รถม้าแล่นออกจากเมืองหลวงซ่งเฉิงอย่างรวดเร็ว
ภายในรถม้า คือพระราชนัดดา ซ่งเจิ้งซี ผู้หวาดกลัวและงุนงง
ชายหนุ่มพิงขอบหน้าต่าง รู้สึกถึงแรงสั่นะเืของรถม้า กำลังนึกย้อนไปถึงบทสนทนาที่พูดคุยกับชายแปลกหน้า
“เกาเซียนจือ? เป็ไปได้อย่างไร เขา้าสังหารข้า แล้วเหตุใดจึงช่วยข้าไว้?” ซ่งเจิ้งซีเบิกตากว้าง พลางมองอีกฝ่าย
กู่ไห่หัวเราะ และส่ายหน้าน้อยๆ “พระราชนัดดายังมิทรงเข้าใจสถานการณ์อีกหรือ? ทั้งหมดนี้เป็เพียงละครฉากหนึ่งเท่านั้น พระองค์ทรงเป็ถึงพระราชนัดดา ไม่เข้าใจสถานการณ์หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“สถานการณ์อะไร?”
“ปีนี้องค์ฮ่องเต้ทรงเจริญพระชนมพรรษาเท่าใดแล้วพ่ะย่ะค่ะ?”
“เอ๊ะ? ปีนี้พระอัยกาแปดสิบสองพรรษาแล้ว เ้าหมายความว่าอย่างไร?” ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย
“พระองค์ทรงทราบเกี่ยวกับา ระหว่างแคว้นซ่งและแคว้นเฉินหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“ป้อมปราการสุดท้ายของแคว้นเฉินที่เหลืออยู่ คือด่านหู่เหลา แต่ตอนนี้ คล้ายจะมีกู่ไห่เป็ผู้สั่งการ ดูเหมือนคนผู้นี้จะมีความสามารถยิ่ง แม้แต่เกาเซียนจือ ก็ยังเกรงกลัวอยู่สามส่วน ด้วยเหตุนี้ จึงใช้มาตรการลงโทษอย่างเข้มงวดต่อผู้กระทำผิด” ชายหนุ่มกล่าว พร้อมขมวดคิ้ว
ชายชรายิ้มอย่างอ่อนโยนและกล่าวว่า “ทหารชั้นยอดแปดแสนนาย กับทหารอ่อนแอหนึ่งแสนนาย แนวโน้มชนะสูงยิ่ง ผู้ใดจะสามารถพลิกสถานการณ์ได้อีก? ชายชราตัวเล็กๆ ผู้หนึ่ง สามารถทำได้หรือ? พระองค์ทรงเชื่อว่าเป็ไปได้หรือพ่ะย่ะค่ะ? เกาเซียนจือเป็อัจฉริยะด้านบัญชาการกองทัพ ผู้ไร้เทียมทาน แม้ไม่มีเขา ต่อให้เอาคนโง่เง่ามานำทัพ อาศัยเพียงกำลังทหารแปดแสนนาย จะไม่สามารถชนะได้เชียวหรือ? พระองค์ทรงคิดเห็นเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ?"
“ถูกต้องๆ ข้ารู้ เกาเซียนจือมีความสามารถถึงเพียงนี้ ชายชราผู้หนึ่ง จะขัดขวางได้อย่างไร? หรือว่าเื้ัมีความลับบางอย่างซุกซ่อนอยู่?” ซ่งเจิ้งซีเริ่มระแวง
กู่ไห่ยิ้ม แต่มิได้อธิบายเพิ่ม
"เกิดอะไรขึ้น? เ้าบอกข้ามา มีอะไรกันแน่?” ชายหนุ่มไม่เข้าใจ
ชายชราไม่ตอบ แต่มองไปยังทิศที่ตั้งของวังหลวง ถอนหายใจ ก่อนพูด “องค์ฮ่องเต้ทรงชราภาพแล้ว”
วิ้ง!
