ครึ่งชั่วยามให้หลัง เมื่อหลิ่วเทียนฉีกลับมาก็พบว่าเครื่องเรือนที่ถูกทำลายทั้งหมดถูกเฉียวรุ่ยเปลี่ยนเป็ของใหม่เรียบร้อย
“จ่ายไปห้าร้อยสามสิบแปดก้อนศิลาทิพย์” เฉียวรุ่ยพูดด้วยสีหน้าหดหู่
“ไม่เป็ไร ในแหวนมิติของพวกเขามีศิลาทิพย์ตั้งแสนสองหมื่นก้อน!” สังหารคนปล้นทรัพย์ ช่างมั่งคั่งเสียจริงนะ เป็กิจการที่ได้เงินเร็วโดยแท้ มิน่า เ้าห้าคนนั้นถึงได้คิดปล้นชิงผู้อื่น?
“ว้าว รวยปานนี้เชียว!” เฉียวรุ่ยได้ยิน ก็อดกะพริบตาปริบๆ ไม่ได้
“เอาแผ่นค่ายกลสังหารของเ้ามาให้ข้าสิ! ข้าซื้อแผ่นค่ายกลป้องกันขั้นสามแผ่นหนึ่งมา ใช้ยันต์แผ่นนี้ปกป้องเรือนน้อยของพวกเรา จากนั้นค่อยวางค่ายกลสังหารไว้หน้าประตู หากทำเช่นนี้ เรือนน้อยของพวกเราก็ปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องกังวลว่าคนเ่าั้จะมาสร้างความลำบากให้อีก”
ได้ยินคำอธิบาย เฉียวรุ่ยพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “เอาอย่างนี้ เ้าวางค่ายกลป้องกันขั้นสามนั่น ข้าวางค่ายกลสังหารเอง ให้เ้าทำคนเดียวมันสิ้นเปลืองพลังทิพย์เกินไป”
“ได้!” หลิ่วเทียนฉีรับข้อเสนอคนรัก ทั้งสองคนจึงวุ่นอยู่กับการทำงาน
เมื่อวางค่ายกลทั้งสองเสร็จ ทั้งคู่ถึงวางใจกลับมาพักผ่อนในบ้าน
“ค่ายกลสังหารใช้ได้หนึ่งเดือน ค่ายกลป้องกันใช้ได้ครึ่งปี หลังจากนี้ ไม่ว่าพวกเราจะอยู่บ้านหรือไม่ ล้วนไม่ต้องกังวลใจแล้ว!”
ได้ยินคำพูดนี้ เฉียวรุ่ยพยักหน้าหงึกหงัก “ใช่แล้ว เช่นนี้คงปลอดภัย แล้วค่ายกลป้องกันขั้นสามแผ่นนั้นแพงมากไหม?”
“เก้าพันก้อนศิลาทิพย์”
“แพง แพงมากเลย!” ได้ยินหลิ่วเทียนฉีบอกราคา เฉียวรุ่ยพลันกัดริมฝีปาก
“วางใจเถอะ ตอนนี้พวกเรามีศิลาทิพย์อยู่! เ้าเอาไปฝึกฝนนะ!” หลิ่วเทียนฉีพูดพลางเอาศิลาทิพย์ถุงหนึ่งออกมาให้คนรัก
“อื้อ!” เฉียวรุ่ยพยักหน้า รับศิลาทิพย์ไป
หลิ่วเทียนฉีเอาแหวนมิติของทั้งห้าคนออกมา หยิบโอสถ ยันต์วิเศษ อุปกรณ์อาคมและของวิเศษที่ใช้ได้ออกมาทั้งหมด นำมาเก็บในแหวนมิติของตน ก่อนส่งสัญญาณให้เฉียวรุ่ยเผาแหวนมิติของพวกเขาเสีย
“เผาทิ้งไม่น่าเสียดายเกินไปหรือ เป็ถึงแหวนมิติขั้นสามทั้งหมดเชียวนะ วงหนึ่งขายได้ตั้งหลายพันศิลาทิพย์มิใช่หรือไงเล่า?”
