใจมากเท่าไร
เช้าวันนี้ถือเป็การมอบรางวัล จึงเพิ่มน้ำแร่จิติญญาลงในอาหารเช้าให้ทั้งเสี่ยวเฮยและเสี่ยวหวง หนึ่งแมวหนึ่งสุนัขดีใจกันจนร้องอย่างมีความสุขอยู่พักหนึ่ง “หง่าว” “บ๊อกๆ”
ทานอาหารมื้อเช้าเสร็จ หูฉางกุ้ยพาเจินจูกับผิงอันเดินไปบ้านเก่า
ที่บ้านเก่าเพิ่งทานอาหารมื้อเช้า กำลังจัดเก็บถ้วยและตะเกียบ
เมื่อผิงอันเข้าไปในบ้าน ก็รีบบอกเล่าเหตุการณ์เมื่อคืนที่ขโมยพังรั้วจะเข้าบ้านแก่หวังซื่อ
หวังซื่อฟังจบสีหน้าครึ้มลง ตบโต๊ะหนึ่งที “ ‘ผัวะ’ ไอ้คนชั่วเหล่านี้ นี่เป็ความอิจฉาตาร้อนที่ฉางกุ้ยซื้อที่ดิน ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องไปบ้านหัวหน้าหมู่บ้านสักรอบ หมู่บ้านวั้งหลินดีๆ ของพวกเรา ไม่อาจให้พฤติกรรมชั่วขโมยไก่คลำสุนัขเหล่านี้พาให้เสื่อมเสียได้ หากมีแผลที่ขาก็จะรู้ได้ง่ายขึ้นว่าเื่สกปรกเป็ครอบครัวผู้ใดทำ”
หมู่บ้านวั้งหลินเป็หมู่บ้านเล็กๆ ยากจนข้นแค้น แต่ความเงียบสงบเรียบร้อยยังนับได้ว่าไม่เลว นานๆ ทีหากมีกรณีพิพาทก็ล้วนเป็เื่เล็กขนไก่เปลือกกระเทียม [1] แต่เหตุการณ์เช่นเมื่อคืนนี้ที่ขโมยกระทำการเข้าถึงบ้านพบได้น้อยจริงๆ
จ้าวเหวินเฉียงหัวหน้าหมู่บ้านก็โกรธเป็ฟืนเป็ไฟเช่นกัน เขาดำรงเป็หัวหน้าหมู่บ้านมาหลายปีเพียงนี้ หนึ่งในเื่ที่ทำให้เขาภูมิใจที่สุดคือความสงบเรียบร้อยเป็ที่น่าพอใจของหมู่บ้านวั้งหลิน แม้ชาวไร่ชาวนาใช้ชีวิตผ่านไปอย่างยากจน แต่เื่ขโมยใช้กำลังยื้อแย่งก็เกิดขึ้นน้อยมาก
เมื่อวานบ้านหูฉางกุ้ยเพิ่งเชิญเขาไปทานอาหารร่ำสุรา ตกดึกดันมีคนจิตใจชั่วร้ายโหยหาสิ่งของของบ้านหูฉางกุ้ยขึ้น น่าจะมองดูบ้านของครอบครัวหูอยู่นานมากแล้ว มีเพียงชาวไร่ชาวนาในพื้นที่ของหมู่บ้านวั้งหลินเท่านั้นที่ตกเป็ผู้ต้องสงสัยมากที่สุด
ในหัวของจ้าวเหวินเฉียงปรากฏเงาคนในหมู่บ้านที่ไม่เอาถ่านและเอ้อระเหยลอยชายไม่ทำมาหาเลี้ยงชีพขึ้นสองสามคน เป็ไปได้สูงที่คนเหล่านี้จะเป็ผู้ทำ
จ้าวเหวินเฉียงหายใจติดขัดไปครู่หนึ่ง หยิบฆ้องทองแดงที่ใช้โดยเฉพาะออกมา นำทางหวังซื่อและสองพี่น้องสกุลหูจนเดินมาถึงใต้ต้นมะเดื่อจีนเก่าแก่ที่อยู่ปากทางเข้าหมู่บ้าน และทำการเคาะ “เป้งๆๆ” ไม่นานชาวไร่ชาวนาบริเวณใกล้เคียงที่ได้ยินก็ล้วนมาชุมนุมเข้าด้วยกัน
จ้าวเหวินเฉียงเห็นคนมารวมตัวกันพอสมควรแล้ว จึงหยุดการเคาะฆ้องลง
ยื่นมือออกมาส่งสัญญาณให้เหล่าชาวไร่ชาวนาเงียบสงบ ผู้คนเ่าั้ที่ส่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจก็หันมาทางเขาแล้วเงียบเสียงลงทันที
จ้าวเหวินเฉียงมองซ้ายขวาไม่กี่ทีด้วยความพึงพอใจ ที่การกระทำของหัวหน้าหมู่บ้านเช่นเขายังมีความน่าเกรงขามอยู่มาก
แสร้งทำเป็ไอสองทีเมื่อแสดงท่าทางเพียงพอแล้ว จึงกล่าวจุดประสงค์ในการชุมนุมของชาวไร่ชาวนาออกมาช้าๆ
พอชาวไร่ชาวนาได้ฟังก็ทยอยกันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นทันที
“เมื่อวานบ้านหูฉางกุ้ยเพิ่งซื้อที่ดิน ในบ้านก็ถูกคนโหยหาเข้าแล้ว จุ๊ๆ…”
“บ้านของลูกคนรองสกุลหูประสบกับขโมยหรือ? เป็การอิจฉาตาร้อนแล้วแน่เลย!”