เสียงเตือนดังลั่นในสมองของซ่งเจิ้งซี พลันหัวหน้าผู้พิพากษาที่อยู่ด้านข้าง ก็หลั่งเหงื่อเย็นๆ ออกมา
“เ้า... เ้ากำลังบอกว่าเสด็จพ่อ กำลังจะชิงบัลลังก์เช่นนั้นหรือ?” ซ่งเจิ้งซีสั่นสะท้าน ไม่ทราบว่าเพราะตื่นตระหนก หรือตื่นเต้นกันแน่
เขาจ้องมองกู่ไห่
ชายชรายิ้ม กล่าวว่า “กระหม่อมมิได้เอ่ยสิ่งใด…”
“ข้ารู้ละ แล้วทหารแปดแสนนายนั่นล่ะ? เหตุผลที่เสด็จพ่อออกไปแนวหน้า ก็เพื่อยึดอำนาจในการควบคุมกองทัพเช่นนั้นหรือ? การพิชิตแคว้นเฉินนั่น เพียงลงมือ เสด็จพ่อก็สามารถทำลายแคว้นเฉินได้ทันที แต่เหตุผลที่ยื้อไว้ ก็เพื่อทำการใหญ่? ”
กู่ไห่มองอีกฝ่าย พระราชนัดดาผู้นี้ แม้ว่าจะยังเด็ก แต่หัวใจกลับดำมืดถึงเพียงนี้? เื่เลวร้ายเหล่านี้ ตนเพียงแค่เปิดประเด็นขึ้นมา เขาก็สามารถคิดไปไกลขนาดนั้น?
“เกาเซียนจือแม้จะเป็แม่ทัพ แต่ก็เป็คนฉลาด เข้าใจสถานการณ์ได้ดี พระองค์เข้าใจหรือยังพ่ะยะค่ะ?” ชายชราถาม
“เข้าใจแล้ว พระอัยกามีเวลาเหลือไม่มาก ยิ่งไปกว่านั้น... หากเกาเซียนจืออยากมีอนาคตที่ดี ก็มีเพียงทางเลือกเดียว คือรับใช้เสด็จพ่อ ที่เขาทำเช่นนี้ ก็เพื่อจะประจบพระองค์? เกาเซียนจือรับใช้เสด็จพ่อมาั้แ่ก่อนหน้านี้แล้วหรือ? เข้าใจแล้ว... ข้าเข้าใจทุกอย่างแล้ว!”
“แต่ เหตุใดเกาเซียนจือถึงได้กลับมากดดัน ให้ปะาพระราชนัดดาด้วยขอรับ?” หัวหน้าผู้พิพากษาที่อยู่ด้านข้าง หลังจากได้ยินเื่ทั้งหมดแล้ว ก็ได้แต่ร่วมหัวจมท้ายไปให้ถึงที่สุด
ซ่งเจิ้งซีปรายตามอง กล่าวว่า “เ้าโง่ ยังไม่เข้าใจอีก นี่แม่ทัพเกากำลังช่วยข้าอยู่ จะให้ออกจากเมือง เพราะหากกองทัพแปดแสนนายมาถึง ข้าอาจเป็อันตรายได้ ดังนั้นจึงให้หลบฉากไปก่อน เขาทำเพื่อปกป้องข้า!”
