เมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าของหลิวฉีซื่อก็ดูดีขึ้นมาก นางกังวลว่าหลิวเสี่ยวหลันยังอ่านสถานการณ์ไม่ออก จึงเอ่ย “ลูกรัก ความคิดของเ้าแม่เข้าใจ สองมือของเ้านั้นมีราคาสูง บรรดานายท่านคุณชายน่ะ ชื่นชอบมือเล็กสวยงามอ่อนนุ่มเป็ที่สุด บวกกับเ้าหัดการเย็บปักถักร้อย ต่อไปปรนนิบัติคุณชาย ก็จะได้เย็บเสื้อผ้าชั้นในเป็”
เสื้อผ้าชั้นในที่หลิวฉีซื่อกล่าว หมายถึงชุดชั้นในที่เหล่าคุณชายต้องใส่
“ท่านแม่ ข้าแค่ไม่พอใจ เหตุใดนางเต้าเซียงถึงเป็ที่นึกถึงของคุณชายสูงศักดิ์ท่านนั้น?” หลิวเสี่ยวหลันไม่พอใจและเบ้ปากออดอ้อน “ท่านแม่ ข้าไม่้าให้คุณชายนึกถึงนาง”
หลิวฉีซื่อยิ้มและปลอบโยนนาง “หลันเอ๋อร์ ไม่ต้องกังวล คุณชายสูงศักดิ์ท่านนั้นเคยเห็นนางเพียงไม่กี่ครั้ง อีกอย่างเต้าเซียงหน้าตาไม่ได้สวยสู้หลันเอ๋อร์ได้แม้แต่น้อยไม่ใช่หรือ? กระทั่งการเย็บปักก็ไม่เข้าใจ วันๆ เอาแต่เสเพลราวกับเด็กผู้ชาย คุณชายท่านนั้นไม่ใช่ผู้โง่เขลา จะไม่เห็นเชียวหรือ”
ทันใดนั้น หลิวเสี่ยวหลันก็รู้ตัวและยิ้ม “ท่านแม่ ช่างปราดเปรื่องยิ่งนัก ข้ายังคิดอยู่ว่า เหตุใดท่านแม่จึงยอมให้นางได้ดี ที่แท้ก็เป็การปล่อยแพะกินวัชพืช”
“นั่นน่ะสิ เพียงแต่คุณชายเอ่ยว่าให้นางอยู่ต่อ เกรงว่าคงไม่สามารถพานางไปในเมืองได้”
“ท่านแม่ ท่านคงไม่ได้?” สายตาของหลิวเสี่ยวหลันฉายแววดีใจ
หลิวฉีซื่อเอื้อมมือออกไปแตะหน้าผากของนาง ยิ้มแล้วเอ่ย “เป็เช่นไร ไม่ดีใจหรือ?”