“ถูกแมวข่วน? แมวมีความแข็งแรงมากเท่าไรกัน”
“ร่ำรวยขึ้นแล้วก็ต้องประสบกับโจร เมื่อก่อนอดอยากเสียจนเสียงชามกับช้อนกระทบกันดังก๊องแก๊งจะมีโจรขึ้นบ้านเขาได้อย่างไร แหะๆ”
ความรู้สึกยินดีปรีดาในความโชคร้ายของผู้อื่นบ้าง ดูอารมณ์ไม่ออกบ้าง ไม่สนใจบ้าง ชาวไร่ชาวนาส่วนใหญ่ที่เป็ผู้ชมอยู่ด้านข้างล้วนมีสภาพจิตใจประหนึ่งว่าเื่นี้ไม่เกี่ยวกับตัวเองทั้งนั้น
มีเพียงชาวไร่ชาวนาที่มีความสัมพันธ์อันดีกับครอบครัวสกุลหูอยู่ไม่กี่คน กลับเป็ห่วงเป็ใยหวังซื่อที่ยืนอยู่ด้านข้าง เดินไปข้างกายแล้วไถ่ถามว่าที่บ้านมีคนได้รับาเ็หรือมีทรัพย์สินในบ้านสูญหายหรือไม่
ถกเถียงกันอยู่ครู่หนึ่ง จ้าวเหวินเฉียงจึงกล่าวหัวข้อสนทนาต่อ เนื้อหาโดยประมาณคือ ความเป็อยู่ทั่วไปโดยตลอดมาของหมู่บ้านวั้งหลินมีความปลอดภัยสงบเรียบร้อยเป็ที่น่าพอใจ เื่ขโมยที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นเช่นนี้ ทุกคนต้องรักษาความระมัดระวัง ห้ามปกปิดเงียบไว้ อย่าให้การกระทำอันไร้จริยธรรมส่งผลกระทบต่อกระแสสังคมในหมู่บ้าน...
...จ้าวเอ้อร์หม่าจื้อกำลังนอนเอกเขนกี้เีอย่างเซื่องซึมอยู่ในห้อง แผลบนขายังเจ็บอยู่มาก เมื่อคืนเขาจัดการพันขาตนเองไว้เพียงลวกๆ แล้วค่อยตัดขากางเกงที่มีรอยขีดข่วนและคราบเืมาโยนเข้าแท่นเตาเผาจนกลายเป็เถ้าถ่าน ทำสิ่งเหล่านี้เสร็จเขาก็ย่ามใจว่าไม่มีร่องรอยอะไรเหลืออยู่แล้วจึงกลับห้องไปนอนหลับ
“พ่อเ้า ตอนเช้าหัวหน้าหมู่บ้านเคาะฆ้องทองแดงประชุม เกิดอะไรขึ้น?”