กู่ไห่มองดูซ่งเจิ้งซีจากด้านข้าง จิตใจคนผู้นี้ช่างต่ำช้านัก
“เ้า... เอ่อ... ข้าขอถามหน่อย แล้วหลินชงกับคนกลุ่มนั้นล่ะ?” ชายหนุ่มถาม พร้อมนิ่วหน้า
ชายชรายิ้มเย็น พลางกล่าว “พระองค์ทรงคิดว่า พวกเขายังจะมีชีวิตรอดกลับมาได้อีกหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ถูกต้องๆ! ฮ่าๆๆ แม่ทัพเกาหลักแหลมจริงๆ ที่สามารถหาข้อแก้ตัวเช่นนี้ออกมาได้!” ชายหนุ่มพลันมีความสุขขึ้นมาทันที
"ฝ่าา เวลานี้พระองค์ได้ 'สิ้นพระชนม์' ไปแล้ว จึงไม่สามารถปรากฏตัวในเมืองหลวงได้อีกในตอนนี้ และข่าวที่พระองค์ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ ก็ไม่อาจให้เล็ดลอดออกไปได้พ่ะย่ะค่ะ” กู่ไห่กล่าวอย่างจริงจัง
“ข้าเข้าใจ พวกเ้าจะส่งข้าออกจากเมืองหลวง แต่จะให้ไปซ่อนตัวที่ใดล่ะ?”
“ไม่ว่าที่ใดล้วนไม่ปลอดภัย และมีความเป็ไปได้ที่จะถูกพบ มีเพียงแห่งเดียวเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ ที่ปลอดภัยที่สุด!” ชายชรากล่าวเสียงเข้ม
“ที่ใด?”
“ค่ายทหารของเกาเซียนจือ ข้างกายองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ! แม่ทัพเกาได้เตรียมรถม้าไว้แล้ว พระองค์ควรออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังค่ายทหารทันที เช่นนี้ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” กู่ไห่จ้องซ่งเจิ้งซี
ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างตื่นเต้น “เยี่ยม! ได้! ข้าจะทำตามที่เ้าว่า”
...
บนูเาเล็กๆ นอกเมืองซ่งเฉิง ชายชรายืนเอามือไพล่หลัง ขณะมองดูรถม้าของซ่งเจิ้งซีวิ่งจากไป โดยมีกู่ฮั่นยืนอยู่ด้านหลัง
“พ่อบุญธรรม เตรียมการทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ที่ด่านหู่เหลาคงมีฉากดีๆ ให้ยลเป็แน่!” กู่ฮั่นยิ้ม
กู่ไห่พยักหน้า
...
นอกด่านหู่เหลา
ทหารแปดแสนอันยิ่งใหญ่เกรียงไกร ได้ล้อมปราการแห่งนี้เอาไว้
ขณะนี้กองทัพทั้งหมด มีจิตใจฮึกเหิมยิ่ง แม้ว่า่ก่อนหน้านี้สภาพจิตใจจะสั่นคลอนจากแผนการของกู่ไห่ แต่ทุกคนก็เชื่อมั่นในตัวท่านแม่ทัพ
ดูอย่างเื่พระราชนัดดาสิ ว่าเป็เช่นไร?
จดหมายฉบับล่าสุดที่ส่งมา อธิบายถึงสถานการณ์ที่บ้านอย่างละเอียดชัดเจน ทุกอย่างสงบดี ไม่มีเหตุร้ายใดๆ ทั้งสิ้น
ภายในกระโจมใหญ่ของผู้บัญชาการกองทัพ เวลานี้ใบหน้าขององค์รัชทายาทซ่งเต็มไปด้วยความหงุดหงิด
เขานำทัพมาถึงด่านหู่เหลาแล้ว ตามเวลาที่ได้กำหนดเอาไว้ เกาเซียนจือและกลุ่มทหารจะมาถึงในไม่ช้า หากพวกเขากลับมา นั่นก็หมายความว่า...
องค์รัชทายาทบีบพู่กันในมือแน่น จนไม่อาจเขียนสิ่งใดได้ ขณะที่ผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อระงับโทสะ โอรสถูกปะา แต่ตัวเองกลับไม่อาจทำสิ่งใดได้เลย เช่นนั้นหรือ?