“ไม่ พวกเราไม่ควรเก็บแหวนเหล่านี้ไว้ มันอาจนำปัญหามาได้ ต้องทำลายเสีย!” ผู้ฝึกตนบางพวกชอบทิ้งสายใยิญญาหรือรอยประทับไว้ในแหวนมิติ เพราะอย่างนั้น แหวนมิติส่วนใหญ่จึงเป็เครื่องบอกตัวตนของผู้ฝึกตน ไม่ควรเก็บไว้อย่างเด็ดขาด
“อื้อ!” เฉียวรุ่ยพยักหน้า ย่อมไม่อยากหาภัยใส่ตัวจึงเชื่อฟัง หยิบแหวนทั้งห้ามาเผาจนหมด
.........
หนึ่งชั่วยามให้หลัง ในที่สุด ทั้งห้าคนก็กระดิกตัวได้
“เ้าสารเลวน่าชังสองตัวนี้!” เ้าเคราดกพูดพลางฉีกยันต์บนแผ่นหลังออกเป็คนแรก
“พี่ใหญ่ ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรกันดี?” เ้าลิงผอมมองแล้วเอ่ยถาม
“ฉีกเขตแดนกิ๊กก๊อกนี่ซะ ปล่อยสัตว์อสูรของพวกเราไปแก้แค้นเ้าพวกนั้น!”
“ถูกต้อง สังหารเ้าหนูสารเลวนั่น แย่งแหวนมิติของพวกเรากลับมากันเถอะ!”
“ถูกต้องแล้ว ครั้งนี้จะให้พวกเขาเอาเปรียบพวกเราไม่ได้เด็ดขาด!”
“ใช่ ที่นี่เงียบสงบ อยู่ห่างไกล ทั้งยังไม่มีผู้อื่น ต่อให้พวกเราสังหารพวกเขาก็ไม่มีใครรับรู้หรอก”
“อืม เ้าพูดถูก ขอแค่ทำลายศพเสียก่อน พวกอาจารย์ใหญ่ย่อมไม่รู้!” เ้าเคราดกพยักหน้า มันคิดเช่นนี้เหมือนกัน
“ไป พวกเรา ฝ่าออกไป!” ทั้งห้าคนพูดพลางโจมตีเขตแดนและฉีกเขตแดนของหลิ่วเทียนฉีพร้อมกัน
เฉียวรุ่ยกับหลิ่วเทียนฉีที่นั่งอยู่ในบ้านกำลังดื่มชาทิพย์ วูบหนึ่ง เฉียวรุ่ยกลับเลิกคิ้ว
“เป็อะไรหรือ?” หลิ่วเทียนฉีมองคนรักตัวน้อยแล้วยิ้มถาม
“ห้าคนนั้นพาสัตว์อสูรจำนวนมากฝ่าเข้ามาในค่ายกลสังหารที่ข้าวางเอาไว้!”
ได้ยินอย่างนั้น หลิ่วเทียนฉียิ้มอ่อนโยน “ช่างโง่เขลานัก ดูท่าพวกเราคงมีเนื้อสัตว์อสูรกินกันเสียที!”
“ฆ่าพวกเขาจะไม่เป็ปัญหาจริงหรือ?” เฉียวรุ่ยยังกังวลเื่นี้อยู่เล็กน้อย
“วางใจเถอะ ขอแค่เก็บกวาดให้สะอาด ไม่ให้ใครจับพิรุธได้ ย่อมไม่มีปัญหา! จำไว้ ไม่ว่าใครถาม ไม่ต้องบอกว่าเ้าเห็นห้าคนนี้ที่เขาด้านหลังวิทยาลัยยุทธ์ เ้าบอกเพียงว่าพวกเขาปล้นพวกเราในป่าและถูกทำร้ายจึงต้องให้ศิลาทิพย์ไปก็พอ เข้าใจไหม?”
“อื้อ เข้าใจแล้ว!” เฉียวรุ่ยพยักหน้ารับ
.........