หลิวเสี่ยวหลันไม่มีทางไม่ดีใจ นางแทบอยากให้ขายหลิวเต้าเซียงไปให้พ้นหูพ้นตา ไม่รู้เพราะเหตุใด ทุกครั้งที่เห็นสายตาเยือกเย็นของหลิวเต้าเซียง นางก็นึกขนลุก
“ไม่ใช่เสียหน่อย ท่านแม่ แต่ก่อนข้าเคยได้ยินท่านแม่บอกว่า จะขายนางชิวเซียงกับเต้าเซียงไปเป็เด็กรับใช้ เพียงแต่ชิวเซียงอายุเยอะเกินไป คงขายได้ราคาไม่ดี ถึงได้นึกถึงเต้าเซียง เพียงแต่น่าเสียดาย คุณชายท่านนั้นกลับชอบอาหารที่นางทำ”
น่าเสียดายที่นางไม่สามารถขายหลิวเต้าเซียงได้ เห็นทีในลังสินเ้าสาวคงมีกระโปรงลดน้อยไปหลายตัว
“น่าเสียดาย ตอนนี้นางยังเด็กไม่รู้เื่ ต่อไปรอเติบโตมากขึ้น เมื่อคุณชายท่านนั้นมาอีกหน เราก็ให้นางทำอาหารอยู่ในครัวอย่างเดียว อย่าให้นางออกมาเสนอหน้าทำอย่างอื่น”
หัวใจของหลิวฉีซื่อก็เสียดายเช่นกัน เดิมทีคิดอยากจะเพิ่มที่นาให้กับที่บ้านสักสองไร่ หนนี้กลับหลุดลอยไปเสียอย่างนั้น
ใบหน้าของหลิวเสี่ยวหลันเ็ป ปากเล็กของนางพึมพำอย่างอ่อนหวานกับหลิวฉีซื่อ “ท่านแม่ ทางพี่สะใภ้ใหญ่ถามความเราจะบอกอย่างไรดี? เฉี่ยวเอ๋อร์เองก็ไม่เด็กแล้ว”
หลิวฉีซื่อถลึงตาใส่นางอย่างไม่ชอบใจ แต่ท้ายที่สุดก็คือบุตรสาวที่รักของตน จึงตอบ “แน่นอนว่าต้องปิดบังไว้ก่อน เื่นี้อย่าได้เอ่ยอีก”
นางมีแผนของตัวเอง ตอนนี้ยังมีเื่หนี้บุญคุณ และเห็นว่าซูจื่อเยี่ยหาใช่คนที่ไร้เยื่อใยไม่ นางจึงวางแผนว่ารอให้หลิวเสี่ยวหลันโตกว่านี้หน่อย ถึงตอนนั้นหน้าตารูปโฉมก็คงสวยงามเป็ที่รักใคร่ ขอเพียงหาจังหวะโอกาสให้ดี ไม่ต้องกลัวว่าบุตรสาวของตนจะไต่เต้าคุณชายท่านนี้ไม่ได้
เมื่อกังวลว่าหลิวเสี่ยวหลันจะบอกกล่าวกับภรรยาของหลิวสี่กุ้ยซึ่งก็คือหลิวหลี่ซื่อ [1] จึงเอ่ยอีก “หลันเอ๋อร์ ข้าว่าคุณชายท่านนั้นยังไม่ได้คิดเื่นี้ เกรงว่าอายุยังน้อยเกินไป ประจวบกับนางเด็กเต้าเซียงทำอาหารรสมือถูกปากเขา แล้วยังมีบุญคุณของเรา เ้ายังคิดว่าเขาจะหนีงั้นหรือ?”
ในความเป็จริงนางอยากจะบอกว่า ที่ตอนนี้หวาดกลัวคือ สิ่งเดียวที่ทำให้คุณชายซูจื่อเยี่ยติดใจมีเพียงรสมือของหลิวเต้าเซียง
หลิวฉีซื่อด่าในใจ ไม่รู้ว่าบรรพบุรุษชี้ไปทิศทางไหน ถึงได้ตาบอดไปช่วยให้นางเด็กตัวดีได้โชค