“กู่ไห่!” ดวงตาของพระองค์ ทวีความเกลียดชังยิ่งขึ้น
“ฝ่าา!” เสียงทำความเคารพ ดังมาจากด้านนอก
"เข้ามา!" องค์รัชทายาทระงับโทสะ พลางวางพู่กัน
ไม่นาน ทหารผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาในกระโจม ใบหน้าดูมีความสุข แต่เมื่อสังเกตเห็นความเศร้าหมองขององค์รัชทายาท เขาจึงเปลี่ยนสีหน้าทันที
คาดว่าการสูญเสียโอรส คงทำให้เ็ปยิ่ง เป็การดีที่สุด หากเขาจะไม่แสดงท่าทางเริงรื่นออกมา
“ฝ่าา เรามาถึงด่านหู่เหลาได้สองวันแล้ว มีทหารหลบหนีออกจากด่าน เข้ามาสวามิภักดิ์กับเรา จำนวนสามสิบหกคนพ่ะย่ะค่ะ!” คนผู้นั้นกล่าวรายงาน
“โอ้? กู่ไห่ยอมให้พวกเขาออกมา?” องค์รัชทายาทซ่งถามด้วยความสงสัย
“แน่นอนว่ากู่ไห่มิได้ยินยอม แต่คนเหล่านี้ใช้เชือกปีนกำแพงหนีออกมา ใน่กลางดึกพ่ะย่ะค่ะ นี่เป็เพียงคลื่นลูกแรกเท่านั้น กระหม่อมเชื่อว่าพรุ่งนี้ มะรืนนี้ต้องมีมามากกว่านี้อีก ฮ่าๆๆ! เรายังไม่ทันได้โจมตีด้วยซ้ำ แต่ภายในด่านหู่เหลากลับปั่นป่วนเสียแล้ว! ์ช่างเป็ใจนัก!” คนผู้นั้นอดหัวเราะไม่ได้
แต่พระราชนัดดาพึ่งสิ้นพระชนม์ไป องค์รัชทายาทย่อมไม่อาจหัวเราะอย่างสำราญใจ ทหารผู้นั้นสังเกตเห็นสีหน้าท่าทางขององค์รัชทายาท จึงเปลี่ยนท่าทีเป็จริงจังอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
“สามสิบหกคน? มาเข้าสวามิภักดิ์? แล้วพวกเขานำข่าวใดมาด้วยหรือไม่?” รัชทายาทถามอย่างเคร่งเครียด
“พ่ะย่ะค่ะ คนกลุ่มนี้ล้วนเป็ลูกหลานขุนนางแคว้นเฉิน เมื่อแคว้นกำลังจะถูกยึด พวกเขาไม่มีอะไรให้เสียอีกแล้ว จึงหลบหนีออกมา เพราะนี่เป็หนทางเดียวที่จะทำให้มีชีวิตรอด
อีกทั้งยังเปิดเผยทุกอย่างจนหมดสิ้น ไม่ว่าจะเป็กำลังพลในด่านหู่เหลา จุดอ่อนจุดแข็งของการป้องกัน แม้กระทั่งที่ตั้งกระโจมแม่ทัพ ล้วนเล่ามาทั้งสิ้น ฝ่าา กระหม่อมจะเรียบเรียงข้อมูลอย่างละเอียด และรายงานให้พระองค์ทราบในภายหลัง แต่เราจะจัดการกับคนกลุ่มนี้อย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ? ” ทหารผู้นั้นถาม
“ขังไว้ก่อน และล้วงข้อมูลมาให้หมด โดยเฉพาะเื่ที่เกี่ยวกับกู่ไห่ จำไว้ให้ดี ว่าข้า้ารู้ทั้งหมด!” องค์รัชทายาทกล่าว น้ำเสียงจริงจัง
"พ่ะย่ะค่ะ!" ทหารนายนั้นตอบรับ
หลังจากทหารผู้นั้นจากไป สีหน้าขององค์รัชทายาทยังคงขึ้งเคียด จ้องไปทางด่านหู่เหลาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคั่งแค้น
“กู่ไห่? เ้าบังคับให้ลูกชายข้าตาย ข้าจะทำลายแผ่นดินของเ้าให้ราบ!” องค์รัชทายาทพึมพำอย่างอาฆาต
....
