ในความเงียบ ธูปได้มอดลงไปกว่าครึ่งแล้ว
บรรยากาศแห่งความสิ้นหวังและเศร้าโศกเข้าปกคลุมทุกคน
ทันใดนั้นก็มีเสียงประชาชนร้องไห้ออกมา ทำให้คนอื่นๆ พากันร้องไห้ไปด้วย
พวกเขายังไม่อยากตาย แต่หนทางข้างหน้าก็ดูเหมือนจะไม่มีทางรอดให้เดินต่อ
“ทุกท่าน ข้าขอสัญญาว่าหากพวกท่านอยู่ต่อ ข้าจะพาทุกท่านผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้อย่างแน่นอน” ท่านเ้าอำเภอทนไม่ไหว จึงให้คำมั่นกับประชาชนเพื่อเป็การปลอบโยน
แต่เมื่อพวกเขาได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งร้องไห้ดังขึ้นอีก
“ท่านเ้าอำเภอ ท่านจะพาเราผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้เช่นไร? ท่านไม่มีทักษะทางการแพทย์ เด็กคนนั้นตายที่สำนักหมอหลวง ขนาดสำนักหมอหลวงยังรักษาเขามิได้ แล้วท่านจะมีวิธีใดกัน?”
“จำนวนผู้ติดเชื้อก็เพิ่มขึ้นทุกวัน ผู้ใดจะหยั่งรู้ได้ว่าคนต่อไปจะมิใช่พวกเรา”
ประชาชนปาดน้ำตา ต่างก็เอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงสะอื้น
ในสถานการณ์เช่นนี้พวกเขาไม่มีทางเชื่อใจผู้ใดได้
“ท่านเ้าอำเภอ ไม่ใช่ว่าข้าจะอยากออกไป แต่ข้าก็หมดหนทางเช่นกัน ลูกของข้าต้องทนหิวมาสองวันแล้ว ที่เมืองนี้ไม่มีอาหาร ข้าต้องออกไปหาข้างนอก ข้าทนเห็นเขาหิวตายมิได้”
“ั้แ่พรุ่งนี้เป็ต้นไป ทุกวันตอนเที่ยงที่อำเภอจะมีการแจกจ่ายอาหาร มีเพียงพอสำหรับทุกท่าน ทุกท่านสามารถมารับอาหารได้ ตราบใดที่ข้ายังมีอาหารทาน ข้าจะไม่ยอมให้พวกท่านต้องอดตาย ทุกท่านแยกย้ายเถิดขอรับ”
น้ำเสียงของท่านเ้าอำเภอนั้นดังและทรงพลัง นำความหวังมาสู่ผู้คนมากมาย
“ขอบพระคุณท่านเ้าอำเภอเ้าค่ะ”
“ขอบพระคุณท่านเ้าอำเภอขอรับ”
......
มีเสียงขอบคุณดังขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนที่คิดจะออกจากเมืองไปเพราะขาดแคลนเสบียงอาหาร เมื่อได้ยินเ้าอำเภอรับปากดังนั้นจึงพากันแยกย้าย เหลือเพียงคนที่ยัง้าก่อความวุ่นวายอยู่ไม่ถึงยี่สิบคน
เสื้อผ้าของพวกเขาดูหรูหรากว่าคนทั่วไป ไม่ได้ขาดแคลนอาหาร แต่เพียงคิดที่จะออกไปเพราะรักตัวกลัวตาย
“พวกท่านคิดดีแล้วหรือ? ธูปมอดหมดแล้วนะเ้าคะ”
เวินซียืนอยู่ข้างหน้าธูปและเอ่ยด้วยท่าทีสบายๆ ก่อนจะละสายตาออกจากคนเ่าั้
พวกเขาล้วนเป็คุณหนูและนายน้อยที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงม จึงหัวอ่อนกว่าชาวบ้านพวกนั้นมาก
“ท่านเ้าอำเภอแน่ใจหรือว่าจะรักษาโรคระบาดได้?” นายน้อยคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
“หากรักษามิได้ ข้าจะฆ่าตัวตายเป็การไถ่โทษ” ท่านเ้าอำเภอมองลงไปที่เขาพร้อมกับให้คำตอบ
“เช่นนั้นท่านเ้าอำเภอได้เื่อันใดเกี่ยวกับโรคระบาดนี้บ้าง? พอจะบอกข้าหน่อยได้หรือไม่”
คำถามนั้นเข้าเื่และตรงประเด็น ทำเอาใบหน้าของท่านเ้าอำเภอบิดเบี้ยว “ข้า...ข้า...”
