ณ ตำบลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่นกยังไม่ยอมบินมาอุจจาระ แล้วจะมีผู้ใดรู้จักเขา?
มีชีวิตอยู่ก็พอ จะร้องขอความเลิศเลอไปทำไมอีก?
่บ่ายตะวันคล้อย คนทั้งห้าเช่าเกวียนวัวของผู้ใหญ่บ้านขนถังเต้าฮวยขนาดใหญ่ เตาดินที่สั่งทำเฉพาะ และหม้อใบใหม่ เดินทางโยกเยกไปบนถนน
ทว่า... ความเป็จริงนั้นมักจะเศร้ากว่าที่คิดเสมอ
เดิมทีเสิ่นม่านคิดจะไปตั้งแผงบนถนนเส้นที่แขวนโคม ใครจะรู้ว่าพอถึงปากทางเข้า กลับพบว่าถนนทั้งเส้นถูกพื้นที่ไปหมดแล้ว
คนทั้งหมดเดินวนอยู่หนึ่งรอบ พบว่าหากไม่ใช่ร้านค้าก็จะไม่ให้ตั้งแผงขายตรงประตู สรุปก็คือที่ตั้งแผงถูกคนอื่นแย่งไปแต่เช้าแล้ว เสิ่นม่านถึงกับใบ้รับประทาน
แผนความมั่งคั่งเพิ่งจะเริ่ม ก็ต้องเจอกับอุปสรรคแล้วหรือ?
ขณะที่กำลังครุ่นคิด เสียงหนึ่งที่คุ้นเคยก็เรียกนางไว้ “เอ๋ นี่พี่เสิ่นไม่ใช่หรือ? ท่านเองก็มาตั้งแผงที่ตำบลหรือ?”
เสิ่นม่านหันกลับไป พบว่าเป็เสี่ยวเอ้อร์ร้านบะหมี่เมื่อคราวนั้น ซานฮัวกำลังส่งยิ้มให้นาง
อ้าว นี่มันคนคุ้นเคยนี่นา?
เสิ่นม่านเคยมาที่ตำบลหลายครั้ง ทั้งตำบลก็มีพื้นที่แค่นี้ จึงเคยเจอกับเถ้าแก่และซานฮัวจากร้านบะหมี่หลายครั้งหลายหน
สูตรบะหมี่ที่นางให้ไปครั้งล่าสุด ทำให้เถ้าแก่หาเงินได้ก้อนใหญ่ เขาต้องนวดเส้นบะหมี่จนปวดมือทุกวัน
เทศกาลไหว้พระจันทร์นี้ เถ้าแก่ตื่นแต่เช้าเพื่อมาทำบะหมี่ ปรากฏว่าเอวเคล็ด เถ้าแก่จึงไปหาหมอ หมอบอกว่าเขาต้องพักฟื้นสักระยะ ร้านบะหมี่จึงจำต้องปิดหลายวัน เขาจึงให้ซานฮัวหยุดงาน
เสิ่นม่านเห็นเขาจึงแสดงความเป็กันเองและพูดคุยอย่างสนิทสนม “ถูกต้อง ที่บ้านไม่มีข้าวกินแล้ว จึงต้องทำของกินมาขายที่ตำบลอย่างไรเล่า ใครจะรู้ว่าวันนี้คึกคักเหลือเกิน พวกข้ามาถึงช้า จึงไม่มีที่ตั้งแผง”
ทันทีที่ได้ยินว่าเป็ของกิน ดวงตาของซานฮัวก็เปล่งประกาย สายตาจับจ้องไปที่ของบนเกวียนวัวของนางและเอ่ยถาม
“ของกินอะไรหรือ? ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีของกินเช่นนี้มาก่อน? ดมแล้วกลิ่นหอมยิ่งนัก พี่สาวแสนดี คงไม่ถือสาที่จะให้ข้าชิมหรอกนะ?” สำหรับทักษะการทําอาหารของเสิ่นม่าน ซานฮัวนั้นถึงขั้นยอมศิโรราบ
เขาติดตามเถ้าแก่ทำบะหมี่อยู่ทุกวัน แม้จะทำขายมาหนึ่งเดือนเศษแล้ว แต่ทุกครั้งที่ได้กลิ่นนั้นเขาก็ยังน้ำลายสอ
ขนาดหลังเลิกงาน ซานฮัวยังขอลุงใหญ่ให้เขาห่อกลับบ้านเพื่อเป็มื้อดึกให้กับมารดา พอตอนนี้ได้ยินว่ามีของกิน เขาย่อมต้องขอมีเอี่ยวด้วยอย่างแน่นอน
“ถือสาอะไรกัน? แค่เต้าฮวยหนึ่งถ้วย เห็นพี่สาวเป็คนตระหนี่เช่นนั้นเชียวหรือ?”