หนึ่งเดือนให้หลัง
เฉียวรุ่ยเปิดค่ายกลสังหารออกแล้วเผาศพทั้งห้าคนทันที ส่วนหลิ่วเทียนฉีไล่เก็บสัตว์อสูรยี่สิบหกตัวที่ตายพร้อมกับพวกเขาในค่ายกลสังหารเข้าไปในยันต์เก็บของ
“เทียนฉี เ้าพวกนี้รวยเกินไปแล้ว คนหนึ่งถึงกับมีอสูรพันธสัญญาห้าหกตัวเชียว!” พูดถึงตรงนี้ เฉียวรุ่ยก็รู้สึกอิจฉานิดหน่อย
“พวกเขาเป็ผู้ควบคุมสัตว์อสูรน่ะ แต่ละคนล้วนมีความสามารถทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรหลายตัว” นี่คือจุดที่ผู้ควบคุมสัตว์อสูรน่ากลัวที่สุด หากไม่พิจารณาถึงจุดนี้ หลิ่วเทียนฉีคงไม่เปลืองค่ายกลป้องกันขั้นสามอันหาค่ามิได้ของตนไปเสียเปล่า
“คราวนี้คงต้องยกประโยชน์ให้พวกเรา ไม่เพียงมีเนื้อสัตว์อสูรไว้กิน ยังมีหนังสัตว์อสูรกับกระดูกสัตว์อสูรขายอีกด้วย” พูดเอง เฉียวรุ่ยก็ดีใจเป็อย่างยิ่ง
“หนังสัตว์อสูรกับกระดูกสัตว์อสูรไม่อาจขายที่ตำหนักทองได้ ต้องออกจากวิทยาลัยไปขายข้างนอก เช่นนี้คงปลอดภัยกว่าอยู่บ้าง!” อย่างไร เข่นฆ่าศิษย์ร่วมสำนักก็เป็การละเมิดข้อห้ามใหญ่ของวิทยาลัยเซิ่งตู หลิ่วเทียนฉีต้องระวังไว้ก่อน
“ถูกต้อง!” เฉียวรุ่ยพยักหน้ารับ
.........
วันถัดมา
วันนี้เป็วันที่สิบห้า ในวิทยาลัยมีชั้นเรียน หลังรับประทานอาจารย์เช้าเสร็จ หลิ่วเทียนฉีกับเฉียวรุ่ยจึงไปวิทยาลัยของตน
วิทยาลัยยันต์มีศิษย์ทั้งหมดหนึ่งพันสองร้อยคน แบ่งเป็สามระดับชั้นเรียน ได้แก่ ชั้นเรียนผู้ใช้ยันต์ขั้นหนึ่ง ชั้นเรียนผู้ใช้ยันต์ขั้นสองและชั้นเรียนผู้ใช้ยันต์ขั้นสาม
ชั้นเรียนผู้ใช้ยันต์ขั้นสามมีศิษย์ทั้งหมดสามสิบสองคน ชั้นเรียนวันที่หนึ่งกับวันที่สิบห้าของทุกเดือนล้วนเป็อาจารย์ใหญ่อู๋ฉิงสอน ดังนั้น เมื่อถึงหนึ่งในสองวันนี้ หลิ่วเทียนฉีจึงกระตือรือร้นเป็อย่างมาก เช้าตรู่เร่งเดินทางมาวิทยาลัยยันต์ รอคอยฟังชั้นเรียนของอาจารย์ใหญ่
ในนิยายต้นฉบับอธิบายไว้อย่างชัดเจน หลิ่วเหอเชี่ยวชาญการวาดยันต์ประเภทโจมตี ส่วนอู๋ฉิงเชี่ยวชาญการวาดยันต์ประเภทป้องกัน ทั้งสองคนล้วนเป็ปรมาจารย์ยันต์ขั้นสี่อันดับต้นๆ ของแคว้นจินอวี่
ตามเนื้อเื่ของนิยายต้นฉบับ หลิ่วเทียนฉีหรือเ้าของร่างเดิมตายไปเมื่อสามปีก่อน ทำให้หลิ่วเหอมองนางเอกหลิ่วซานเสมือนลูกสาวแท้ๆ สั่งสอนวิชายันต์อย่างใส่ใจ ด้วยการอบรมเช่นนั้น นางเอกจึงเปรียบเหมือนปลาได้น้ำในศาสตร์ยันต์