กระโจมบัญชาการ ด่านหู่เหลา
กู่ฉินซึ่งปลอมตัวเป็กู่ไห่ นั่งในตำแหน่งประธาน กำลังดูข้อมูลตรงหน้า ด้านข้างคือเฉินเหลี่ยงอี้และเฉินเทียนซาน แม้ทั้งสองจะมีฐานะสูงกว่า แต่เวลานี้กลับมิได้มีเจตนาจะรบกวนกู่ฉิน หรือเข้าไปแทรกแซงการกระทำของเขา
ด้านหน้า มีขุนนางและทหารกลุ่มใหญ่ยืนอยู่ เวลานี้พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนกำลังหวาดวิตก
แต่เมื่อได้เห็นท่าทางสุขุมของ 'กู่ไห่' จิตใจแต่ละคนก็สงบลง
“ท่านแม่ทัพ ทหารแปดแสนนายของแคว้นซ่ง มาถึงนอกด่านแล้ว แม้เราจะรับสมัครทหารอย่างต่อเนื่องเมื่อไม่นานมานี้ แต่กำลังพลของเรา ก็มีเพียงหนึ่งแสนสองหมื่นคนเท่านั้น”
“ใช่แล้วขอรับ การที่ท่านแม่ทัพจัดระเบียบกำลังพลใหม่ ดูเหมือนจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งโดยรวม แต่ฝ่ายตรงข้าม มีทหารถึงแปดแสนนายเชียวนะขอรับ!”
ขุนนางทั้งหลายมองกู่ฉินอย่างกังวล
กู่ฉินชะงัก จ้องมองเหล่าขุนนาง พลางกล่าวเสียงเรียบ “กลัวอันใด? ด่านหู่เหลานี้ ทหารคนหนึ่งสามารถต่อสู้กับศัตรูได้ถึงหมื่นคน ด้วยทหารหนึ่งแสนสองหมื่นนี้ รวมทั้งกำแพงที่ข้าได้เสริมความแข็งแกร่งเอาไว้ และปราการธรรมชาติที่รายล้อมสี่ทิศ กองทัพแปดแสนคนแล้วอย่างไร? ต่อให้มีทหารแปดล้านคนก็ไม่สามารถโค่นเราได้! ในตอนนั้นแม้แต่เกาเซียนจือก็ยังต้องถอยร่นกลับไป มิใช่หรือ?”
"หา? ใช่ขอรับ" ทุกคนพยักหน้า
แม้ว่าจะยังกังวลอยู่ แต่เมื่อ 'กู่ไห่' กล่าวอย่างสบายๆ มิได้ใส่ใจนัก หลายคนจึงผ่อนคลายลง
“ท่านแม่ทัพ เมื่อคืนมีคนสามสิบหกคนหนีออกไปจากค่ายขอรับ สามคนในนั้นเป็ทหาร ซึ่งเคยได้ยินเื่การเตรียมการส่วนใหญ่ของเรา เป็ไปได้หรือไม่ ที่พวกเขาจะแพร่งพรายความลับทางทหาร” ขุนนางสวมชุดสีแดงผู้หนึ่ง แสดงสีหน้ากังวล
เมื่อขุนนางชุดแดงพูดเช่นนั้น คนอื่นๆ ก็แสดงท่าทางตื่นตระหนกทันที
“รายงาน!”
ขุนนางชุดเขียวพุ่งเข้ามาในกระโจม ด้วยความกังวล พร้อมกล่าว “ท่านแม่ทัพ แย่แล้วขอรับ เมื่อครู่... เมื่อครู่ นายกองจั่วเซียนเฟิงได้พาทหารห้าสิบแปดคน หนีออกไปทางกำแพงทิศตะวันตกเฉียงใต้ มุ่งหน้าไปยังค่ายทหารแคว้นซ่งขอรับ!”
