“ซูจิ่นซี ไม่ว่าเจตนาของเ้าคือสิ่งใด ข้าจะไม่ให้เ้าทำมันได้สำเร็จจะไม่ยอมรับเ้าในฐานลูกสะใภ้ตลอดไป”
ซูจิ่นซีทำเหมือนไม่ได้ยินสิ่งใด มือวางเป็ระเบียบมุมปากยิ้มด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่นอ่อนโยน
“เสด็จแม่ ท่านลองดูสิเพคะตอนนี้ขาทั้งสองข้างของท่านมิใช่ว่าดูยืดหยุ่นขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากหรือเพคะ? ”
เฉินไท่เฟยมองไปที่ซูจิ่นซีอย่างไม่ค่อยเชื่อเสียเท่าไร
ซูจิ่นมองนางด้วยแววตาที่ให้กำลังใจ
เฉินไท่เฟยเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง นางเพ่งความสนใจทั้งหมดไว้กับขาของตน ใช้แรงทั้งร่างขยับขาอย่างจดจ่อคาดไม่ถึงว่าปาฏิหาริย์จะปรากฏขึ้นได้จริง......
ยี่สิบปีที่ผ่านมาขาทั้งสองของนางไม่เคยรู้สึกมาก่อน ไม่คิดจริงๆว่าจะสามารถขยับได้เล็กน้อยแล้ว
ถึงแม้ว่าขอบเขตของการขยับจะได้ไม่มากนักทว่าความรู้สึกของเฉินไท่เฟยเห็นชัดเจนว่าขาทั้งสองข้างนี้ของตนเองมีโลหิตอุ่นๆกำลังไหลเวียนอยู่ และเริ่มรู้สึกได้ทีละนิด
“ขยับแล้ว สามารถขยับได้แล้ว ขยับได้แล้วจริงๆ ... ”
เฉินไท่เฟยลิงโลดด้วยความดีอกดีใจความประหลาดใจและความสุขทั้งหมดปรากฏอยู่บนใบหน้าของนางอย่างชัดเจน
ซูจิ่นซีแนบสองมือประกบกันอย่างภูมิใจยืนอยู่ข้างเตียงของเฉินไท่เฟยมองดูเฉินไท่เฟยด้วยความรู้สึกสำเร็จที่ไท่เฟยพยายามขยับขาครั้งแล้วครั้งเล่า
แม้ว่าผลลัพธ์จะไม่ชัดเจนนัก ทว่าการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้ป่วยอย่างเฉินไท่เฟยแปลกใจและตื่นเต้นสำหรับซูจิ่นซีในฐานะหมอแล้วก็นับเป็ความสุขที่คุ้มค่าเป็อย่างมากเช่นเดียวกัน
แท้จริงแล้วในฐานะหมอคนหนึ่ง ไม่มีความดีเลว ไม่มีมิตรศัตรูมีเพียงผู้ป่วยเท่านั้น
การได้ช่วยเหลือคนเจ็บ ทำให้ผู้ป่วยมองเห็นถึงความหวัง จึงจะเป็ความสุขในใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับพวกนาง
ทว่าสิ่งที่ผู้ป่วยเฉินไท่เฟยผู้นี้ลิขิตไว้ไม่สามารถทำให้ซูจิ่นซีสบายใจได้เสียเลยเพราะว่าในตอนที่ซูจิ่นซีมีความสุขที่สุด นางก็ได้ทำการสาดน้ำเย็นใส่ตนทันที
ขณะที่ซูจิ่นซีกอดแขนของตน รู้สึกถึงความสำเร็จที่สุดในตอนนั้นใบหน้าของเฉินไท่เฟยก็นิ่งลง
“ซูจิ่นซี อย่าคิดว่าเป็เช่นนี้แล้ว จะสามารถทำให้ข้าเชื่อเ้าได้เพียงแค่รู้สึกเล็กน้อยเท่านั้น ยังอีกไกลที่จะทำให้เดินได้! หมอที่รักษาขาคู่นี้ของข้าไม่ดี เมื่อถึงเวลานั้นเ้ายังคงต้องโดนถอดตำแหน่งชายาโยวอ๋องเช่นเดิม”