นอกห้อง เสียงแหบของมารดาจ้าวเอ้อร์หม่าจื้อดังแว่วเข้ามา
เขาที่นอนอยู่บนเตียงใตื่นลุกขึ้นมานั่งทันที มองนอกหน้าต่างหูตั้งขึ้น
“ได้ยินมาว่าเมื่อคืนขโมยเข้าบ้านบุตรคนรองสกุลหู หัวหน้าหมู่บ้านให้ทุกคนมาประชุมแล้วรายงาน ดูว่าผู้ทำเป็คนในหมู่บ้านหรือไม่”
เสียงแหบมีพลังที่กำลังกล่าวเป็เสียงท่านพ่อของจ้าวเอ้อร์หม่าจื้อ
“ขโมย? พ่อเ้า เฉียงจื้ออยู่บ้านหรือไม่?”
เสียงมีความกังวลใจและสั่นเทา
จ้าวหย่งเฉียงชื่อเดิมของจ้าวเอ้อร์หม่าจื้อ เพราะบนใบหน้าขรุขระ คนในหมู่บ้านต่างเรียกเขาว่าเอ้อร์หม่าจื้อ เรียกแบบนี้นานวันเข้า ชื่อที่แท้จริงของเขาก็ไม่มีคนจำได้แล้ว
“อยู่ นอนอยู่ในห้อง”
“อ้อ… เช่นนั้นยังดี… ยังดี…”
บุตรชายครอบครัวนางเป็อย่างไรนางรู้แจ้งอย่างดี ได้เห็นว่าสกุลหูร่ำรวยขึ้น เป็ไปได้ที่จะอิจฉาตาร้อนทำเื่โง่ๆ ลงไป
จ้าวเอ้อร์หม่าจื้อที่อยู่ในห้องสีหน้าซีดเผือด ร่างกายเริ่มสั่นขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่นึกเลยว่าจะไปร้องเรียนกับหัวหน้าหมู่บ้านผู้นั้น ไม่ได้การ เขาต้องรีบหนี บนขาเขามีาแอยู่ด้วย หากถูกจับได้ก็จะความลับแตก คิดถึงความสัมพันธ์อันดีของครอบครัวสกุลหูกับเ้าของโรงเตี๊ยมและร้านสมุนไพรในเมืองแล้ว หากแก้ไขสถานการณ์ไม่ดีอาจถูกเปิดโปงส่งเข้าคุกได้ พอเขาคิดได้ดังนี้ร่างกายก็ตกตะลึงเหงื่อแตกมือเท้าเย็น
ลงจากเตียงสวมเสื้อผ้าอย่างเร่งรีบ แล้วล้วงเงินสองเหลียงสุดท้ายออกมาจากข้างหลังตู้ในซอกกำแพง
จ้าวเอ้อร์หม่าจื้อดึงประตูห้องเปิดออกเตรียมจะหนี
“ลูกชาย เ้าตื่นแล้ว”
“ท่านแม่ ข้ามีธุระเข้าเมืองต้องไปสักพักถึงจะกลับมา หากมีคนถามท่านก็บอกว่าข้าไม่อยู่บ้าน ไปทำงานในเมือง อย่าลืมนะ”
กล่าวจบก็รีบเดินไปทางประตูหลัง
“เฉียงจื้อ นี่เ้าจะไปทำอันใดหรือ รีบเช่นนี้? ขาเ้าเป็อะไร? กระแทกอะไรเข้าหรือ?”
มองจ้าวเอ้อร์หม่าจื้อเดินกะเผลกจากไป ความกระวนกระวายภายในใจของท่านพ่อสกุลจ้าวยิ่งรุนแรงขึ้น ไล่ตามไปข้างหน้าแล้วถามโดยมิรอช้า
“เอ่อ… โดนกระแทก ไม่เป็อะไร อีกเดี๋ยวก็หายแล้ว ท่านพ่อ ท่านจำไว้นะ ว่าข้าไปทำงานในเมืองจะไม่อยู่บ้านหลายวัน” จ้าวเอ้อร์หม่าจื้อตอบอย่างหงุดหงิด
เขาดึงประตูเปิดแล้วมองซ้ายขวาอยู่สองสามที พอเห็นว่าไม่มีคนจึงเดินรีบเร่งออกไป บ้านเขาอยู่ด้านข้างของหมู่บ้าน ขอแค่เลี้ยวเข้าทางูเาก็จะไม่มีคนเห็นเขาแล้ว
“ลูกชาย!”
“เฉียงจื้อ!”