“ท่านแม่ คุณชายน้อยคงไม่…” พอนางพูดเช่นนั้น หลิวเสี่ยวหลันก็เริ่มกังวล
หลิวฉีซื่อเอื้อมมือออกไปลูบศีรษะเล็กของนาง ยิ้มแล้วเอ่ย “ดูจากการแต่งกายของคุณชายน้อย เดาว่าคงเป็คนจากตระกูลเศรษฐีมั่งคั่งในเมืองหลวง คุณชายที่ออกมาจากตระกูลเช่นนั้น ไม่เคยได้ลิ้มชิมรสอาหารป่าเขา คงเพียงแค่รู้สึกว่านางเด็กเต้าเซียงทำอาหารรสชาติไม่เลว”
ประเด็นนี้แม้แต่หลิวฉีซื่อก็ต้องยอมรับ แต่นางเชื่อมากกว่านั้นว่าเป็เพราะหลิวเต้าเซียงกล้าใส่น้ำมันเยอะ จึงทำให้อาหารอร่อยขึ้นไม่น้อย
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ นางจึงโน้มน้าวอีกครั้ง “เ้าอย่าได้เป็กังวล คนจากตระกูลใหญ่เช่นนั้นต้องถือเื่การหมั้นหมายสะใภ้เป็กิจจะลักษณะ เพียงแต่ภรรยาหลวงนั้นจำต้องเหมาะสมทั้งฐานะและหน้าตา รอพี่สี่เ้าสอบซิ่วไฉ กับจวี่จือได้ การที่เ้าจะแต่งเข้าบ้านตระกูลเช่นนั้นคงง่ายดายขึ้น”
เมื่อหลิวฉีซื่อพูดถึงตรงนี้ก็เปลี่ยนความคิด รู้สึกว่าการที่คลอดหลิวเสี่ยวหลันออกมาช้านั้นเป็เื่ที่ถูกต้องแล้ว
“ท่านแม่ ในเมื่อคุณชาย้าให้เก็บนางเต้าเซียงหน้าเหม็นไว้ เช่นนั้นทางจวนตระกูลหวงถามไถ่ขึ้นมาเล่า?” หลิวเสี่ยวหลันได้คำตอบที่้า จึงเริ่มถามเื่ที่เตรียมจะขายหลิวเต้าเซียงกับหลิวฉีซื่อ
ปรากฏว่าซูจื่อเยี่ยไม่ได้ฟังผิดไปจริงๆ หลิวฉีซื่อมีแผนการจะขายบรรดาบุตรสาวของจางกุ้ยฮัวจริงๆ
ครั้งนั้น หลิวชิวเซียงคือบุตรสาวคนแรก ไม่เหมาะกับการลงมือ ตอนนี้หลิวเต้าเซียงอายุเจ็ดขวบ หน้าตาถือว่าใช้ได้ แล้วยังมีรสมือทำอาหารไม่เลว เดิมทีนาง้าไปหาพี่ชายตนเองที่จวนตระกูลหวงเพื่อถกเื่นี้ ดูว่าจะได้ราคาเท่าใด ใครจะรู้ว่าคำพูดของซูจื่อเยี่ยกลับระบุชัดเจนว่า้าให้หลิวเต้าเซียงอยู่ต่อ เพื่อเวลาที่เขามาพักที่นี่ จะได้มีแม่ครัวน้อยอยู่ด้วย
ด้วยเหตุนี้ หลิวฉีซื่อย่อมไม่มีทางขายหลิวเต้าเซียงไปเป็เด็กรับใช้ได้ ส่วนหลิวชุนเซียงก็กำลังอยู่ใน่ให้นม ส่งไปเปล่าๆ ก็คงไม่มีใคร้า
แม้ว่าหลิวฉีซื่อจะเจ็บใจเพราะไม่ได้เงินจากจุดนี้ แต่ซูจื่อเยี่ยก็เป็ปลาตัวใหญ่ แม้ว่ากำลังจะกลับสู่ทะเลอันกว้างใหญ่ แต่ก็ทิ้งคำพูดไว้ว่า หากมีเวลาว่างจะมาพักที่นี่ เทียบกับการขายหลิวเต้าเซียงออกไปในราคาไม่กี่ตำลึง สู้เก็บไว้ก่อน รอจนว่าที่บุตรเขยของตนกลับมา จะได้ปรนนิบัติอาหารให้เขาก็ไม่เลว