เสิ่นม่านเองก็เป็คนใจกว้าง พูดจบนางก็หันหลังกลับไปตักเต้าฮวยหนึ่งถ้วยและปรุงรสให้ตรงนั้น จากนั้นยื่นใส่มือเขา
ซานฮัวถือถ้วยเต้าฮวยเนื้อสีขาว เนื้อขาวนุ่มระยิบระยับเป็ประกาย ทั้งยังส่งกลิ่นหอมเข้มข้น เขากลืนน้ำลาย จากนั้นก็ตักชิมอย่างอดใจไม่ไหว!
คุ้มค่าเหลือเกิน!
เขาไม่เคยกินของที่อร่อยและนุ่มนิ่มเช่นนี้มาก่อนในชีวิต! เนื้อััเหมือนไข่ตุ๋น แต่ว่านุ่มลื่นกว่าไข่ตุ๋น ทั้งยังมีกลิ่นหอมของถั่วเหลือง กระทั่งน้ำแกงตรงก้นถ้วยก็ยังมีรสชาติสลับซับซ้อนปะปนกัน
ช่างน่าจดจํา!
เขากินเต้าฮวยไวปานลมพายุ ซานฮัวหน้าด้านขออีกหนึ่งถ้วย เสิ่นม่านเองก็เติมเต็มความ้าให้เขาทันที
หลังจากอิ่มหนำสำราญ ในที่สุดซานฮัวก็เข้าเื่สำคัญ
“เต้าฮวยของท่านรสชาติล้ำเลิศยิ่งนัก เพียงแต่พวกท่านมาผิดเวลา ตอนนี้บนถนนหนทางต่างก็มีคนพื้นที่ไปหมด ท่านคงไม่มีที่ตั้งแผงแล้วล่ะ หรือไม่ก็ไปตั้งแผงที่หน้าร้านบะหมี่ของลุงใหญ่ข้าดีหรือไม่? ข้าขอหารือกับลุงใหญ่ก่อนสักครู่”
เสิ่นม่านดีใจอย่างบ้าคลั่ง แต่ใบหน้ายังคงแสร้งยิ้มสุภาพ
“จะดีหรือ?”
“เกรงใจอะไรกัน? เราหาใช่คนอื่นคนไกล ท่านเคยช่วยลุงใหญ่ข้า เขาต้องยอมตกลงแน่!”
หลังจากนั้นซานฮัวก็หายเข้าไปหลังร้าน
เสิ่นม่านกำลังครึ้มอกครึ้มใจ พอหันหลังไปกลับเห็นหนิงโม่กำลังเบ้ปาก จึงมองเขาอย่างดูแคลน
“เฮอะ สตรีจอมเสแสร้ง”
เสิ่นม่านกลอกตามองบนใส่เขา “เฮอะ บุรุษจอมโง่เขลา!”
ไม่ว่านางจะเสแสร้งหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็มีคนยินดีช่วยเหลือ!
เต้าฮวยหนึ่งถังใหญ่หากไม่ขายออกไปจะเน่าเสีย ย่อมต้องพึ่งพาคนกันเองบ้าง
ไม่นานประตูร้านก็ถูกเปิดออก ซานฮัวเดินยิ้มร่าออกมาและช่วยพวกเขาขนของเข้าไป ขณะเดียวกันก็พึมพำ
“พี่เสิ่น วันนี้ท่านโชคดีนัก เถ้าแก่บอกว่าเช้าวันนี้เขาเอวเคล็ด จึงต้องปิดร้านเพื่อพักฟื้นสามวัน เขาบอกว่า สามวันนี้ของในร้านท่านสามารถหยิบใช้ได้ตามสบาย ไม่คิดเงินด้วยล่ะ!”
มีเื่ดีเช่นนี้ด้วยหรือ?
แม้ว่าการได้ผลประโยชน์จะเป็สิ่งที่ดี แต่เสิ่นม่านก็ไม่คิดจะรับผลประโยชน์จากผู้อื่นเปล่าๆ นางจึงห้ามซานฮัวไว้และยื่นเงินให้เขาหนึ่งร้อยห้าสิบอีแปะ
“ข้าขอรับน้ำใจของเ้า แต่มิตรภาพคือมิตรภาพ ข้าจะไม่ยืมร้านมาใช้โดยเปล่าๆ เงินหนึ่งร้อยห้าสิบอีแปะนี้ ถือเสียว่าเป็ค่าเช่าร้านสามวัน รอจนข้าได้ตำแหน่งค้าขายที่เหมาะสมก็จะรีบย้ายออกไป ไม่รบกวนพวกเ้าแน่”
ซานฮัวเห็นว่านางจัดการเื่ราวได้ดีจึงไม่ได้ปฏิเสธ หลังจากรับเงินไปก็ช่วยพวกเขาตั้งร้านและออกไปเที่ยวงานแสดงโคมไฟ
เสิ่นม่านและทุกคนช่วยกันจัดของทุกอย่างในเวลาไม่ถึงสิบนาที ลูกค้าคนแรกก็ย่างเท้าเข้ามา เมื่อเห็นร้านค้าถูกตั้งเรียบร้อย จึงชะเง้อคอเข้าดูในร้าน
“วันนี้เถ้าแก่ไม่สบายไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงเปิดร้านได้?”