สองสามีภรรยาตามออกไปนอกบ้าน กลับเห็นจ้าวเอ้อร์หม่าจื้อเลี้ยวไปทางเส้นเล็กเข้าป่าเขาไปแล้ว
สองคนได้แต่มองดูกันไปมา ความไม่สบายใจในสายตายิ่งรุนแรงขึ้น
...ไม่ว่าในหมู่บ้านจะวุ่นวายอย่างไร ล้วนไม่สามารถรบกวนความรู้สึกดีภายในใจของเจินจูได้
เจินจู ชุ่ยจู ผิงอัน ผิงซุ่น รีบเร่งมาถึงที่รกร้างว่างเปล่าผืนใหญ่แต่เช้าตรู่
“ว้าว ท่านพี่ ที่ดินหนึ่งผืนใหญ่นี้เป็ของครอบครัวเรา?” ผิงอันมองที่ดินผืนใหญ่เบื้องหน้าด้วยสองตาเป็ประกาย เดินไปด้วยร้องอุทานตื่นเต้นไปด้วย
“ฮ่าๆ ใช่แล้ว!” เจินจูหัวเราะแล้วมองไปรอบๆ อื้ม หนึ่งผืนใหญ่มากจริงๆ
“เมื่อก่อนตอนผ่านมาไม่ได้ใส่ใจเป็พิเศษ ตอนนี้ยืนอยู่ที่นี่ถึงรู้สึกว่าที่แห่งนี้เป็หนึ่งผืนที่กว้างมากจริงๆ” ชุ่ยจูพินิจพิเคราะห์บริเวณรอบๆ กล่าวความรู้สึกออกมาเบาๆ
“ผิงอัน ครอบครัวเ้าจะปลูกบ้านที่นี่หรือ? จะสร้างตรงไหนหรือ?” หลังผิงซุ่นวิ่งวนหนึ่งรอบ จึงถามด้วยเสียงหอบฟืดๆ
“ไม่รู้เลย ท่านพี่ บ้านเราจะสร้างตรงไหนหรือ?” ผิงอันสังเกตอย่างละเอียดไปรอบๆ
“นี่มิใช่กำลังค้นหาหรอกหรือ ทุกคนลองดูรอบๆ อีกเดี๋ยวพวกเราจะกำหนดตำแหน่งคร่าวๆ” เจินจูถือกระดาษกับดินสอถ่าน เตรียมหาพื้นที่ที่ชัยภูมิสูงนิดหน่อยดูตำแหน่ง
“โอ้” ผิงซุ่นผิงอันวิ่งะโโลดเต้นกระจายกันออกไป
“เจินจู บ้านต้องสร้างใกล้กับทางแยกกระมัง?” ชุ่ยจูกล่าวแล้วชี้ไปทางขามา
“อืม ก็ไม่ต้องหรอก ต่อไปที่บ้านจะมีรถม้า ไปไหนก็สะดวก” สำหรับรถม้า เจินจูอยากซื้ออยู่นานแล้ว รถม้าวิ่งได้เร็วกว่าเกวียนวัวมากนัก ลำเลียงสินค้าเข้าออกยิ่งสะดวกสบายกว่า แต่ม้าแพงกว่าวัวไม่น้อย ปัจจุบันนี้ที่บ้านต้องเตรียมสร้างบ้าน เื่ที่จำเป็ต้องใช้จ่ายมีมาก รอให้บ้านใหม่สร้างเสร็จแล้วค่อยว่ากัน
“รถม้า?” ชุ่ยจูดวงตาทอประกายวาบ “ท่านอารองจะซื้อรถม้าหรือ?”
