ภายในอวี๋หรงกรุ๊ป เ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบดำเนินการด้านกองทุนการกุศลได้นำข้อมูลของผู้รับทุนช่วยเหลือ 40 รายมาให้ซูอิน
ก่อนจะมาที่นี่ ซูอินเคยพูดคุยกับทีมงานทั้งหมดแล้ว เธอพบว่าคุณอาอวี๋หรือเลขาฯ ที่รับผิดชอบการดำเนินขั้นตอนต่างๆ มีสายตาแหลมคมมาก คนเหล่านี้ตั้งใจทำงานการกุศลจริงๆ หลังจากการพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนของพวกเขา รวมถึงลงพื้นที่ตรวจสอบตามรายชื่อ ทำให้ซูอินไม่มีอะไรที่ต้องกังวล
เธอเปิดเอกสารดูก่อนสายตาจะให้ความสนใจอยู่ที่เกณฑ์การให้ทุน
“แค่สองพันหยวนเองหรือคะ ไม่น้อยไปหรือ”
เมื่อเปิดดูรายชื่อนักเรียนที่ได้รับทุนระดับมัธยมปลาย เงินยิ่งน้อยกว่าเดิมอีก แค่หนึ่งพันหยวน
ในเวลานั้นซูอินลืมไปเสียสนิท ว่าตอนที่เธอยืมเงินของฉินหล่างเมื่อครั้งอยู่ที่โรงพยาบาลเพื่อนำมาเป็ค่าใช้จ่ายสำหรับชั้นมัธยมปลาย เธอยังเอ่ยอย่างระมัดระวังว่าขอยืมแค่สองพันหยวน เธอไม่เคยเรียนมหาวิทยาลัย แต่รับรู้ค่าใช้จ่ายระดับมหาวิทยาลัยมาจากหลิงเมิ่ง เธอจำได้แค่ว่าตอนที่หลิงเมิ่งเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่งๆ ใช้เงินราวหนึ่งแสนหยวน ยิ่งตอนที่เป็นักเรียนแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศสองปี ยิ่งใช้เงินหลายแสนจนไปถึงหลักล้าน
“เงินแค่นี้…พอใช้หรือคะ”
เ้าหน้าที่อธิบายให้เธอฟังอย่างใจเย็น “พวกเราอ้างอิงจากโรงเรียนมัธยมปลายทั่วเมืองผิง และหลักเกณฑ์การรับเข้ามหาวิทยาลัย โรงเรียนระดับมัธยมปลายเก็บค่าใช้จ่ายต่อเทอมแค่ไม่กี่ร้อยหยวน ส่วนมหาวิทยาลัยคิดค่าใช้จ่ายรายปี ปีละไม่เกินสามพันหยวน เกณฑ์ให้เงินช่วยเหลือนี้ หากพวกเขาตั้งใจเรียนในระดับมหาวิทยาลัยก็จะได้รับทุนการศึกษาอีก ซึ่งสามารถเรียนจบมหาวิทยาลัยได้อย่างราบรื่น”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูอินจึงวางใจ
เงินช่วยเหลือนักเรียนระดับมัธยมปลาย 20 คน และนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย 20 คน จากเกณฑ์ประเมินทำให้เงินที่จ่ายออกไปในครั้งนี้รวมเป็หกหมื่นหยวน ซึ่งเงินสองแสนหยวนของเธอครอบคลุมค่าใช้จ่ายในส่วนนี้
เพราะมันเป็เงินในส่วนของเธอ แน่นอนว่าทำให้เธอได้รับชื่อเสียงในครั้งนี้
เธอยกปากกาขึ้นมา ก่อนเซ็นชื่อลงบนหนังสือสัญญาของนักเรียนที่รับเงินช่วยเหลือ
ขั้นตอนต่อไปคือพบปะผู้ปกครองนักเรียนที่ได้รับทุน มอบเงินให้พวกเขา และถือโอกาสให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ สิ่งนี้มักเห็นได้จากโทรทัศน์ในยุคปัจจุบัน ผู้ให้ทุนและผู้รับทุนร่วมกันถือป้ายบริจาคเพื่อการกุศลขนาดใหญ่ บันทึกวิดีโอและถ่ายภาพเพื่อออกข่าว ฝ่ายหนึ่งได้ชื่อเสียง อีกฝ่ายได้รับผลประโยชน์