“ทางด้านตระกูลหวงแม่มีทางออก แต่ว่านี่เป็เื่เล็ก เดิมทีก็เป็เพียงการพูดปากเปล่า ถึงตอนนั้นก็หาข้ออ้างบอกว่านางเด็กนี่ป่วยหนัก เราไปดูดวงให้ที่วัด และบอกว่านางดวงไม่ดีก็เป็พอ”
หลิวฉีซื่อรู้ดี คนในจวนเลือกคน ไม่ชอบคนที่ฮวงจุ้ยไม่ดี
ขอเพียงคำพูดของนางสื่อความหมายเช่นนี้ พี่ชายของนางคงไม่เอ่ยถึงเื่นี้อีก
“ท่านแม่ เช่นนั้นการเดินทางไปจวนตระกูลหวงคราวนี้ก็ไม่ได้พาเต้าเซียงไปด้วยใช่หรือไม่?” หลิวเสี่ยวหลันนึกเสียดาย เช่นนี้ข้างกายนางก็ไม่มีเด็กรับใช้ให้สั่งงาน
มีเพียง์ที่รู้ เมื่อได้ยินจากปากของแม่ตนเอง นางอิจฉาคุณหนูบ้านตระกูลผู้ดีมากเพียงใดที่มีแม่เฒ่ากับเด็กรับใช้คอยปรนนิบัติล้อมหน้าล้อมหลัง
พูดถึงเื่นี้ หลิวฉีซื่อก็เพิ่งนึกได้ “เราจะไปยังจวนตระกูลหวง ย่อมต้องพาคนที่พอออกหน้าออกตาไป เต้าเซียงตอนนี้นิสัยป่าเถื่อน พาออกไปไม่ได้ สู้เรียกจูเอ๋อร์กับซุนซื่อไปดีกว่า”
หลิวฉีซื่อรู้ว่าลูกสะใภ้รองของตนอยากกลับตำบล แต่นางยังโมโห หนามที่ทิ่มแทงใจยังไม่ได้ถูกดึงออกมา นางก็จะเล่นงานต่อไป
“จูเอ๋อร์กับพี่สะใภ้รอง?” หลิวเสี่ยวหลันไม่เข้าใจแผนการของหลิวฉีซื่อ
“อืม พี่สะใภ้รองของเ้านึกอยากพาพี่รองของเ้าเสียคน ข้าจะไม่สั่งสอนนางให้ดีได้อย่างไร? ไม่ดูตาม้าตาเรือเสียบ้างว่าคือลูกชายใคร หากไม่ใช่เพราะลูกชายข้าเก่งกาจ นางจะมีชีวิตที่ดีเช่นทุกวันนี้หรือ ยังมาเลือกมาก รังเกียจนั่นนี่”
ยิ่งพูด หัวใจของหลิวฉีซื่อก็ยิ่งมีแต่ไฟสุมทรวง ที่ดินสี่ไร่ของหลิวซุนซื่อไม่ได้ตกอยู่ในมือของหลิวฉีซื่อเป็ผู้ดูแล หากแต่วันที่นางแต่งเข้ามา ฤดูใบไม้ผลิถัดจากนั้นก็ปล่อยให้ผู้อื่นเช่าไป
เื่นี้หลิวซุนซื่อไม่เคยมีการหารือกับหลิวฉีซื่อ
ตอนนั้นในมือของหลิวฉีซื่อมีเงินมากมาย จึงไม่ได้เหลียวแลที่ดินสี่ไร่นี้เท่าใดนัก
ยามนี้ มีแต่คนที่แบมือขอเงินนาง เงินที่มีติดตัวนับวันก็ยิ่งน้อย นางต้องดูแลจัดการเื่เงินให้ดี