“แหะๆ ต้องซื้อสิ เกวียนวัวเดินช้าเกินไปแล้ว ขนส่งสินค้าไม่สะดวกเลย”
ปีนขึ้นบนหินใหญ่หนึ่งก้อน เจินจูเพ่งตามองไปรอบๆ ที่รกร้างว้างเปล่าใหญ่นัก มีหินสะเปะสะปะหญ้ารกรุงรังเยอะมาก พุ่มไม้ต่ำเตี้ยกับไม้แห้งบิดเบี้ยวตัดสลับกัน โอ้... เกรงว่าหากจัดเก็บให้เป็ระเบียบขึ้นมาคงต้องสิ้นเปลืองเวลาไม่น้อย
“เ้าระวังหน่อยนะ” ชุ่ยจูมองเด็กสาวที่ยืนตัวตรงอยู่บนหินด้วยความห่วงใย
หลังปีใหม่นี้ เจินจูจะอายุสิบเอ็ดปีแล้ว เดิมทีรูปลักษณ์เล็กเตี้ยคล้ายกับกิ่งต้นหลิวก็มิปาน ตอนนี้เริ่มแตกกิ่งงอกขึ้น ค่อยๆ มีบุคลิกของเด็กสาววัยแรกแย้มที่มีเสน่ห์ ใบหน้าเล็กอ่อนวัยมีสีขาวนวล เต็มไปด้วยความสุขุมใจเย็นไม่เหมาะกับอายุของนางเลย สองอย่างเทียบสลับกันไปกลับมีเสน่ห์ที่แตกต่าง
“ไม่เป็ไร” เจินจูหันมายิ้มกับนาง แล้วเงยหน้าขึ้นสำรวจดูชัยภูมิอย่างมุ่งมั่นอีกครั้ง
ที่จริงตำแหน่งผืนดินรกร้างว่างเปล่านี้ไม่เลวเลย ใกลู้เากับแม่น้ำและต้นไม้ใบหญ้าอันอุดมสมบูรณ์บดบังแสงแดด หลายปีนี้ไม่มีชาวไร่ชาวนาคิดจะปลูกบ้านที่นี่ เหตุผลหลักคือหินก้อนเล็กก้อนน้อยและพุ่มไม้เตี้ยมีมากมาย หากจัดระเบียบขึ้นมายุ่งยากเกินไป การสร้างบ้านที่นี่ยังต้องซ่อมแซมถนนเส้นเล็กจากบ้านออกไปยังถนนทางการเอง แล้วยังห่างจากหมู่บ้านค่อนข้างไกลอีก สร้างขึ้นมาอย่างเปลืองแรงเปลืองใจ แม้แต่เพื่อนบ้านข้างๆ ก็ไม่มีสักหลัง เงียบเหงาเกินไปจริงๆ มนุษย์เป็สัตว์สังคม ส่วนใหญ่หวาดกลัวความโดดเดี่ยว น้อยคนที่จะยอมให้ตนเองใช้ชีวิตกับครอบครัวโดยลำพัง
“ท่านพี่! ท่านพี่! มานี่สิ…”
เสียงร้องะโของผิงอันอยู่ไกลๆ ทำให้ความคิดของเจินจูหยุดลง มองออกไปตามเสียงนั้นเห็นเงาร่างเล็กๆ ของผิงอันและผิงซุ่นอยู่ตีนเขาูเาซิ่วซี กำลังโบกมือมาทางนาง
รูปลักษณ์ผิงอันในขณะนี้แม้ยังคงตัวผอมลีบ แต่ร่างกายกลับแข็งแรงขึ้นมาก การปรับเปลี่ยนอาหารของครอบครัวสกุลหู่เวลานี้ดีขึ้นทุกวัน ยิ่งทำให้เขาดูสดชื่นพละกำลังวังชาเต็มเปี่ยม ก็ไม่ใช่เพราะเช่นนี้หรอกหรือ เวลาครู่เดียวก็วิ่งไปไกลถึงเพียงนั้น
เจินจูจูงชุ่ยจูหลบหลีกก้อนหินสะเปะสะปะกับพุ่มไม้เตี้ยเดินไปทางผิงอัน
“พวกท่านช้าเกินไปแล้ว…” ผิงซุ่นกล่าวพึมพำอย่างไม่พอใจ
“ก้อนหินปะปนกับหญ้าเยอะเพียงนี้ จะเดินเร็วได้อย่างไร” ชุ่ยจูมองผิงซุ่นตาขาวหนึ่งที “ร้องะโเสียงดังอะไรกัน?”
“ท่านพี่ ตรงนี้มีน้ำพุร้อน น้ำทั้งอุ่นทั้งหวาน” ผิงอันนั่งยองอยู่บนเนินลาด ในระหว่างก้อนหินเล็กละเอียดที่ปนเปกันอยู่ มีน้ำพุหนึ่งแอ่งที่ใสจนมองเห็นด้านล่างกำลังผุดฟองอากาศปุดๆ ลอยขึ้นมา
เชิงอรรถ
[1] ขนไก่เปลือกกระเทียม เปรียบเปรยว่า เป็เื่หยุมหยิมเล็กน้อยไม่ได้มีความสำคัญ