เขาอ้ำอึ้งอยู่นาน ไม่รู้ว่าจะตอบอันใด
“ท่านเ้าอำเภอยังไม่รู้สิ่งใดเลย จะให้พวกเราเชื่อท่านได้เช่นไร”
นายน้อยผู้นั้นยิ้มเยาะแล้วหันกายเดินไปที่ประตู เมื่อเห็นเช่นนั้นคนอื่นๆ ก็ตามเขาไป
“ช้าก่อนเ้าค่ะ” เวินซีเอ่ยรั้งพวกเขาไว้
“คุณหนูท่านนี้มีอันใดจะพูดหรือขอรับ?” เขาหยุดเดินแล้วหันกลับมามอง
“ท่านเ้าอำเภอไม่มีทักษะทางการแพทย์ ย่อมไม่รู้อันใดเป็ธรรมดา แต่ข้ารู้” เวินซีเดินไปหานายน้อยคนนั้นด้วยรอยยิ้ม
“ท่านรู้ได้เช่นไร?” นายน้อยขมวดคิ้วมองเวินซี “ท่านเป็ผู้ใด?”
“คนของสำนักหมอหลวง” เวินซีนำจี้หยกที่หมอผู้เฒ่ามอบให้ไว้ในฝ่ามือแล้วยื่นให้เขาดู
ความดูถูกในดวงตาของนายน้อยผู้นั้นอ่อนลงเล็กน้อย “เช่นนั้นท่านจะบอกได้หรือไม่ว่าค้นพบอันใดแล้วบ้าง?”
“จะบอกว่าค้นพบอันใดก็ยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอก แต่เราทำยาที่ป้องกันการติดโรคระบาดได้แล้ว” เมื่อเห็นว่าเขางับเหยื่อ เวินซีจึงเอ่ยปากพูดต่อ
“ยาป้องกันหรือ? อยู่ที่ใดกันล่ะ?” ดวงตาของนายน้อยผู้นั้นเป็ประกาย
“ยานี้ หากไม่เชื่อเ้าจะลองทานดูก็ได้” เวินซียื่นยาเม็ดสีน้ำตาลจากขวดให้เขา
มีคนมองดูอยู่มากมายเช่นนี้ นายน้อยผู้นั้นจึงไม่กลัวว่านางจะมีเจตนาร้ายอันใด เขาหยิบยาทานในทันที
จากนั้นก็รู้สึกว่าตัวเบาขึ้น ความเหน็ดเหนื่อยหายไปเป็ปลิดทิ้ง ขาที่เคยปวดเมื่อยก็อาการดีขึ้นมา
เขารู้สึกว่ามีความอบอุ่นไหลผ่านร่างกายอย่างต่อเนื่อง พลันบิดตัวด้วยความไม่อยากเชื่อ
“ยานี่ยอดเยี่ยมเช่นนี้เลยหรือ?” สายตาคู่นั้นที่มองไปที่เวินซีอีกครั้งเต็มไปด้วยความชื่นชมและศรัทธา
“ยามนี้จะเชื่อข้าได้หรือยัง?”
“เชื่อ เชื่อขอรับ ท่านพี่พูดอันใดข้าย่อมเชื่อทั้งนั้น ท่านพี่จะรับข้าไว้เป็ศิษย์ด้วยได้หรือไม่ขอรับ? ข้ามีความสนใจทางการแพทย์มาั้แ่เด็ก ข้าฝังเข็มเป็นะขอรับ ข้าท่องไป๋เฉ่าถู [1] ได้ขึ้นใจ ข้ารู้จักพืชพันธุ์ทุกชนิด...”
นายน้อยผู้นั้นพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด สุดท้ายก็คุกเข่าลงกับพื้นด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
“เ้าพาคนพวกนี้กลับไปก่อน รออยู่ในบ้านห้ามออกมา เมื่อจัดการโรคระบาดได้แล้วข้าจะรับเ้าเป็ศิษย์ ดีหรือไม่?”
“ขอรับ สัญญาต้องเป็สัญญานะขอรับ ถึงตอนนั้นข้าจะไปหาท่าน”
นายน้อยเดินออกไปหาทุกคนอย่างมีความสุข ไม่รู้ว่าเขาพูดอันใด แต่สุดท้ายทุกคนก็พากันเดินตามเขากลับออกไป
นับว่าเื่ราววุ่นวายได้จบลงในที่สุด เวินซียิ้มแล้วเดินกลับไปหาท่านเ้าอำเภอ
“คุณหนูเวินซี เื่ในคืนนี้ต้องขอบคุณเ้ามาก ทว่าเ้ารู้หรือไม่ว่านายน้อยคนที่เ้าหลอกนั้นเป็ผู้ใด?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเ้าอำเภอ เวินซีก็ยิ้มขึ้นมา “นายน้อยคนนั้นเป็คนใหญ่คนโตหรือเ้าคะ?”