เ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานดูแลกองทุนการกุศลนี้มีความรับผิดชอบสูงมาก ก่อนที่เธอจะมา พวกเขาเคาะประตูตามบ้าน แจ้งผู้ที่ได้รับทุนว่าวันนี้ต้องมาเซ็นสัญญาและรับเงิน ตอนที่ซูอินขึ้นมาถึงห้องประชุมชั้นสองพร้อมกับเ้าหน้าที่ก็เห็นเหล่านักเรียนที่ได้รับทุนและผู้ปกครองนั่งอยู่กันพร้อมหน้าแล้ว
เมื่อกวาดตามองเธอเห็นสองสามคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาดี นอกจากครอบครัวที่ขายห้องให้เธอเพื่อนำเงินไปรักษาคนชราในบ้าน และใช้เป็ค่าเล่าเรียนของบุตรแล้ว ก็ยังมีคู่แม่ลูกหมู่บ้านใกล้เคียงที่นั่งรถตู้เข้าเมืองมาพร้อมกับเธอเมื่อเช้านี้
สองแม่ลูกจำซูอินได้ หลังจากใพวกเขาได้แต่ก้มศีรษะก่อนจะหันหน้าหนีไปทางอื่น
มือของซูอินที่ยกขึ้นเพื่อทักทายค้างกลางอากาศทันที ทำให้เธอเกิดข้อสงสัยไม่น้อย
นี่...มันอะไรกัน
ไม่นานเธอก็นึกถึงตนเองเมื่อชาติก่อน การได้รับความช่วยเหลือเพื่อการกุศลจากผู้อื่นเป็ความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีนัก
ความรู้สึกที่เธอ้าค่าเล่าเรียนจากมือของอู๋อู๋ในวันนั้นยังคงติดอยู่ในใจ เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นที่คฤหาสน์ตระกูลหลิง แต่ในตอนนี้คนเหล่านี้กลับต้องมารับเงินเพื่อการกุศลในที่สาธารณะที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย อีกทั้งต้องบันทึกภาพเพื่อออกสื่อและถ่ายทอดทางโทรทัศน์ แสดงความยากจนของตนเองต่อหน้าผู้คนทั้งมณฑล
ความรู้สึกนั้น…
สิ่งที่ตนเองไม่้าจงอย่ายัดเยียดให้ผู้อื่น
“ไม่ต้องบันทึกภาพหรอก”
“ทำไมหรือ”
อวี๋ฉิงและเ้าหน้าที่กองทุนการกุศลเอ่ยถามพร้อมกัน
เธอมองไปรอบๆ เห็นเหล่าผู้รับเงินทุนช่วยเหลือที่สวมเสื้อผ้าซอมซ่อ ซูอินก็ก้มศีรษะและเอ่ยด้วยท่าทีละอายใจ “ฉันคิดว่าหากต้องออกทีวีก็คงรู้สึกไม่ค่อยดี คนมากมายขนาดนั้น…ใช่ไหมอันอัน”
เด็กชายตัวน้อยไม่เข้าใจคำพูดนั้นสักเท่าไร แต่เมื่อเป็คำพูดของพี่สาวอย่างไรก็ถูกต้องเสมอ
ศีรษะเล็กพยักหน้า ก่อนที่น้ำเสียงน่ารักของเด็กชายตัวน้อยจะเอ่ยด้วยท่าทีมุ่งมั่น “อื้อ ใช่เลย”
ไม่ใช่แค่อวี๋ฉิง แม้แต่เ้าหน้าที่ก็เป็คนมีไหวพริบ ปฏิกิริยาของซูอินที่อยู่ตรงหน้า เมื่อลองครุ่นคิดดูสักนิดก็พอจะเข้าใจถึงเจตนาที่แท้จริงของซูอิน
ซูอินกำลังปกป้องความนับถือตัวเองของผู้มารับทุนอย่างนั้นหรือ
ความดีงามที่แท้จริงมักจะกระตุ้นความรู้สึกในใจของผู้คนอย่างง่ายดาย ถึงแม้จะเข้าใจ แต่หากไม่มีสื่อเข้ามาช่วย การติดตามการระดมทุนการกุศลอาจไม่ราบรื่นนัก เขาจึงอดไม่ได้ที่จะยังไม่เห็นด้วย
“คุณหนูครับ คุณหนูคิดว่ายังไงครับ”
“ถ้าไม่อยากออกสื่อก็ไม่ต้องออก คุณไปอธิบายกับทางสถานีแล้วกัน”
อวี๋ฉิงรู้ว่าหากไม่ออกสื่อจะเป็อย่างไร แต่มันก็แค่เื่เงิน อย่างไรครอบครัวของพวกเธอก็มีเงิน
เื่นี้ไม่ใช่ปัญหา!