ซูจิ่นซีไม่อยากพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นนี้อีก เพื่อที่จะไม่ให้ตนเองรู้สึกอึดอัดดังนั้นนางจึงเพิกเฉยโดยปริยาย ราวกับว่าไม่ได้ยินอันใดเสียเลยใบหน้าของนางยังคงยิ้มราวกับฤดูใบไม้ผลิเดือนสามที่สดใส
“เสด็จแม่ ฝีมือการฝังเข็มของหม่อมฉันนี่ไม่เพียงแต่จะสามารถขจัดสารพิษในร่างกายเพื่อรักษาขาของท่านนะเพคะ ทว่ายังส่งเสริมการไหลเวียนโลหิตและขจัดภาวะลิ่มเืได้อีกด้วยเพื่อทำให้ขาของท่านดีขึ้นกว่าเดิม! วันนี้เป็วันที่สองที่ฝังเข็มนอกจากนี้เมื่อวานท่านยังเสวยยาแก้พิษบัวหิมะเทียนซานไปตอนนี้ผิวของท่านล้วนดีขึ้นกว่าเดิมแล้วเพคะ ท่าน้าส่องกระจกหน่อยหรือไม่เพคะ? ”
“จริงหรือไม่? ยังมีผลลัพธ์เช่นนี้ด้วยหรือ? รีบไปหยิบกระจกมาให้ข้าดูหน่อย! ”
เฉินไท่เฟยเป็ผู้ที่รักสวยรักงามเป็อย่างยิ่ง พอพูดถึงความสวยความงามนางก็เอาเื่ทั้งหมดวางโยนไว้ด้านหลัง กระทั่งล้วนลืมว่าก่อนหน้านี้ยังคงกลั่นแกล้งซูจิ่นซี
ซูจิ่นซียิ้มอย่างเป็มิตร
“เป็เช่นนั้นแน่นอนเพคะ! ”
พูดจบนางก็หยิบกระจกบานเล็กบนโต๊ะเครื่องแป้งไปให้เฉินไท่เฟย
เฉินไท่เฟยมองแล้วมองอีก ผิวกระชับและสว่างขึ้นกว่าเดิมไม่น้อยเลยจริงๆ
“มีผลลัพธ์เช่นนั้นจริงๆ ! โอ้เ้ามีวิธีฝังเข็มเพื่อลบเลือนจุดด่างดำหรือไม่? ”
“มีเพคะ! ”
“อย่างนั้นมีลดริ้วรอยหรือไม่?”
“มีเพคะ! ”
“มีทำให้ผมดำหรือไม่? ”
“มีเพคะ! ”
“มี... เพิ่มพูนสิ่งนี้หรือไม่? ”
เฉินไท่เฟยลืมเื่ที่เกลียดซูจิ่นซีไปเสียสนิทนางชี้ไปที่หน้าอกราวหยกขาวสว่างชุ่มชื้นของตนเอง ดวงตามองจ้องไปที่ซูจิ่นซี
ซูจิ่นซียิ้มอย่างมั่นใจราวกับคนที่ไม่มีพิษมีภัย “มีเพคะเสด็จแม่ มีทุกอย่าง ยังมีทำให้หน้าขาว ทำให้ผอม ทำให้ท่านสามารถมีกล้ามเนื้อหน้าท้องได้อย่างสบายๆอีกด้วยนะเพคะ! ”
“กล้ามเนื้อหน้าท้อง? ”
เป็ศัพท์สมัยใหม่ ซูจิ่นซีหลุดพูดไป เฉินไท่เฟยไม่เคยได้ยินมาก่อน
“ก็คือมีหน้าอกที่สวย เอวบาง สะโพกผายซึ่งเป็ร่างกายที่สง่างามเพคะ”
เฉินไท่เฟยยกมือปิดปากด้วยความไม่เชื่อ ั์ตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “์! หากมีวิธีเช่นนี้จริงๆข้าก็สามารถชุบชีวิตกลับไปเป็หญิงสาวอายุน้อยหรือ? มีวิธีดูแลสิ่งนั้นหรือไม่? ”
“สิ่งไหนเพคะ? ”
ซูจิ่นซีจงใจขมวดคิ้ว แสร้งทำเป็ไม่เข้าใจ
“โอ้ย! สิ่งนั้นไง ที่มาทุกเดือนนั้นอย่างไรเล่า! ข้านะ... ”