"หา?" เกิดความโกลาหลขึ้นทันที
“แย่แล้วๆ จะทำอย่างไรกันดี?”
“จำนวนผู้หลบหนี ยิ่งนานวัน ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เื่นี้ทำลายขวัญกำลังใจทหารอย่างหนัก”
“ต่อไป จำนวนผู้หลบหนีต้องมากขึ้นเรื่อยๆ แน่”
ทุกคนพูดอย่างวิตกกังวล
“จบสิ้นแล้ว!” ใบหน้าเฉินเหลี่ยงอี้ พลันยับยุ่งทันควัน
เขาเข้าใจดี ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น จะส่งผลต่อเนื่องเป็ทอดๆ ขอเพียงแค่มีใครสักคนหนีทัพ ขวัญกำลังใจก็จะเริ่มลดลง ขณะนี้มีทหารหลายสิบคนหนีไป จึงส่งผลต่อขวัญของกองทัพมาก หากไม่สามารถหยุดยั้งได้ หลังจากนี้ จะต้องมีคนหลบหนีมากขึ้นเรื่อยๆ แน่
การต่อสู้ยังไม่ทันเริ่ม ด่านหู่เหลาก็เป็เช่นนี้ แล้วจะสู้ศึกได้อย่างไร?
เฉินเทียนซานก็กังวลมากเช่นกัน เขามองกู่ฉิน และเอ่ยถาม "ท่านแม่ทัพ ตอนนี้ควรทำอย่างไรดี? ท่านบอกว่าจะเรียกระดมพลมิใช่หรือ? เช่นนั้นก็ควรรีบกำจัดบรรยากาศเช่นนี้โดยเร็ว”
ทุกคนต่างหนักใจ มีเพียงกู่ฉินเท่านั้นที่ยังคงสงบนิ่ง เขารินชาใส่ถ้วย และยกขึ้นจิบ
เฉินเหลี่ยงอี้และเฉินเทียนซาน โกรธจนอกแทบะเิ
หลังจากกู่ฉินจิบชาแล้ว ก็กล่าวออกมาประโยคหนึ่ง ซึ่งทำให้ทั้งกระโจมที่กำลังวุ่นวายเงียบสนิท
“วิตกสิ่งใดกัน? เป็ข้าที่ส่งพวกเขาไปเอง!” กู่ฉินกล่าวเสียงเรียบ
“ฮะ?”
ทุกคนพลันหยุดชะงัก มองกู่ฉินอย่างตะลึงงัน ั์ตาเต็มไปด้วยความชื่นชม
หลังจากนั้น เหล่าขุนนางที่พึ่งได้สติ ต่างก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ และยิ้มออกมาทีละคน ราวกับว่าผู้ที่สับสนวุ่นวายเมื่อครู่ มิใช่ตัวเอง
ทว่า มีบางคนในกลุ่มพวกเขา ที่ม่านตาหดแคบลง และหายใจสะดุด
....
วันที่สอง ค่ายทหารขององค์รัชทายาทซ่ง
่นี้องค์รัชทายาทหงุดหงิดตลอดเวลา ความเ็ปจากการตายของโอรสยังมิทันหาย กลับมีสารลับส่งมาถึงตรงหน้า
เมื่อเห็นสารลับ ม่านตาของเขาก็หดแคบลง
เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหลายด้านหน้า มององค์รัชทายาทด้วยความสงสัย
“ฝ่าาจดหมายกล่าวว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?” หนึ่งในนั้นถามขึ้นอย่างใครรู้
“หึ!” ความไม่พอใจขององค์รัชทายาท ดูเหมือนจะมีที่ให้ระบายแล้ว เขาแค่นเสียงไม่พอใจออกมา
ปัง!