เสิ่นม่านทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม “เถ้าแก่มีน้ำใจให้ข้ายืมร้านสามวันเพื่อขายเต้าฮวยสดใหม่ ลูกค้า้าชิมหรือไม่?”
“หืม เต้าฮวย?”
เมื่อชายคนนั้นได้ยินว่าวันนี้ร้านไม่ได้ขายบะหมี่ เขาก็ส่ายหน้ากำลังจะจากไป แต่กลับได้กลิ่นที่หอมยิ่งกว่าบะหมี่เสียอีก
เดิมทีเขาก้าวออกไปหลายก้าว แต่แล้วก็เดินวกกลับมาและเอ่ยถาม “เต้าฮวยคือสิ่งใด? เหตุใดจึงหอมเช่นนี้? พวกเ้าขายอย่างไร?”
เสิ่นม่านชูสามนิ้วออกมา “ถ้วยละสามอีแปะ ไม่หลอกตาแน่”
สามอีแปะ สามารถซื้อถั่วเหลืองได้หนึ่งชั่งแล้ว
แต่คนแรกที่ต้องชิม ย่อมเกิดความลังเลสงสัยในใจ หลังจากลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายก็โยนเงินสามอีแปะและสั่งมาหนึ่งถ้วย
เมื่อประสบความสำเร็จกับลูกค้าคนแรก ในเวลาอันรวดเร็วก็ดึงดูดลูกค้าคนที่สอง คนที่สาม… และคนที่นับไม่ถ้วนเข้ามาอย่างง่ายดาย
ร้านบะหมี่ขนาดย่อมถูกห้อมล้อมในเวลาไม่นาน
ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่อัดแน่นอยู่ในร้านจนวุ่นวายอลเวง ในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม เต้าฮวยหลายสิบชั่งก็เหลือเพียงก้นหม้อ นอกจากนี้ยังมีลูกค้าจำนวนมากที่เพิ่งทราบข่าวและรีบรุดมาลองของกินนิ่มลื่นแปลกใหม่นี้
ทว่าใครจะรู้ว่า พอพวกเขามาถึงกลับพบว่าไม่เหลือสิ่งใดให้กินเสียแล้ว แต่ละคนต่างพากันผิดหวัง
เสิ่นม่านรีบอธิบายกับทุกคน “สามวันนี้เราจะขายเต้าฮวยที่ร้านบะหมี่ ทุกท่านที่ยังไม่ได้ลิ้มลอง โปรดรอเช้าวันรุ่งขึ้น”
ในเวลาเพียงหนึ่งชั่วยาม ชื่อของเต้าฮวยก็ถือกำเนิดและเลื่องลือออกไป มีผู้คนไม่น้อยที่ช่วยกระจายข่าวปากต่อปาก เสิ่นม่านจึงไม่ต้องกังวลว่ากิจการจะไปไม่รอดอีก
เมื่อซานฮัวกลับมาอีกที พวกเสิ่นม่านก็ทำความสะอาดร้านเรียบร้อย ซานฮัวให้พวกเขาเก็บเตาดินกับหม้อไว้ที่ร้าน จะได้ไม่ต้องหอบข้าวของมากมายเดินทางไปมา
เสิ่นม่านเก็บของไว้ จากนั้นล้วงถุงเงินในอกเสื้อออกมาด้วยสภาพจิตใจที่เบิกบาน
คนทั้งหลายเดินชมโคมไฟในงานเทศกาลไหว้พระจันทร์ เสิ่นม่านเงยหน้าขึ้นมอง บนท้องถนนเต็มไปด้วยโคมไฟหลากสี มีทั้งรูปทรงดอกบัว กระต่ายและดวงจันทร์ ทั้งยังมีเทพธิดาฉางเอ๋อที่ใหญ่ที่สุดและแขนไว้บนหอที่สูงที่สุด ทั้งงดงามและโดดเด่น
“ชอบโคมไฟอันไหนก็ไปเลือกกันเสีย วันนี้ค่าใช้จ่ายทั้งหมด แม่นางเสิ่นผู้นี้จะเป็คนจ่ายเอง!”
ต้าเป่า เสี่ยวตงและเสี่ยวหลาน “!”
กลิ่นอายของว่าที่คนรวยมันเป็เช่นนี้เองหรอกหรือ?!
-----