เฉินไท่เฟยเข้าไปใกล้ซูจิ่นซีมากขึ้น พูดเบาๆข้างหูของซูจิ่นซีอธิบายอาการของตนเอง
ซูจิ่นซีนับว่าประสบความสำเร็จในก้าวแรกเพื่อเอาชนะแม่สามีได้แล้ว นางยิ้มด้วยความพึงพอใจที่มุมปากของตน
“เสด็จแม่เพคะ สิ่งที่ท่านเป็นั้นเรียกว่าวัยหมดประจำเดือนนั่นถือเป็เื่ปกติเพคะ! ไม่ต้องกังวลไปรอให้ขาสองข้างของท่านหายดีแล้วหม่อมฉันจะสั่งยาบำรุงรักษาร่างกายให้ท่านเองเพคะท่านสามารถเสวยเป็อาหารตุ๋นยาจีนในระยะยาวได้ อธิบายน้อยกว่านี้อีกสักหน่อยก็คือสามารถทำให้สิ่งนั้นยืดเวลาไปได้ถึงสิบยี่สิบปีเมื่อถึงเวลานั้นผิวพรรณและใบหน้าของท่านจะเต็มไปด้วยสิ่งดีมากขึ้นไปอีกเพคะ”
“จริงหรือ? จิ่นซี เ้านี่ดีจริงๆเ้าสามารถทำสิ่งใดได้อีก รีบบอกแม่มาเร็วเข้า! ”
เฉินไท่เฟยจับมือทั้งสองข้างของซูจิ่นซีและดึงนางให้นั่งลงที่ขอบเตียง
ซูจิ่นซีบอกเฉินไท่เฟยว่านางยังสามารถใช้ยาจีนประดิษฐ์แผ่นพอกหน้า ให้ความรู้ด้านการดูแลและแน่นอนว่านางจะไม่สอนวิธีการประดิษฐ์ที่ชัดเจนให้เฉินไท่เฟยอย่างแน่นอน
สอนลูกศิษย์เป็แล้วอาจารย์ก็จะหิวตายสิ ซูจิ่นซีเข้าใจกฎนี้ดียิ่งไปกว่านั้นนางยังหวังที่จะใช้ทักษะเหล่านี้เพื่อดึงดูดเฉินไท่เฟยและเพื่อให้นางมีความสัมพันธ์ที่ดีกับแม่สามีอีกด้วย
ภายในห้องซูจิ่นซีกับเฉินไท่เฟยคุยกันราวกับถูกชะตาเป็อย่างมากมีเสียงหัวเราะดังขึ้นเป็ระยะๆ
เว่ยเหม่ยเจียที่อยู่ด้านนอกห้องยิ่งฟังยิ่งรู้สึกเ็ปหน้าเล็กยิ่งย่นก็ยิ่งดำขึ้นเรื่อยๆ
นางมองไปยังประตูที่ปิดแน่นอย่างไม่อยากจะเชื่อฟังเฉินไท่เฟยเรียกชื่อซูจิ่นซีอย่างเสน่หาซ้ำแล้วซ้ำเล่าล้วนสงสัยว่าซูจิ่นซีใช้วิธีใดเพื่อทำให้เฉินไท่เฟยหลงเสน่ห์หรือเป็เพราะว่าหูของนางเองที่ได้ยินผิดไป
เฉินไท่เฟยไม่ชอบซูจิ่นซีถึงเพียงนั้น นางได้ยินเฉินไท่เฟยพูดกับหูตนเองแล้วก็เคยเห็นมาก่อนเช่นกัน เวลายังไม่ทันถึงครึ่งชั่วยามเหตุใดท่าทีของเสด็จป้าจึงเปลี่ยนได้รวดเร็วเช่นนี้
ภายในห้องซูจิ่นซีเรียกเสด็จแม่ เสียงของนางดังมากราวกับว่านางตั้งใจ้าให้เว่ยเหม่ยเจียที่อยู่ด้านนอกได้ยินอย่างไรอย่างนั้น
ไฟริษยาในใจของเว่ยเหม่ยเจียเริ่มร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง ความเกลียดเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันทันใดแทบรอจะเข้าไปฉีกปากของซูจิ่นซีไม่ไหว
ครบสองชั่วยามเต็ม ซูจิ่นซีจึงจะออกมาจากห้องของเฉินไท่เฟย
“เสด็จแม่ หม่อมฉันขอตัวกลับก่อนนะเพคะ พบกันใหม่วันพรุ่งนี้เพคะ!”