องค์รัชทายาทกระแทกรายงานลับในมือลงบนโต๊ะ
“ฝ่าา เมื่อคืนมีผู้มาสวามิภักดิ์เพิ่มอีกแปดสิบหกคนพ่ะย่ะค่ะ ทั้งหมดรวมตัวกันอยู่ข้างนอก ทั้งยังนำข่าวล่าสุดมาด้วย เราควร...” ขุนนางผู้หนึ่งถามเสียงแ่เบา
“สวามิภักดิ์? ฮ่าๆๆๆ! กู่ไห่! เ้าเห็นข้าโง่หรือไร? ถึงใช้วิธีนี้? หึ! ใครก็ได้ มัดพวกมันทั้งหมด นำออกไปที่ด่านหู่เหลา แล้วตัดหัวเสีย! สายลับ? สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดก็คือสายลับ ทั้งยังเป็สายลับของกู่ไห่เสียด้วย... หึ!” องค์รัชทายาทซ่งแค่นเสียงในลำคออย่างไม่พอใจ
...
ด้านนอกไม่ไกลจากด่านหู่เหลานัก
“ไว้ชีวิตด้วย องค์รัชทายาทซ่ง กระหม่อมมาที่นี่เพื่อสวามิภักดิ์!”
“กระหม่อม้าพบแม่ทัพเกา กระหม่อมนำข่าวจากด่านหู่เหลามาด้วย ท่านแม่ทัพ โปรดไว้ชีวิตด้วย!”
“ขอร้อง โปรดปล่อยข้าไป ข้ามาที่นี่เพื่อสวามิภักดิ์ และนำข่าวสารมาให้ ได้โปรดอย่าฆ่าข้า!”
นอกด่านหู่เหลา มีเสียงะโร่ำไห้ดังระงม
คนทั้งหมดร้อยแปดสิบหกคน ถูกมัด และนำตัวมายังด่านหู่เหลา ราวกับจะแสดงให้กู่ไห่ได้เห็น
...
บนกำแพง
กู่ฉินเอามือไพล่หลัง โดยมีเฉินเทียนซาน เฉินเหลี่ยงอี้และกลุ่มขุนนางยืนอยู่ด้านหลัง พวกเขาทั้งหมดจ้องมองเนินเขาที่อยู่ใกล้ๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความตระหนก
ที่เห็นไกลๆ นั่น ทหารซ่งห้าร้อยนายกำลังควบคุมคนร้อยแปดสิบหกคน ซึ่งหนีออกไปก่อนหน้านี้เอาไว้ เกิดสิ่งใดขึ้น?
กู่ฉินกล่าวเสียงเรียบว่า “ถ้าทหารของเราอยากดู ก็ปล่อยให้ขึ้นมาดูบนกำแพงเมืองนี้เถิด”
"หา? อ้อ!” เฉินเหลี่ยงอี้พยักหน้าทันที
ภายในด่านหู่เหลา ทหารจำนวนนับไม่ถ้วน เมื่อได้ยินคำอนุญาตก็รีบวิ่งขึ้นไป ยืนรอบกำแพง และมองไปยังจุดที่ห่างไกลออกไป
"เอ๊ะ! นั่นมันจั่วเซียนเฟิงใช่ไหม? อีกคนก็หวังป๋อเจว๋... อ๊ะ! คนนั้นใต้เท้าจางมิใช่หรือ?”
“ดูสิ… เมื่อวานยังเรียกให้หนีไปด้วยกัน แต่ข้าไม่สนใจ แล้วตอนนี้เกิดอะไรขึ้น?.. หึ!”
“คนพวกนี้ น่าจะเป็คนที่แปรพักตร์่สองวันที่ผ่านมานี้กระมัง?”
ทหารเฉินจำนวนมากเผยสีหน้าตะลึงลาน
บนเนินเขานอกด่าน คนแต่งกายชุดทหารโบกมือหนึ่งครั้ง
“ปะา!”
ฟ้าว!
ตุบ!
ศีรษะร้อยแปดสิบหกหัว หลุดออกจากร่าง และร่วงหล่นพื้น
ผู้แปรพักตร์่สองวันที่ผ่านมา ถูกกองทัพซ่งปะาทั้งหมด ไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียว!