“นั่นสินะ ท่านแม่ พี่สะใภ้รองทำพี่รองเสียคน คราวก่อนยังบอกให้จูเอ๋อร์เอาปิ่นปักผมที่ราคาไม่เท่าไรมาให้ข้า บอกว่าตั้งใจซื้อให้ข้าเป็พิเศษ ท่านแม่ ข้าน่ะหรือจะไม่รู้ นั่นต้องเป็ของที่รับมาจากพี่รองเป็แน่”
หลิวเสี่ยวหลันรังเกียจหลิวซุนซื่อเช่นเดียวกัน ข้อหนึ่งคือ เพราะครั้งนั้นหลิวซุนซื่อเอาแต่ปกป้องตนเองและทำร้ายนาง ส่วนข้อที่สองก็คือ หลิวจูเอ๋อร์นับวันยิ่งดูงดงามขึ้น ส่วนหลิวเสี่ยวหลันนั้นเด็กกว่านางไม่กี่ปี แต่กลับไม่มีความน่าดึงดูดเฉกเช่นดอกไม้แรกแย้มอย่างหลิวจูเอ๋อร์
เมื่อใดก็ตามที่เห็นเด็กผู้ชายในหมู่บ้านมองหลิวจูเอ๋อร์ด้วยดวงตาที่เบิกกว้างและเหม่อลอย หัวใจของหลิวเสี่ยวหลันก็แทบจะมีแต่ความอิจฉาริษยาสุมทรวง แต่ก่อนเพราะทั้งสองมีสายสัมพันธ์ที่ดีจึงอดทนไว้ ตอนนี้ทั้งสองดีกันแค่ต่อหน้า ลับหลังกลับไม่ไว้หน้ากันและกัน
“มีอีกหนึ่งเื่ คงเพราะปีกกล้าขาแข็งแล้ว กระทั่งท่านแม่ก็ไม่อยู่ในสายตา กล้าเอาเงินจากพี่รองเ้า เห็นทีเงินที่นางได้ไปคงมีมากกว่าที่แม่ได้”
สิ่งที่หลิวฉีซื่อเกลียดที่สุดคือลูกสะใภ้ออกนอกลู่นอกทาง แล้วหาทางเอาสมบัติกลับบ้านแม่ นางเข้าใจว่าสะใภ้นั้นเลี้ยงไม่เชื่อง ยิ่งกว่านั้นทรัพย์สินใดที่เป็ของตระกูลหลิว แม้จะเป็เพียงเส้นด้าย ก็ระบุชัดเจนว่าคือของตระกูลหลิว
“ท่านแม่ พี่สะใภ้ดูแลเงินของพี่รองไม่ใช่หรือ? เหตุใดท่านแม่จึงไม่เอ่ยกับพี่รอง บอกว่าอยากพาจูเอ๋อร์กับพี่สะใภ้รองไปเปิดหูเปิดตา” หลิวเสี่ยวหลันนึกหาข้ออ้างให้กับหลิวฉีซื่อเรียบร้อย
หลิวฉีซื่อรู้สึกประทับใจอย่างสุดซึ้งและพูดว่า “ครั้งหน้าข้าจะบอกกับพี่รองเ้า เ้าอย่าได้เอ็ดไป”
หลิวเสี่ยวหลันพยักหน้ารัวแล้วได้ยินหลิวต้าฟู่เรียกนางจากในห้องโถง จึงหยุดพูดคุยแล้วตักน้ำร้อน เดินกลับไปห้องโถงพร้อมกับหลิวฉีซื่อ
เมื่อพูดถึงหลิวเต้าเซียง นับั้แ่รู้ว่าซูจื่อเยี่ยจะจากไปในวันรุ่งขึ้น ในใจก็เริ่มผิดปกติ ถึงอย่างไรเขาก็คือเพื่อนคนแรกของนาง แม้ว่าต่อไปโอกาสที่จะเจอกันมีแค่หนึ่งในหมื่น หรือกระทั่งทั้งชาติก็อาจจะเป็ไปไม่ได้ แต่นางก็นึกอยากทำอะไรสักอย่าง
“ลูกรอง เหตุใดเ้าจึงไม่กินปลาเล่า? เ้าชอบกินปลาที่สุดไม่ใช่หรือ?” จางกุ้ยฮัวเห็นว่านางไม่ได้กระตือรือร้นเหมือนแต่เดิม
ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็มื้อดึกที่แอบกินกันเองในครอบครัว มีทั้งข้าวขาว ปลาน้ำแดงกับเนื้อวัวตุ๋น อาหารนั้นดีกว่าเทศกาลตรุษจีนเสียอีก
จางกุ้ยฮัวได้กินเนื้อวัวตุ๋นเป็ครั้งแรก ซาบซึ้งจนบอกไม่ถูก หากไม่ใช่เพราะบุตรสาวคนรองเหม่อลอย เดาว่านางคงจะรีบร่วมกันแย่งอาหารกิน
แน่นอนว่าขณะที่นางพูด มือที่เอื้ะเกียบออกไปก็ไม่ได้ชักช้า
“อ้อ ท่านแม่ ท่านกินเยอะหน่อย ก่อนหน้านี้ข้าแอบกินไปหลายแผ่น บวกกับกลางคืนก็กินปลาน้ำแดงไปไม่น้อย ตอนนี้จึงรู้สึกอิ่ม”
นางรู้สึกจุกในอกและอัดอั้น ความรู้สึกนี้ราวกับอากาศอบอ้าวในฤดูร้อนก่อนที่พายุฝนจะกระหน่ำและทำให้ผู้คนหายใจไม่ออก
หลิวซานกุ้ยใช้ตะเกียบคีบเนื้อวัวไว้ในถ้วยของนาง แล้วเอ่ยโน้มน้าว “กินเยอะหน่อย ได้ยินว่าเนื้อวัวนั้นบำรุงร่างกายได้ดียิ่งนัก แม้ว่าคุณชายน้อยท่านนั้นจะบอกว่าต่อไปจะกลับมาพักที่บ้านอีก เ้าอย่าได้กังวล พ่อว่าเขาดูไม่เหมือนกับคุณชายทั่วไป เห็นทีการจะออกเดินทางไกลสักครั้งคงไม่ง่าย”
เขานึกว่าบุตรสาวกำลังกังวลว่าต่อไปคุณชายน้อยมาที่นี่อีกหน จะทำอาหารอะไรดี
“จากที่ข้าเห็นเขาชอบอาหารมากมายนักแล ทั้งปลาน้ำแดง เนื้อปลาผัด หัวปลาต้มอ้อย ปลาเปรี้ยวหวาน ปลาเผ็ด ปลาเค็ม ข้าเห็นเขากินอย่างเพลิดเพลินทุกวัน จะให้พ่อบอกแล้วล่ะก็ อันที่จริง เขาก็ไม่ได้เลี้ยงยากปานนั้น”
หลิวเต้าเซียงกลอกตาขึ้น อยากะโเสียงดังว่า พ่อผู้แสนดี หลังกำแพงมีหูนะ!
แล้วยังเป็คนที่เ้าคิดเ้าแค้น ท่านพ่อบ่นเขาเช่นนี้ คุณชายที่ท่านพ่อเอ่ยถึงเขาได้ยินนะ
-----
เชิงอรรถ
(ผู้แปลขออธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเรียกชื่อตัวละคร)
[1] หลิวหลี่ซื่อ ในที่นี้หมายถึง พี่สะใภ้ใหญ่ หรือก็คือภรรยาของหลิวสี่กุ้ย
ในสมัยโบราณ คำว่า ซื่อ/สี 氏 แปลว่า ตระกูลที่เป็สาขาแยกย่อยจากแซ่姓
ส่วนคำว่า หลิวหลี่ มาจากสองแซ่เรียงกัน หลิวตัวแรกคือแซ่ของสามี หลี่ตัวที่สองคือแซ่ของตนเอง รวมกันคือ หลิวหลี่ซื่อ 刘李氏 แปลว่า แม่นางหลิวหลี่ ซึ่งหมายความว่า แม่นางแซ่หลี่ที่แต่งเข้าบ้านแซ่หลิว คล้ายกันกับชื่อของ หลิวฉีซื่อ และ หลิวซุนซื่อ