“จิ่นซีเอ๋ย! พรุ่งนี้เ้าต้องมาเร็วหน่อยเล่า?แม่รอเ้าอยู่นะ! ”
“เพคะเสด็จแม่! จุ๊บ! ”
เฉินไท่เฟยกับซูจิ่นซีบอกลากันอย่างสนิทสนมมากในสายตาของเว่ยเหม่ยเจีย นางเริ่มริษยาขึ้นอีกครั้งแสดงอาการปวดใจแล้วรีบเดินเข้าไป
“เสด็จป้า ท่านดีขึ้นบ้างหรือไม่ รู้สึกอย่างไรบ้างเพคะ? ”
“เหม่ยเจียเอ๋ย! เ้ามาก็ดีแล้วไปเอาปิ่นหงส์ของป้ามาให้พี่สะใภ้เ้าหน่อยสิแล้วก็ไปส่งพี่สะใภ้เ้ากลับจวนด้วยเล่า”
“ปิ่นหงส์? เสด็จป้า ท่านแน่ใจที่จะมอบปิ่นหงส์นี้กับพี่สะใภ้หรือเพคะ? ”
ใบหน้าของเว่ยเหม่ยเจียเต็มไปด้วยความตกตะลึง เฉินไท่เฟยยังไม่ทันจะตอบนางก็เริ่มก้มหน้า แสงสว่างวาบในดวงตาของนางสั่นไหวใกล้ที่จะร้องไห้
ปิ่นหงส์นั้นเป็ของซูสีไทเฮา ในปีนั้นซูสีไทเฮาในฮ่องเต้พระองค์ก่อนได้ประทานให้เฉินไท่เฟยไว้! นับเป็ของมีค่าของเฉินไท่เฟย แม้แต่เฉินไท่เฟยเองยังไม่อยากที่จะหยิบมันออกมาสวมใส่จึงได้เก็บไว้ให้เป็ของขวัญวันพบหน้ากับลูกสะใภ้ในอนาคตของนาง
เฉินไท่เฟยพูดกับเว่ยเหม่ยเจียตลอดว่าในใจของนางยอมรับเพียงตนเป็ลูกสะใภ้สักวันจะต้องให้เว่ยเหม่ยเจียได้เป็ชายาโยวอ๋อง ดังนั้นเว่ยเหม่ยเจียจึงคิดมาตลอดว่าไม่ช้าก็เร็วปิ่นหงส์นั้นจะต้องเป็ของตนอย่างแน่นอน
ทว่าคิดไม่ถึงว่าจะยกให้ซูจิ่นซีคนเลวนั้น ทั้งที่พึ่งจะคุยได้เพียงสองชั่วยามก็ถูกหลอกเอาไปได้เสียแล้ว
นางไม่อยากยินยอมเลยจริงๆ สงสัยว่าเฉินไท่เฟยพูดผิดหรือไม่ ที่ว่าจะมอบปิ่นหงส์นั้นให้ซูจิ่นซี
“เสด็จป้า ท่านแน่ใจหรือว่าปิ่นหงส์ที่ซูสีไทเฮาประทานให้ ท่านจะมอบมันให้กับพี่สะใภ้? ”
เพื่อที่จะเตือนสติเฉินไท่เฟย เว่ยเหม่ยเจียกดดันด้วยคำไม่กี่คำ ‘ซูสีไทเฮา’