หลังจากนางเอกเข้าวิทยาลัยเซิ่งตู อู๋ฉิง อาจารย์ใหญ่ของวิทยาลัยยันต์ได้เข้ามาชื่นชม เขารับนางเอกเป็ศิษย์เพียงคนเดียว สั่งสอนวิชายันต์อย่างตั้งใจ
กล่าวได้ว่า เส้นทางในศาสตร์ยันต์ของนางเอกอาจไม่ราบรื่นนัก ถ้าขาดการอบรมของหลิ่วเหอกับอู๋ฉิงไป หากไม่มีสองคนนี้ นางเอกไม่มีทางก้าวเดินในศาสตร์ยันต์ได้สบายอารมณ์แน่
แต่บัดนี้ หลิ่วเจียงกับหลิ่วเหอแตกหักกันแล้ว ทำให้ท่านพ่อไม่อาจให้ความสำคัญกับนางเอกได้อีก นางจึงขาดท่านอาสามแสนดีที่คอยอบรมอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทว่า อีกเื่หนึ่งที่หลิ่วเทียนฉีคิดไม่ถึง คืออู๋ฉิงถึงกับไม่รับนางเอกเป็ศิษย์ด้วย
ตามนิยายต้นฉบับ นางเอกเพิ่งเข้าวิทยาลัยเซิ่งตูก็ถูกอู๋ฉิงรับเป็ศิษย์ในทันที แต่ตอนนี้ พวกเขาเข้าเรียนมาหนึ่งเดือนกว่ายังไม่มีวี่แวว ทำให้เขางุนงงเล็กน้อย ปัญหาเกิดขึ้นที่ตรงไหน? ทำไมอู๋ฉิงถึงไม่รับนางเอกเป็ศิษย์สักทีเล่า? เพราะตนงั้นหรือ?
นาทีนี้ หลิ่วเทียนฉีรู้สึกว่า ที่อู๋ฉิงไม่ได้ชื่นชมนางเอกมากมายจนรับนางเป็ศิษย์อย่างที่นิยายต้นฉบับว่า ก็เพราะหลิ่วเทียนฉีผู้นี้ยังมีชีวิต และสามปีมานี้ คนที่บิดาทุ่มเทใจสอนสั่งคือตน ไม่ใช่หลิ่วซาน วิชายันต์ของนางจึงไม่สะดุดสายตาเขาเท่าใดนัก ความสามารถในทางยันต์ถูกจำกัดยิ่ง ฉะนั้น ถึงไม่ดึงดูดสายตาของอู๋ฉิงสินะ?
“น้องเจ็ด...”
เมื่อหลิ่วซานเดินเข้ามาในห้องเรียน พบว่าหลิ่วเทียนฉีมาถึงแล้ว จึงเดินเข้ามาทักทายอีกฝ่าย
“อา พี่สามอรุณสวัสดิ์!” หลิ่วเทียนฉียิ้มตามมารยาท รีบคำนับคืน
“ฮิๆ น้องเจ็ดมาเช้ากว่าข้าอีกนะ?” หลิ่วซานพูดพลางนั่งลงด้านข้าง
“วันนี้เป็ชั้นเรียนของอาจารย์ใหญ่อู๋ฉิง หากมาสาย อาจารย์ใหญ่คงเดียดฉันท์ว่าไม่เคารพ”
“น้องเจ็ดพูดถูก!” หลิ่วซานพยักหน้าเห็นด้วย
หลิ่วเทียนฉีก้มหน้าหยิบกระดาษยันต์ หมึกยันต์และพู่กันเขียนยันต์ของตนออกมาวางไว้อย่างเป็ระเบียบบนโต๊ะ
เห็นหมึกยันต์สองขวดบนโต๊ะของเขา หลิ่วซานกัดริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว
ก่อนหน้านี้ ตอนนางกับน้องสี่วาดยันต์ หมึกยันต์ที่พวกนางใช้ล้วนเป็หมึกที่ท่านอาสามผสมแล้วมอบให้ แต่ตอนนี้ท่านอาสามตัดขาดกับพวกนางแล้ว หากพวกนางอยากใช้ก็ต้องซื้อเอง ซึ่งหมึกยันต์ของตำหนักทองแพงกว่าข้างนอกมากนัก หมึกยันต์ประเภทป้องกันขั้นสามขวดหนึ่งก็แปดหมื่นก้อนศิลาทิพย์ ไหนจะหมึกยันต์ประเภทโจมตีอีกขวดหนึ่งยังใช้ตั้งเก้าหมื่นก้อนศิลาทิพย์อีก