“ได้ครับ เดี๋ยวผมจัดการให้”
เ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการเข้าไปทักทายนักข่าวที่เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ บังเอิญว่านักข่าวซึ่งรับผิดชอบการสัมภาษณ์ที่อวี๋หรงกรุ๊ปคือนักข่าวมือหนึ่งของสำนักข่าว ครั้งก่อนที่หยางอวี้หลานช่วยชีวิตทหารที่ได้รับาเ็จากดินถล่ม เขาก็เป็คนทำข่าว
ครั้งก่อนที่ดินถล่มมีคนาเ็เพียงคนเดียว จึงไม่เป็ข่าวที่ผู้คนจับตาดูสักเท่าไร แต่เขากลับจับประเด็นสำคัญ และพยายามอธิบายการกู้ชีวิตได้ทันเวลาของโรงพยาบาลประชาชนประจำเมือง กล่าวถึงความตั้งใจในการทำงานของแพทย์และพยาบาล การรายงานข่าวในครั้งนั้นจึงมีส่วนช่วยให้หยางอวี้หลานได้โควตาเข้าร่วมคลาสระยะสั้น
จากเื่นี้มองออกได้ไม่ยากว่านักข่าวคนนี้ตั้งใจและมีความรับผิดชอบสูง เมื่อรู้เหตุผลชัดเจนแล้ว เขาก็รู้สึกประทับใจในทัศนคติที่มีน้ำใจของซูอิน
“นี่เป็เื่ดี จำเป็ต้องรายงานข่าวให้ดี เอาอย่างนี้ แค่บันทึกภาพป้ายบริจาคเพื่อทำเป็ข้อความข่าวที่กระจายออกไปดีไหม”
ไม่บันทึกหน้าคน แต่มีการพูดถึงเื่นี้ อย่างไรก็ยังมีผลกระทบ อย่างน้อยก็ไม่ทำให้เหล่านักเรียนยากจนรู้สึกแย่กับตัวเอง
ซูอินยอมรับด้วยความยินดี
พิธีการบริจาคเงินช่วยเหลือดำเนินไปตามปกติ ในใจของเหล่าผู้ปกครองและนักเรียนยากจนที่อยู่หน้าเวทีเต็มไปด้วยความรู้สึกสับสน
ผู้ที่เข้ารับเงินบริจาคในครั้งนี้ส่วนมากเป็ครอบครัวชาวนาที่ยากจน หรือไม่ก็เป็คนตกงาน ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ขยัน แต่ฐานะที่มีขีดจำกัดทำให้หาเงินไม่ได้ มีคนให้การช่วยเหลือทันเวลา หยิบยื่นเงินให้ นับเป็เื่ดีที่์ประทาน พวกเขาล้วนเต็มไปด้วยความประทับใจ แต่เมื่อเผชิญเื่นี้จริงๆ มีกล้องของสื่อที่กำลังจะถ่ายทอดความยากจนของพวกเขาออกไปให้ผู้อื่นชมในอีกไม่ช้า ในใจก็เริ่มรู้สึกไม่สู้ดี
แต่จะแก้ไขอะไรได้ ก็คงต้องยอมรับมัน
นกน้อยควรทำรังแต่พอตัว
ในตอนที่จิตใจกำลังสับสน ก็มีเสียงหวานๆ ดังขึ้นจากบนเวที
“เอ่อ…ทุกคนไม่ต้องประหม่านะคะ การบริจาคเงินของพวกเรามีจุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือทุกคน คาดหวังให้ทุกคนได้ใช้ความรู้เพื่อเปลี่ยนชะตาชีวิต ไม่ใช่เพราะชื่อเสียงหรือผลประโยชน์ ดังนั้นถึงแม้วันนี้จะมีทีมงานจากสื่ออยู่ที่นี่ด้วย แต่พวกเขาจะไม่บันทึกภาพมาก อย่างน้อยที่สุดก็จะไม่มีการแพร่ภาพใบหน้าของทุกคนออกไปค่ะ”
คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีการบันทึกภาพ
ในเวลานั้นผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือทั้งสี่สิบครอบครัวก็เงยหน้าขึ้นมา แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความใ ผ่านไปสักระยะหนึ่ง เมื่อหายใแล้วจึงเปลี่ยนเป็ความประทับใจ ผู้บริจาคเงินช่วยเหลือไม่เพียงมอบเงินให้ แม้แต่ในจุดนี้ก็คำนึงถึงพวกเขา
บนเวที ซูอินยังคงเผยรอยยิ้มอ่อนโยน
“สิ่งที่ควรพูด สิ่งที่ควรทำ เ้าหน้าที่กองทุนเงินบริจาคการกุศลเพื่อช่วยเหลือด้านการศึกษาคงอธิบายให้ทุกคนทราบหมดแล้ว ตัวดิฉันคงไม่พูดมาก แค่้ากล่าวบางอย่างอีกเล็กน้อย”
มอบข้าวหนึ่งถุงเป็บุญคุณ มอบข้าวหนึ่งกระสอบเป็ความโกรธแค้น[1] เมื่อชาติก่อนสื่อได้เปิดโปงคนอกตัญญูจำนวนมากที่ได้รับเงินช่วยเหลือ ตอนแรกที่ได้รับการช่วยเหลือ ในใจของพวกเขายังคงเต็มไปด้วยความประทับใจ เมื่อเคยชินกับความรู้สึกเช่นนั้นไปนานๆ พวกเขากลับคิดว่าการที่คนอื่นมอบเงินให้เป็เื่ปกติ ตอนที่ตัดสินใจจัดตั้งกองทุนการกุศล เธอได้คำนึงถึงจุดนี้ด้วย
เธอคิดว่าจำเป็ต้องพูดเื่นี้ให้ชัดเจน
เธอสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะพูดต่อ “เงินของทุกคนไม่ได้พัดมากับสายลม ความขยันของทุกคนต่างก็ได้รับความสำคัญ พวกเราบริจาคเงิน พวกเ้าหน้าที่ในทีมเลือกรายชื่อ ติดต่อหาพวกคุณทุกคนและทุ่มเทด้วยความตั้งใจ ดิฉันหวังว่าความทุ่มเทนี้จะไม่สูญเปล่า ขอให้ทุกครอบครัวที่รอรับเงินในส่วนนี้จะตั้งใจเรียน นำการศึกษาในอนาคตและความรู้มาเปลี่ยนแปลงโชคชะตา ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ แต่หวังว่าทุกคนจะไม่ลืมความตั้งใจเดิมของตนเอง ไม่ลืมจุดเริ่มต้น และเดินไปข้างหน้าด้วยความบากบั่น”
เธอนิ่งไปเล็กน้อย เห็นการแสดงออกที่ครุ่นคิดของผู้คนด้านล่างเวที เธอจึงพูดประโยคสุดท้ายออกมา “เอาละค่ะ ดิฉันพูดจบแล้ว ต่อไปจะเป็พิธีมอบเงินอย่างเป็ทางการ”
----------------------------------------------------------------------------
[1] มอบข้าวหนึ่งถุงเป็บุญคุณ มอบข้าวหนึ่งกระสอบเป็ความโกรธแค้น หมายถึง ถ้าคุณช่วยเหลือใครเพียงเล็กน้อยในตอนที่เขาประสบปัญหา เขาจะรำลึกในบุญคุณ แต่ถ้าคุณช่วยเขามากเกินไปจนทำให้พวกเขาต้องพึ่งพาคุณ เมื่อหยุดช่วยเหลือเขา มันจะกลายเป็ความโกรธเคืองแทน