ทหารทุกคนบนกำแพง ต่างสูดหายใจเฮือก บางคนที่รู้สึกกระสับกระส่าย คิดจะแปรพักตร์ก่อนหน้านี้ บัดนี้ ความคิดนั้น พลันถูกลบหายไปสิ้น
แปรพักตร์หรือ? ส่งตัวเองไปตายชัดๆ!
ไม่นาน ทหารซ่งห้าร้อยนายก็ขึ้นม้า จากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งร่างไร้หัวร้อยแปดสิบหกศพที่จมกองเืเอาไว้
ทุกคนบนกำแพงพากันเงียบงัน
“ท่านแม่ทัพ ท่านส่งพวกเขาไป แต่...” เฉินเหลี่ยงอี้พลันทำสีหน้าไม่ถูกทันที
กู่ฉินเพียงยิ้มบางๆ ตอบกลับ “พวกเขามิได้ถูกข้าส่งไปหรอก ตอนนี้คงไม่มีทหารคนใดคิดแปรพักตร์อีกแล้ว!”
“ฮะ?” เฉินเหลี่ยงอี้ร้องอย่างใ
...
สองวันต่อมา เกาเซียนจือกลับจากเมืองหลวง มาถึงค่ายในที่สุด
“องค์รัชทายาท พระองค์ติดกับแล้ว นี่เป็กลยุทธ์ไส้ศึก[1]ของกู่ไห่ พระองค์... มิควรสังหารพวกเขา เช่นนี้ ทหารในด่านหู่เหลาต้องสู้ตายเป็แน่!” เกาเซียนจือกล่าวอย่างกังวล ใบหน้าเต็มไปด้วยความหดหู่
“กลยุทธ์ไส้ศึก?” สีหน้าขององค์รัชทายาทเปลี่ยนไปทันที
“กู่ไห่เคยกล่าวไว้ว่า โอบสามเปิดหนึ่ง[2] นี่เป็การให้ทางหนีแก่พวกเขา ทำให้มีความหวัง และเกิดความปั่นป่วน แต่พระองค์… พระองค์ได้ปิดเส้นทาง 'หนึ่ง' ที่เหลือนั่น ด้วยการสังหารคนที่หลบหนีมา
พระองค์มิได้สังหารเพียงคนทรยศร้อยกว่าคนเท่านั้น แต่ยังได้กำจัดความหวังของพวกเขา ทำลายทางรอดของทหารเฉิน หากปราศจากความหวังในการหลบหนี และหนทางรอด พวกเขาทั้งหมดจะต่อสู้โดยเอาชีวิตเข้าแลก
แม้แต่ทหารชั้นยอด ก็ไม่สามารถเอาชนะศัตรูที่สู้จนตัวตายเหล่านี้ได้! น่าเสียดายที่ข้ากลับมาช้าไปสองวัน.. แค่สองวัน.. ฮาๆ!” เกาเซียนจือหัวเราะอย่างขมขื่น
------------------------------------------
[1] กลยุทธ์ไส้ศึก กลอุบายหลอกล่อให้เกิดการแตกแยกภายในกองทัพ ขาดความไว้ใจ ลวงให้ศัตรูเกิดความร้าวฉาน หวาดระแวง สงสัยซึ่งกันและกัน
[2] โอบสามเปิดหนึ่ง ส่วนมากใช้ในการโจมตีเมือง หรือสถานที่ต่างๆ เป็กลยุทธ์ที่ลดการาเ็และสูญเสียในา โดยฝ่ายรุกจะล้อมทั้งสามด้าน แล้วเปิดด้านหนึ่งไว้ เพื่อหลอกล่อให้ศัตรูออกมา จากนั้นจึงกวาดล้างด้วยการซุ่มโจมตีที่กำหนดเอาไว้ล่วงหน้า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้