“ไม่นับว่าเป็คนใหญ่คนโตอันใดหรอก แต่ก็เป็คนมีสถานะ หากเขา้าสิ่งใดจะต้องได้ดั่งใจ เกรงว่าเมื่อโรคระบาดจบลงเขาจะต้องมาหาเ้าแน่ แต่เ้าวางใจเถิด เขามิได้มีเจตนาร้ายหรอก” เ้าอำเภอกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“หากเป็เช่นนั้นก็ค่อยว่ากันหลังจากที่โรคระบาดหมดลงเถิดเ้าค่ะ”
ในคืนที่มืดมิดเช่นนี้ เวินซีไม่เชื่อหรอกว่านายน้อยผู้นั้นจะจำนางได้
“วันนี้ลำบากคุณหนูเวินซีมาก นี่ก็ดึกแล้ว กลับไปพักผ่อนเถิด เื่ที่เหลือเราค่อยว่ากันวันพรุ่ง”
“เช่นนั้นข้าไปก่อนนะเ้าคะ” หลังจากที่บอกลาเ้าอำเภอแล้ว เวินซีก็หันไปมองจ้าวต้านที่ยืนเงียบอยู่ตลอด “เรากลับบ้านกันเถิด”
“ได้สิ”
จ้าวต้านพยักหน้าแล้วกลับไปที่ร้านเครื่องหอมกับนาง ระหว่างทาง ทั้งสองก็ไปที่ร้านหม้อไฟเพื่อนำอาหารกลับไป
คนรับใช้กลัวว่าจะมีผู้ใดมาขโมยอาหารจึงรออยู่ที่หน้าประตูตลอดเวลา เมื่อเห็นว่าพวกเขามาแล้ว ก็ให้เทียนกับเ้านายของตนไปด้วยไม่น้อย
ในเวลาเดียวกัน ภายในห้องเก็บฟืนที่ร้านเครื่องหอม
สืออีเปิดประตูและแอบเดินเข้าไปในตอนที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น เพราะเกรงว่าจะมีคนรู้เข้าจึงมิได้จุดตะเกียง และอาศัยเพียงแสงจันทร์ที่ส่องเข้าไปในห้องเก็บฟืนเพื่อมองดูทาง เขาเดินเข้าไปหาหลานเยว่เฉิงแล้วช่วยพยุงขึ้นมานั่งบนโต๊ะ
บัดนี้ผงอ่อนกระดูกหมดฤทธิ์ไปแล้ว เช่นเดียวกับธูปที่อยู่บนโต๊ะที่มอดดับลง หลานเยว่เฉิงรู้สึกว่าร่างกายได้ฟื้นตัวกลับมา แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใดถึงยังรู้สึกไร้เรี่ยวแรง เขาคิดเพียงว่าฤทธิ์ของยายังมิได้หายไปทั้งหมด
“สถานการณ์ในเมืองตอนนี้เป็เช่นไร?” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเ็า
“ในเมืองวุ่นวายมากขอรับ วันพรุ่งคุณหนูเวินเยียนจะแจกโจ๊กที่หน้าจวนตระกูลเวิน ทุกอย่างกำลังดำเนินไปตามแผนขอรับ” สืออีตอบด้วยความเคารพ
“ต้านอวี้เสวียนอยู่ที่ใด? คนของเขายังอยู่ในเมืองหรือไม่?”
“มิได้เห็นทหารลับของเขาหลายวันแล้วขอรับ น่าจะออกจากเมืองไปหมดแล้ว”
“อีกสามวันให้ส่งคนไปฆ่าต้านอวี้เสวียนในยามโฉ่ว [2] ข้าจะอยู่รอที่ร้าน หากตอนนั้นเ้าไม่อยากให้เวินซีรู้ว่าเ้าทรยศนาง ก็หายตัวไปเสีย ข้าจะไว้ชีวิตเวินซี”
“ขอรับ นายท่าน”
“กลับออกไปเถิด”
“นายท่าน ข้าอยาก...จะเจอน้องสาวข้าขอรับ” สืออีพูดอย่างลังเล
จดหมายทุกฉบับที่เขาส่งถึงน้องสาวนั้นถูกตีกลับด้วยเหตุที่ว่าหานางไม่พบ เื่นี้ทำให้เขาเป็กังวลยิ่งนัก
“นางอยู่ในเมืองหลวง จบเื่แล้วข้าจะให้พวกเ้าได้พบกันแน่ ออกไปเถิด”
“ขอรับ”
สืออีถอยออกไปปิดประตูห้องเก็บฟืน หลานเยว่เฉิงจึงห่มผ้าแล้วนอนลง
ในมุมมืดนั้น ยังมีธูปอีกกระถางที่ซ่อนอยู่ค่อยๆ มอดลงทีละน้อย...
เชิงอรรถ
[1] ไป๋เฉ่าถู 百草图 ตำราภาพที่มีการบันทึกสมุนไพรนานาชนิด
[2] ยามโฉ่ว 丑时 คือ่เวลาประมาณตีหนึ่งถึงตีสาม