ตอนนี้ นางกับน้องสี่วาดยันต์อีกมากเท่าใด ตัดเงินค่าหมึกยันต์ ค่ากระดาษยันต์และพู่กันเขียนยันต์ออกไป ศิลาทิพย์ที่เหลือก็จำกัดอย่างยิ่ง นึกถึงก่อนหน้าเปรียบเทียบกับตอนนี้ ฉับพลัน หลิ่วซานรู้สึกอิจฉาน้องชายร่วมสกุลคนนี้เป็อย่างมาก
น้องเจ็ดเป็ลูกแท้ๆ ของท่านอาสามย่อมไม่กังวลเื่หมึกยันต์ แต่พวกนางหลานสาวกลับไม่ได้แล้ว มาถึงวิทยาลัยเซิ่งตู ทั่วทุกหนทุกแห่งล้วนต้องใช้ศิลาทิพย์ เดิมทีขายยันต์วิเศษแลกศิลาทิพย์ก็ได้ไม่มาก กลับต้องเอาไปซื้อหมึกยันต์อีก พวกนางจึงไม่เหลือศิลาทิพย์เท่าไร
คิดจะไปแช่น้ำพุทิพย์ ไปหอคอยรู้แจ้งหรือหอตำราก็ไม่มีศิลาทิพย์มากปานนั้น เมืองฝูเฉิงดันอยู่ห่างจากที่นี่ ทั้งยังไกลโพ้น บิดามารดาล้วนช่วยเหลือไม่ได้ จะหาศิลาทิพย์ก็ได้แต่พึ่งตนเอง เพิ่งมาถึงวิทยาลัยเซิ่งตูเพียงหนึ่งเดือนกว่า หลิ่วซานพลันรู้สึกเหนื่อยล้าทั้งกายใจ
คิดถึงศิลาทิพย์ที่นับนิ้วได้นั่นในมือตน แล้วคิดถึงหมึกยันต์ที่แพงโข คิดถึงค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าใช้จ่ายนานาประการของวิทยาลัยเซิ่งตู หลิ่วซานถึงขั้นรู้สึกเสียใจเป็อย่างมากที่มาวิทยาลัยเซิ่งตูแห่งนี้อยู่บ่อยครั้ง
ความลำบากยากแค้นของชีวิตทำให้หลิ่วซานสำนึก หากก่อนหน้านี้นางดีกับน้องเจ็ดบ้าง ท่านอาสามคงไม่ไร้หัวใจเช่นนี้ใช่ไหม? หากนางไม่เข้าข้างช่วยเหลือบ้านอารองเพียงอย่างเดียว ท่านอาสามคงไม่ตัดญาติกับนางซึ่งเป็หลานสาวแท้ๆ คนนี้อย่างไร้หัวใจสินะ?
หากมีท่านอาสามช่วยเหลือ ไม่เพียงปัญหาเื่หมึกยันต์จะคลี่คลายได้อย่างง่ายดายเท่านั้น ต่อให้ศิลาทิพย์ของพวกนางไม่พอจ่าย ท่านอาสามก็ไม่มีทางนิ่งดูดายเป็แน่ แต่ตอนนี้...
มองหลิ่วเทียนฉีที่ก้มหน้าวาดยันต์อยู่ ในใจหลิ่วซานเกิดความริษยาขึ้นอย่างไร้ที่มา หากน้องเจ็ดยังเป็น้องเจ็ดที่ขี้กลัว ขี้ขลาด ดูถูกตนเอง ไม่ยินดีสนทนากับท่านอาสามเหมือนเมื่อสามปีก่อน ท่านอาสามคงรักตน ดูแลประหนึ่งบุตรสาวแท้ๆ ดังเดิมใช่ไหมนะ? หาก หากไม่มีน้องเจ็ดคนนี้ ท่านอาสามคงดีกับตนขึ้นหน่อยหรือเปล่านะ?
แต่ตอนนี้ ตอนนี้ ท่านอาสามกลับมอบความรัก ความใส่ใจทั้งหมดให้น้องเจ็ด ส่วนหลานสาวคนนี้ ท่านอาสามไม่เห็นค่าเลยสักนิด!